*กึกกักกึกกัก* เสียงรถม้าวิ่งบนถนนที่ปูด้วยหิน ทำให้เกิดเสียงกระทบกันเรื่อยๆ
ผมหันไปถามคนขับรถม้า
“อีกไกลแค่ไหนกว่าเราจะถึง*เมืองเวทมนตร์*ครับ?”
“ขอคิดก่อน? อาจจะประมาณสองถึงสามวันล่ะมั้ง?”
ผมได้รับคำตอบที่กำกวมกลับมา
“เอาเถอะ ปัญหามันก็คือสภาพอากาศ มันขึ้นอยู่กับดวงล่ะนะ”
อืม
จะว่าไปแล้ว เหมือนสถานการณ์แบบนี้จะเคยเจอมาก่อนนะ
พื้นที่โดยรอบของเมืองเวทมนตร์อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งที่ให้การเดินทางไปมานั้นทำได้ยาก
เพราะมันอาจจะเกิดขึ้นอย่างกระทันหันและไม่ค่อยแน่นอน ดังนั้นมันจึงยากในการคาดเดา
เมืองเวทมนตร์อาร์สเวล
เมืองแห่งนี้ได้รับการกล่างขานว่าเป็นเมืองเวทมนตร์ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก
เมืองนี้ได้สร้างนักเวทที่มีชื่อเสียงมากมายในประวัติศาสตร์ และจนถึงทุกวันนี้ โดยนักเวทที่ยอดเยี่ยมได้มารวมตัวกันเพื่อศึกษาทั้งวันทั้งคืน เพื่อหาแก่นแท้ของเวทมนตร์
เพื่อแสดงหาจุดสูงสุดของเวทมนตร์ ผมจึงได้มุ่งหน้าไปยังเมืองแห่งนั้น
แน่นอนว่าตอนนี้พ่อและแม่กำลังพยายามทำให้มิร่าที่กำลังโกรธสงบลง
ยกโทษให้ด้วยนะมิร่า
ไว้ค่อยมาอาบน้ำด้วยกันอีกครั้งเมื่อผมกลับถึงบ้านนะ
ผ่านมาสามปีแล้วตั้งแต่ผมได้เริ่มฝึกฝนเวทมนตร์
ตอนนี้ผมอายุสิบเก้าปีแล้ว
“เฮ้ย นายก็จะไปที่เมืองเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
เด็กผู้ชายคนหนึ่งถามผม เขาเป็นเด็กที่เพิ่งขึ้นรถม้ามาจากสถานีก่อนหน้านี้
เขานั้นน่าจะเป็นวันรุ่นในช่วงต้นหรือช่วงกลาง?
แม้ว่าผมจะไม่ได้พูดออกไป แต่เขาก็มีลักษณะที่เรียบง่าย ดูเหมือนมาจากชนบทแต่ใบหน้าของเขานั้นแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าออกมา
“อา ใช่แล้ว”
เมื่อผมตอบออกไป เด็กผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะเหมือนคนงี่เง่า
“เฮ้ เฮ้ นายน่ะ ไปทำบ้าอะไรอยู่ตั้งแต่พิธีรับพรจนกระทั่งอายุขนาดนี้ มันไม่สายเกินไปหน่อยเหรอที่จะไปเมืองเวทมนตร์น่ะ?”
เมืองแห่งดาบนั้นเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดาบมาไว้ด้วยกัน
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนระดับสูงนั้นมาอยู่ในเมืองนั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบคนในวัยยี่สิบหรือสามสิบปี แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหน้าใหม่ในกิลด์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมืองเวทมนตร์นั้นมีลักษณะที่เรียกว่า ‘สถาบันการศึกษาของจอมเวท’
ในสถาบันประกอบด้วยโรงเรียนหลายแห่งที่เรียกว่า ‘สถานศึกษา’ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ในเมืองนั้นเป็นนักเรียนในสถานศึกษาเหล่านั้น
ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า จะมีเพียงเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ที่เพิ่งได้รับพรมาไม่นานเท่านั้นที่มาเยือนเมืองแห่งนี้
“หยุดนะ ไคท์ บางทีเขาอาจจะสอบตกมาแล้วหลายครั้งแล้วก็ได้ มันอาจจะเป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนัก ดังนั้นอย่างไปดูถูกเขานะ”
คนที่พูดออกมานั้นเป็นเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกับเด็กผู้ชายก่อนหน้านี้
เธอได้เตือนเด็กผู้ชาย แต่คำพูดหลังจากนั้นมันเลวร้ายมาก
“เงียบไปเลย คูฟา เธอเองก็คิดเหมือนกันกับฉันนิ”
“หา? ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้นหรอก”
บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนจะหนักขึ้น
หลังจากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนเข้ามา และพยายามทำให้ทั้งสองคนนั้นสงบสติลง
“ท-ท-ท-ทั้งสองคน ได้โปรดอย่างทะเลาะกันสิคะ…..”
ฉันไม่ได้ทะเลาะสักหน่อยคอลเล็ต
“ใช่แล้ว ฉันแค่เตือนไคท์เอง”
บางทีพวกเขาทั้งสามคนอาจจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่มาจากเมืองเดียวกัน และร่วมกันมุ่นหน้าไปยังเมืองเวทมนตร์
แต่ผมต้องการให้พวกเขาหยุดโต้เถียงกันโดยใช้เรื่องของผม
“ชิ”
“หืม-ม”
“ฮะ…”
ผมคิดว่าความคิดของผมน่าจะส่งไปถึงพวกเขา จนทำให้พวกเขาทั้งสามคนนั้นเงียบลง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เด็กผู้ชายก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“แล้วนายถนัดเวทอะไรงั้นเหรอ?”
ทำไมถึงต้องมาสนใจผมด้วยเนี่ย
หรือว่าเขาต้องการฆ่าเวลา หรือว่าเขาจะมีบุคลิกที่ไม่สบายใจเมื่ออยู่เงียบๆนานๆ
“หืม ผมก็ไม่ได้เจาะจงสายไหนเป็นพิเศษหรอก”
ผมตอบกลับไปอย่างใจเย็น
“หา? นายกำลังพูดถึงอะไรนะ ไม่มีเวทมนตร์ที่นายถนัดเลยงั้นเหรอ? ฉันกำลังหมายถึงสกิลที่นายมี สกิลน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคว้ามาได้ด้วยตัวเองนะ อย่างของฉันนะถนัดเวทสีแดง”
แม้ว่าจะเป็นอาชีพเริ่มต้นอย่างนักเวท แต่สกิลที่ได้รับมามันก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคนเช่น จอมเวทเริ่มต้นสีแดง หรือจอมเวทเริ่มต้นสีน้ำเงิน
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีสกิลของเวทสีแดงสินะ
ว่ากันว่าเวทมนตร์นั้นประกอบด้วยกันหกประเภท
เวทสีแดง : เป็นเวทเกี่ยวกับไฟและความร้อน
เวทสีน้ำเงิน : เป็นเวทเกี่ยวกันน้ำ, น้ำแข็ง และความเย็น
เวทสีเขียว : เป็นเวทเกี่ยวกับอากาศ และสภาพอากาศ
เวทสีเหลือง : เป็นเวทเกี่ยวกับดิน และโลหะ
เวทสีขาว : เป็นเวทเกี่ยวกับแสง และชีวิต
เวทสีดำ : เป็นเวทเกี่ยวกับความมืด และความตาย
อย่างไรก็ตาม ผมนั้นไร้อาชีพ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วผมจึงไม่มีสกิล
ดังนั้นแม้ว่าผมถูกถามว่าถนัดเวทประเภทไหน ผมก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้
“เพราะว่าตั้งแต่เริ่มแรกแล้วผมก็ไม่มีสกิลเวทมนตร์ล่ะนะ”
“ไม่ ไม่ใช่แค่เวทมนตร์ แต่ว่าสกิลทั้งหมดเลย”
“เพราะว่าผมนั้นไร้อาชีพ”
“หา?”
เด็กผู้ชายตกตะลึงจนอ้าปากค้างเหมือนคนโง่
เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเมื่อเธอได้ยินมัน ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะดังขึ้นมา
“ชิ ฮะๆๆๆ! ไคท์ นายคงจะถูกหลอกแล้วล่ะ ปกติแล้วคนไร้อาชีพน่ะเข้าสถาบันเวทมนตร์ไม่ได้หรอก”
“อะไรนะ-…”
เมื่อเขารู้สึกว่าโดนแกล้ง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ไม่ได้โกหกนะ นั่นคือความจริง
“ไม่ใช่เรื่องโกหกงั้นเหรอ”
ผมแสดงใบรับรองอาชีพของผมให้พวกเขาดู
“เอ๋? ไร้อาชีพจริงหรอเนี่ย!? นี่มันของปลอมหรือเปล่านะ?”
“น-นี่คือต้นฉบับจริงๆ…”
“ก๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ดังนั้นนายจึงต้องการไปเมืองเวทมนตร์งั้นเหรอ?” เด็กผู้ชายคนนี้นั้นบ้าจริงๆ!
ทันใดนั้นผู้โดยสารคนอื่นก็เริ่มหัวเราะ ราวกับถูกกระตุ้นโดยเสียงหัวเราะของเด็กผู้ชาย
อืม
เหมือนผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนนะ
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีออร์คคิงก็ได้ปรากฏตัวออกมา—
“เอ๋ นั่นมัน…!”
ผู้โดยสารคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดัง
ผมได้มองไปยังทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นบอก
มันมีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้น
“โ-โทรลล์คิง!?”
ให้ตายสิ คราวนี้เป็นตัวตนระดับสูงอย่างโทรลล์งั้นเหรอ