ซย่าชิงอีได้แต่นั่งอยู่บนพื้นใต้ตู้กดเงินอยู่ทั้งคืน เพราะอยู่ในช่วงหน้าร้อน อากาศจึงไม่เย็นนัก เธอเอนตัวพิงกับกำแพงและฝืนตัวเองให้นอนหลับอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยามเช้ามาถึง หญิงสาวคนหนึ่งที่มาถอนเงินตกใจที่เห็นเธอนอนหลับอยู่ที่มุมหนึ่งและตะโกนปลุกเธอ
อีกฝ่ายมองเธออย่างระแวดระวังในขณะที่ถอนเงิน คงกลัวว่าเธอจะมาขโมยเงินของตัวเองไป กอดกระเป๋าเงินไว้แนบกายพร้อมเดินจากไปด้วยท่าทีระแวง
เมื่อซย่าชิงอีตื่นขึ้นมา ความรู้สึกโกรธได้จางหายไปแล้วแต่ยังคงไม่อยากกลับไปเพราะว่าเธอกลัว
เธอรู้ว่าโม่หันเป็นคนมีเหตุผล เขาคิดว่าเธอปิดบังเรื่องนี้กับเขา เมื่อเห็นท่าทีของเขาเมื่อวานที่โมโหและไม่อยากจะทนคบกับเธอต่อไป เธอกลัวว่าหากกลับไปคุยกันแล้วเขาจะขอเลิกกับเธอ
เธอกลัวเหลือเกิน ไม่หลงเหลือความมั่นใจในตัวเอง กลัวว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องมาจบลงหลังจากที่ผ่านความยากลำบากมามากมายกว่าจะรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาและคบกันมาจนถึงป่านนี้ เธอไม่ต้องการสูญเสียทุกอย่างไป
ซย่าชิงอีนั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบและตัดสินใจให้พวกเขาทั้งสองคนมีเวลาในการทำใจให้เย็นลง เธอปล่อยให้ตัวเองได้มีเวลาทบทวนตัวเอง หากถึงเวลานั้นแล้วโม่หันยังคงต้องการแยกทางกับเธอ เธอจะไม่รั้งเขาไว้แม้จะเจ็บปวดเพียงไหนก็ตาม
เธอไม่ควรตั้งความหวังไม่มากนัก
เป็นเหตุให้เธอเลือกที่จะจากเมืองนี้ไปท่องเที่ยว
เธอมีบัตรเงินสดเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอฝากเงินที่ได้จากการทำงานนอกเวลาและทุนการศึกษาในบัญชีอยู่เสมอ จำนวนเงินในบัตรมีมากพอที่จะใช้เที่ยวได้หลายวัน เธอไม่ได้เก็บบัตรไว้ในกระเป๋าเงิน และฝากไว้ที่เพื่อนหลังจากซื้อของบางอย่างเมื่อหลายวันก่อน เธอแค่ต้องไปที่บ้านของเพื่อนและเอามันคืนมา
บัตรประชาชนของเธอยังคงอยู่ที่บ้านแต่เธอไม่อยากกลับไป กลัวว่าหากทำเช่นนั้นจะไม่อยากออกมาอีก เธอไปที่กองความมั่นคงสาธารณะเพื่อแจ้งบัตรหายและทำบัตรชั่วคราว
เรื่องมหาวิทยาลัย เธอขอลาเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์เป็นเวลาที่มากพอให้ทั้งโม่หันและเธอคิดใคร่ครวญถึงเรื่องราวมากมาย เธอให้พื้นที่และเวลาให้กับเขา ก่อนที่จะกลับมาสะสางเรื่องของพวกเขาหลังจากที่เธอกลับมา
เธอไปถอนเงินจำนวนหนึ่งที่ธนาคารและซื้อเสื้อผ้าไม่กี่ชุด แต่ไม่อาจทำใจทิ้งรองเท้าใส่ในบ้านที่สวมอยู่ได้จึงใส่มันในกระเป๋าและเอาติดตัวไปด้วย จากนั้นจึงไปสนามบินและซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าออกจากเมืองนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง
เมืองที่อยู่สุดฟากตะวันตกของประเทศ เต็มไปด้วยทะเลทรายแห้งแล้งและแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่ายและอยู่อาศัยกันบางตา
เป็นที่ที่เหมาะกับการครุ่นคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ
เธอนั่งอยู่ในห้องรับรองที่สนามบินพร้อมตั๋วเครื่องบินในมือ พลางมองสัมภาระใบน้อยที่มีติดตัว ทีแรกตั้งใจว่าจะจากไปเงียบๆ โดยที่ไม่บอกลาโม่หัน แต่หลังจากที่เห็นผู้คนโบกมือลากันที่สนามบินเธอก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
ท้ายที่สุดจึงยืมโทรศัพท์จากคนแปลกหน้ามาส่งข้อความให้อีกฝ่ายสามข้อความ ข้อความแรกเขียนว่า [ฉันซย่าชิงอีเอง ฉันใช้โทรศัพท์ของคนอื่นส่งข้อความมาหาพี่]
ตามด้วยข้อความที่สอง [เราต้องการเวลาให้ใจเย็นลง ฉันจะไปเที่ยวตามลำพัง พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะกลับมาภายในหนึ่งอาทิตย์]
และข้อความที่สาม [อย่าลืมกินข้าวและพักผ่อนให้เพียงพอด้วย อย่าทำงานหนักมากนะคะ]
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เธอจ้องมองไปตามข้อความที่เธอพิมพ์พร้อมน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลลงมา
เธอห้ามใจไม่ให้ส่งข้อความที่สี่และเช็ดน้ำตาของตัวเองจากหน้าจอ สูดหายใจลึกก่อนปิดหน้าจอและส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ
เสียงประกาศขึ้นเครื่องดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ เธอลุกขึ้นยืน ถือกระเป๋าติดตัวพร้อมตั๋วเครื่องบินและเดินออกไป
ขึ้นเครื่องบินที่พาเธอไปยังโลกอีกใบ
โม่หันกลับมาถึงบ้านราวๆ หกโมงเย็น ยืนอยู่หน้าประตูอยู่ครู่ใหญ่ จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้มั่นใจว่าไม่ดูเหนื่อยล้าจนเกินไปนัก ปลดล็อกประตูพลางคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงจะพบเธอ และจะไม่ใส่อารมณ์เหมือนเช่นเมื่อวานเด็ดขาด
เขาจะนั่งข้างๆ เธอ จับมือเธอและพูดดีๆ กับเธอ
เขาเปิดประตูเข้ามาในบ้านที่ว่างเปล่า
เมื่อก้าวเข้ามาและเห็นว่าโทรศัพท์ของเธอยังคงถูกวางอยู่ที่เดิมกับเมื่อเช้า ข้อความที่เขียนฝากไว้ก็เช่นกัน
เขามองไปรอบตัว เสื้อผ้าและกระเป๋าของซย่าชิงอียังคงกองอยู่บนโซฟา สิ่งของต่างๆ บนโต๊ะยังถูกตั้งไว้ตำแหน่งเดิมเหมือนในตอนเช้า ก้นบุหรี่ที่เขาไม่มีเวลาทิ้งยังอยู่ในที่เขี่ยบุหรี่เหมือนเช่นเมื่อเช้า รองเท้าที่เธอถอดทิ้งไว้ยังวางอยู่ที่ชั้นวาง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เขาวิ่งไปดูทุกห้องในบ้าน เปิดปิดประตูเสียงดังครึกโครม ทว่ากลับไม่พบวี่แววของซย่าชิงอี
เธอไม่ได้กลับบ้านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้ว
เขาเริ่มตื่นตระหนกและรีบโทรหาเธอ ก่อนจะนึกได้ว่าเธอไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องนั่งเล่น
ทำไมเธอยังไม่กลับมากัน เธอไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่มีของตัดตัวเลยสักชิ้น มีเพียงรองเท้าใส่ในบ้านที่สวมติดเท้าตอนจากไป เธอจะไปที่ไหนได้
เขานั่งลงบนโซฟาอย่างกลุ้มใจ อยู่ๆ ทุกอย่างมาลงเอยแบบนี้ได้อย่างไรกัน เมื่อวานพวกเขายังกอดยังจูบกันอยู่แท้ๆ ทว่าในวันนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว
เธอจะทำตามที่พูดเมื่อวานว่าจะไม่กลับมาแล้วจริงๆ น่ะหรือ เขาไม่กล้าจะคิดต่อแม้แต่นิด
ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวล กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขาติดต่อเพื่อนร่วมชั้นของเธอได้ความว่าเธอลาหยุดหนึ่งอาทิตย์แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปทำอะไร
เธอยังบอกอีกว่าซย่าชิงอีเอาบัตรเงินสดที่ฝากไว้ที่ตัวเองติดตัวไปก่อนที่จะจากไป
ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าเธอมีบัตรอีกใบหนึ่ง
เขาเบาใจลงเล็กน้อย ความกังวลใจคลายลงเมื่อรู้ว่าเธอมีเงินติดตัว แต่หลังจากนั้นความตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นทันที เธอไปไหนกันนะ ทำไมถึงขอลาเรียนหนึ่งสัปดาห์ ทำไมถึงไม่บอกอะไรกับเขาก่อนที่จะไปเลย
ในเวลานั้นเขาไม่รู้เช่นเดียวกับซย่าชิงอีว่าโทรศัพท์ของโม่หันสามารถป้องกันข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักได้ เขาจึงไม่ได้รับข้อความที่เธอส่งให้เขา
พวกเขาพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะติดต่อกันก่อนที่เธอจะจากไป
โม่หันใช้เวลาสองวันในการตรวจสอบว่าเธออยู่ที่ไหน เพราะอาชีพนักกฎหมายของเขา การสืบเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากนัก ด้วยการช่วยเหลือของจางหยาง เขาจึงรู้ว่าเธอไปที่กองความมั่นคงสาธารณะเพื่อทำบัตรประชาชนชั่วคราวในวันแรกที่หายตัวไป หลังจากนั้นจึงไปซื้อเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ พนักงานขายมองเธออย่างระแวดระวังเพราะเธอสวมรองเท้าใส่ในบ้านและซื้อเสื้อผ้าไปหลายชุดด้วยบัตรในวันนั้น
ท้ายที่สุดเขาพบว่าเธอซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวบินห้าโมงครึ่งในวันนั้นเพื่อเดินทางไปที่เมือง D ซึ่งเป็นเมืองติดชายแดน เขาไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงต้องการไปเมืองที่ไกลถึงเพียงนั้น หลังจากครุ่นคิดมาทั้งวันก็คิดได้เพียงว่าเธอคงต้องการไปเที่ยวและพักผ่อน
ตอนแรกเขาซื้อตั๋วเครื่องบินตามไปที่เมือง D ทว่าพอมาคิดๆ แล้วเธอคงจะไปที่นั่นเพราะยังคงโกรธเขาอยู่และอยากใช้เวลากับตัวเอง ถ้าอยู่ๆ เขาบุ่มบ่ามไปหา เธอคงจะไม่พอใจนัก
เขาครุ่นคิดและตัดสินใจยกเลิกตั๋วเครื่องบินในที่สุด เขาต้องเคารพทุกการกระทำของอีกฝ่าย อย่างไรเธอก็จะกลับมาภายในอาทิตย์นี้อยู่ดี เมื่อถึงเวลาเขาจะอธิบายทุกอย่างกับเธอและไม่ทำเหมือนเช่นในคืนนั้นที่เอาแต่ระเบิดอารมณ์ใส่เธออีก
โม่หันรอเธออยู่อย่างนั้น รอให้เธอกลับมาภายในหนึ่งอาทิตย์ และจะไม่ปล่อยให้เธอจากเขาไปอีก
เขาอดทนรอจนกระทั่งเข้าสู่วันที่เจ็ด เฝ้ามองนาฬิกาบนผนังที่หมุนจากเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที ห้าสิบเก้าวินาที ไปสู่เที่ยงคืน ทว่าซย่าชิงอีก็ยังไม่กลับมา
ในตอนนั้นเองที่ความวิตกกังวลเริ่มเข้ามาเยือนเขา
ณ เมืองชายแดนที่ห่างออกไป การเดินทางของซย่าชิงอีเริ่มต้นได้ไม่สวยอย่างที่เธอคาดไว้นัก เพราะไม่มีคนรู้จักอยู่ข้างกาย หลายอย่างที่นั่นจึงเป็นไปด้วยความทุลักทุเลไม่น้อย เธอต้องทำทุกสิ่งด้วยตัวเองและพยายามที่จะไม่รบกวนคนรอบข้าง
สภาพอากาศในแถบชายแดนค่อนข้างแห้ง อยู่ๆ เธอก็เลือดกำเดาไหลออกมาอยู่บ่อยๆ เธอดื่มน้ำบ่อยขึ้นเพื่อเติมเต็มน้ำในร่างกาย ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนต่างกันลิบลับ ในคืนแรกที่มาถึงเธอได้แต่ขดตัวนอนสั่นระริกในผ้าห่มผืนบางเพราะเสื้อผ้าที่นำติดตัวมาด้วยไม่อุ่นพอ หลังจากที่ไม่อาจทนไหวอีกต่อไปจึงไปเคาะประตูห้องของเจ้าของโรงแรมกลางดึกเพื่อขอผ้าห่มอีกผืน ทว่าเขาบอกว่าไม่มีผ้าห่มเหลือแล้วพร้อมให้เสื้อคลุมทหารหนักๆ ของเขามาคลุมตัวแทน และเธอก็ผ่านคืนนั้นมาได้เช่นนั้น
พื้นดินที่นี่แห้งแล้งผิดกับท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่สวยงามจับตา เธอนอนลงบนผ้าห่มเย็นเฉียบ ดวงตาจ้องมองผ่านหน้าต่างไปยังหมู่ดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้าด้านนอก ไม่มีความรู้สึกง่วงแม้แต่น้อยและเริ่มคิดถึงโม่หันขึ้นมา
การอยู่เพียงลำพังในค่ำคืนอันหนาวเหน็บทำให้เธอนึกถึงยามที่นั่งอยู่ข้างเขาบนโซฟาเมื่อหลายวันก่อน
เธอนึกได้ว่าตัวเองไม่เคยบอกอีกฝ่ายว่ารักเขาเพียงไหน และเขาเองก็ไม่เคยบอกรักเธอเช่นกัน
ความรู้สึกประหลาดใจพุ่งแซงขึ้นมาในใจ พวกเขาผ่านวันคืนเหล่านั้นทั้งที่ไม่เคยให้สัญญาใดๆ ต่อกันมาได้อย่างไร
แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ทำเช่นนั้นและสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปได้อย่างราบรื่น พวกเขาก็ยังใช้ช่วงเวลาชื่นมื่นร่วมกันมาตลอด