วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~ – ตอนที่ 40 นายถนัดเวทอะไรงั้นเหรอ

วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~

 

*กึกกักกึกกัก* เสียงรถม้าวิ่งบนถนนที่ปูด้วยหิน ทำให้เกิดเสียงกระทบกันเรื่อยๆ

ผมหันไปถามคนขับรถม้า

 

 “อีกไกลแค่ไหนกว่าเราจะถึง*เมืองเวทมนตร์*ครับ?”

“ขอคิดก่อน? อาจจะประมาณสองถึงสามวันล่ะมั้ง?”

 

ผมได้รับคำตอบที่กำกวมกลับมา

 

“เอาเถอะ ปัญหามันก็คือสภาพอากาศ มันขึ้นอยู่กับดวงล่ะนะ”

 

อืม

จะว่าไปแล้ว เหมือนสถานการณ์แบบนี้จะเคยเจอมาก่อนนะ

 

พื้นที่โดยรอบของเมืองเวทมนตร์อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งที่ให้การเดินทางไปมานั้นทำได้ยาก

เพราะมันอาจจะเกิดขึ้นอย่างกระทันหันและไม่ค่อยแน่นอน ดังนั้นมันจึงยากในการคาดเดา

 

เมืองเวทมนตร์อาร์สเวล

 

เมืองแห่งนี้ได้รับการกล่างขานว่าเป็นเมืองเวทมนตร์ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก

 

เมืองนี้ได้สร้างนักเวทที่มีชื่อเสียงมากมายในประวัติศาสตร์ และจนถึงทุกวันนี้ โดยนักเวทที่ยอดเยี่ยมได้มารวมตัวกันเพื่อศึกษาทั้งวันทั้งคืน เพื่อหาแก่นแท้ของเวทมนตร์

 

เพื่อแสดงหาจุดสูงสุดของเวทมนตร์ ผมจึงได้มุ่งหน้าไปยังเมืองแห่งนั้น

 

แน่นอนว่าตอนนี้พ่อและแม่กำลังพยายามทำให้มิร่าที่กำลังโกรธสงบลง

ยกโทษให้ด้วยนะมิร่า

ไว้ค่อยมาอาบน้ำด้วยกันอีกครั้งเมื่อผมกลับถึงบ้านนะ

 

ผ่านมาสามปีแล้วตั้งแต่ผมได้เริ่มฝึกฝนเวทมนตร์

ตอนนี้ผมอายุสิบเก้าปีแล้ว

 

“เฮ้ย นายก็จะไปที่เมืองเวทมนตร์งั้นเหรอ?”

 

เด็กผู้ชายคนหนึ่งถามผม เขาเป็นเด็กที่เพิ่งขึ้นรถม้ามาจากสถานีก่อนหน้านี้

เขานั้นน่าจะเป็นวันรุ่นในช่วงต้นหรือช่วงกลาง?

 

แม้ว่าผมจะไม่ได้พูดออกไป แต่เขาก็มีลักษณะที่เรียบง่าย ดูเหมือนมาจากชนบทแต่ใบหน้าของเขานั้นแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าออกมา

 

“อา ใช่แล้ว”

 

เมื่อผมตอบออกไป เด็กผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะเหมือนคนงี่เง่า

 

“เฮ้ เฮ้ นายน่ะ ไปทำบ้าอะไรอยู่ตั้งแต่พิธีรับพรจนกระทั่งอายุขนาดนี้ มันไม่สายเกินไปหน่อยเหรอที่จะไปเมืองเวทมนตร์น่ะ?”

 

เมืองแห่งดาบนั้นเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดาบมาไว้ด้วยกัน

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนระดับสูงนั้นมาอยู่ในเมืองนั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบคนในวัยยี่สิบหรือสามสิบปี แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหน้าใหม่ในกิลด์ก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม เมืองเวทมนตร์นั้นมีลักษณะที่เรียกว่า ‘สถาบันการศึกษาของจอมเวท’

ในสถาบันประกอบด้วยโรงเรียนหลายแห่งที่เรียกว่า ‘สถานศึกษา’ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ในเมืองนั้นเป็นนักเรียนในสถานศึกษาเหล่านั้น

 

ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า จะมีเพียงเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ที่เพิ่งได้รับพรมาไม่นานเท่านั้นที่มาเยือนเมืองแห่งนี้

 

“หยุดนะ ไคท์ บางทีเขาอาจจะสอบตกมาแล้วหลายครั้งแล้วก็ได้ มันอาจจะเป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนัก ดังนั้นอย่างไปดูถูกเขานะ”

 

คนที่พูดออกมานั้นเป็นเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกับเด็กผู้ชายก่อนหน้านี้

เธอได้เตือนเด็กผู้ชาย แต่คำพูดหลังจากนั้นมันเลวร้ายมาก

 

“เงียบไปเลย คูฟา เธอเองก็คิดเหมือนกันกับฉันนิ”

“หา? ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้นหรอก”

 

บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนจะหนักขึ้น

หลังจากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนเข้ามา และพยายามทำให้ทั้งสองคนนั้นสงบสติลง

 

“ท-ท-ท-ทั้งสองคน ได้โปรดอย่างทะเลาะกันสิคะ…..”

ฉันไม่ได้ทะเลาะสักหน่อยคอลเล็ต

 

“ใช่แล้ว ฉันแค่เตือนไคท์เอง”

 

บางทีพวกเขาทั้งสามคนอาจจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่มาจากเมืองเดียวกัน และร่วมกันมุ่นหน้าไปยังเมืองเวทมนตร์

แต่ผมต้องการให้พวกเขาหยุดโต้เถียงกันโดยใช้เรื่องของผม

 

“ชิ”

“หืม-ม”

“ฮะ…”

 

ผมคิดว่าความคิดของผมน่าจะส่งไปถึงพวกเขา จนทำให้พวกเขาทั้งสามคนนั้นเงียบลง

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เด็กผู้ชายก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

 

“แล้วนายถนัดเวทอะไรงั้นเหรอ?”

 

ทำไมถึงต้องมาสนใจผมด้วยเนี่ย

หรือว่าเขาต้องการฆ่าเวลา หรือว่าเขาจะมีบุคลิกที่ไม่สบายใจเมื่ออยู่เงียบๆนานๆ

 

“หืม ผมก็ไม่ได้เจาะจงสายไหนเป็นพิเศษหรอก”

 

ผมตอบกลับไปอย่างใจเย็น

 

“หา? นายกำลังพูดถึงอะไรนะ ไม่มีเวทมนตร์ที่นายถนัดเลยงั้นเหรอ? ฉันกำลังหมายถึงสกิลที่นายมี สกิลน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคว้ามาได้ด้วยตัวเองนะ อย่างของฉันนะถนัดเวทสีแดง”

 

แม้ว่าจะเป็นอาชีพเริ่มต้นอย่างนักเวท แต่สกิลที่ได้รับมามันก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคนเช่น จอมเวทเริ่มต้นสีแดง หรือจอมเวทเริ่มต้นสีน้ำเงิน

 

ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีสกิลของเวทสีแดงสินะ

 

ว่ากันว่าเวทมนตร์นั้นประกอบด้วยกันหกประเภท

 

เวทสีแดง : เป็นเวทเกี่ยวกับไฟและความร้อน

เวทสีน้ำเงิน : เป็นเวทเกี่ยวกันน้ำ, น้ำแข็ง และความเย็น

เวทสีเขียว : เป็นเวทเกี่ยวกับอากาศ และสภาพอากาศ

เวทสีเหลือง : เป็นเวทเกี่ยวกับดิน และโลหะ

เวทสีขาว : เป็นเวทเกี่ยวกับแสง และชีวิต

เวทสีดำ : เป็นเวทเกี่ยวกับความมืด และความตาย

 

อย่างไรก็ตาม ผมนั้นไร้อาชีพ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วผมจึงไม่มีสกิล

ดังนั้นแม้ว่าผมถูกถามว่าถนัดเวทประเภทไหน ผมก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้

 

“เพราะว่าตั้งแต่เริ่มแรกแล้วผมก็ไม่มีสกิลเวทมนตร์ล่ะนะ”

 

“ไม่ ไม่ใช่แค่เวทมนตร์ แต่ว่าสกิลทั้งหมดเลย”

 

“เพราะว่าผมนั้นไร้อาชีพ”

“หา?”

 

เด็กผู้ชายตกตะลึงจนอ้าปากค้างเหมือนคนโง่

เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเมื่อเธอได้ยินมัน ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะดังขึ้นมา

 

“ชิ ฮะๆๆๆ! ไคท์ นายคงจะถูกหลอกแล้วล่ะ ปกติแล้วคนไร้อาชีพน่ะเข้าสถาบันเวทมนตร์ไม่ได้หรอก”

“อะไรนะ-…”

 

เมื่อเขารู้สึกว่าโดนแกล้ง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

 

ไม่ได้โกหกนะ นั่นคือความจริง

 

“ไม่ใช่เรื่องโกหกงั้นเหรอ”

 

ผมแสดงใบรับรองอาชีพของผมให้พวกเขาดู

 

“เอ๋? ไร้อาชีพจริงหรอเนี่ย!? นี่มันของปลอมหรือเปล่านะ?”

“น-นี่คือต้นฉบับจริงๆ…”

“ก๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ดังนั้นนายจึงต้องการไปเมืองเวทมนตร์งั้นเหรอ?” เด็กผู้ชายคนนี้นั้นบ้าจริงๆ!

 

ทันใดนั้นผู้โดยสารคนอื่นก็เริ่มหัวเราะ ราวกับถูกกระตุ้นโดยเสียงหัวเราะของเด็กผู้ชาย

 

อืม

เหมือนผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนนะ

 

ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีออร์คคิงก็ได้ปรากฏตัวออกมา—

 

“เอ๋ นั่นมัน…!”

 

ผู้โดยสารคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดัง

 

ผมได้มองไปยังทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นบอก

มันมีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้น

 

“โ-โทรลล์คิง!?”

 

ให้ตายสิ คราวนี้เป็นตัวตนระดับสูงอย่างโทรลล์งั้นเหรอ

 

 

วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~

วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~

Status: Ongoing
“อาชีพ” จะได้รับเมื่ออายุครบ 10 ขวบ และการที่มีหรือไม่มี “ทักษะ” จะส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก อาเรลลูกชายของ “เจ้าหญิงดาบ” ฟาร่า และ “ราชาแห่งเวทมนตร์” ลีออน ถูกตราหน้าว่าเป็น “ไร้อาชีพ”… แต่ถึงแม้จะไม่มีงานทำหรือทักษะใดๆ อาเรลเชื่อว่าเขาสามารถได้ทักษะเหล่านั้นผ่านความพยายามได้

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท