“สองคนนั้นอาจพอที่จะจับวิญญาณร้ายได้ แต่พวกเขาจะต้องทำอะไรไม่ถูกอย่างแน่นอนหากได้เผชิญหน้ากับปีศาจตัวเป็นๆ เมื่อปีศาจหักขาพวกเขา ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ข้าส่งไปจะพาพวกเขาออกจากการแข่งทันที ข้าจะทำให้มั่นใจว่าไม่ใช่แค่พวกเขาจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อคุกเข่าขอขมาต่อหน้าเจ้า แต่ข้าจะให้ทุกคนได้เป็นประจักษ์พยานอีกด้วยว่าเจ้าเด็กโง่เขลาพวกนี้มันน่าอับอายขายหน้าเพียงใด” หนีเปียวอธิบายแผนการชั่วร้ายของตัวเองอย่างใจเย็น
“ท่านพ่อช่างยอดเยี่ยมยิ่งนักขอรับ” หลังจากได้ฟังหนีเปียว ความโกรธของหนีหู่ก็พลันสลายไป เขากระหยิ่มยิ้มย่องรอจะได้เห็นอีกฝ่ายร้องขอความเมตตา เจ้าพวกตัวตลกไร้ความสามารถพวกนั้นคงคิดว่าตัวเองสามารถหาเรื่องเขาได้ แต่พวกเขาก็มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายต่างหาก!
แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน แต่สายตาชั่วร้ายของหนีหู่ก็ยังทำให้หัวใจของฮูหยินจูเก่อเต้นรัว
นางเตือนจูเก่ออวิ๋นและกลุ่มของเขาอีกครั้งหนึ่งด้วยความเป็นห่วงว่าให้ระมัดระวังตัวกันไว้ให้ดี
ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดว่าตระกูลจูเก่อจะชนะ ดูจากจำนวนของผู้เข้าแข่งขันแล้ว กลุ่มของเขามีขนาดเล็กจนน่าอดสูทีเดียว
หลังจากทุกกลุ่มมาต่อแถวกันเรียบร้อยแล้ว การแข่งขันจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ การแข่งขันในรอบแรกจะเป็นการตัดสินว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของตระกูลใดจะมาถึงทางเข้าสุสานหลวงได้เป็นกลุ่มแรก และกลุ่มที่ทำได้จะได้เป็นผู้ชนะ
หากดูจากจำนวนผู้เข้าแข่งขันแล้ว ตระกูลหนีย่อมมีโอกาสชนะสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย กลุ่มของผู้เข้าแข่งขันจากสองตระกูลหลักๆ มีกลุ่มย่อยเป็นของตัวเองอย่างมากก็ไม่เกินห้ากลุ่ม และทุกกลุ่มในนั้นมีผู้เข้าแข่งขันจำนวนสามคน แต่ตระกูลหนีมีกลุ่มย่อยทั้งหมดจำนวนยี่สิบกลุ่ม ไม่ว่าใครจะมาถึงก่อน ก็จะถือว่าเป็นชัยชนะของตระกูลหนีทั้งสิ้น
ตระกูลจูเก่อเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มเดียวที่พวกเขามีคือกลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเขา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากตระกูลหนีไม่มองพวกเขาด้วยซ้ำ กลุ่มที่ตั้งขึ้นในนาทีสุดท้ายมีโอกาสน้อยมากที่จะชนะ พวกเขาอาจได้ตายระหว่างทางไปยังสุสานหลวงด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าตัวเองจะไปถึงสุสานหลวงได้
อีกสองตระกูลหลักกลับให้ความสนใจกับพวกเขา แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะระวังจูเก่ออวิ๋นกันเสียมากกว่า ต่อให้อีกสองคนมีฝีมือโดดเด่น แต่การขับไล่วิญญาณร้ายที่แท้จริงขึ้นอยู่กับสายเลือดและประสบการณ์ ยิ่งกว่านั้น คนนอกสองคนนี้ก็มีแต่จะกลายเป็นภาระในระหว่างการเดินทางไปยังสุสานหลวง
แน่นอนว่าพวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์ของตระกูลจูเก่อกันเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีคนนอกขอเสนอเข้าร่วมกลุ่ม จูเก่ออวิ๋นย่อมทำได้เพียงต้องสละสิทธิ์ในการแข่งขันครั้งนี้ อย่างไรเด็กคนอื่นๆ ในตระกูลจูเก่อก็ยังเด็กเกินไป การส่งพวกเขาไปที่นั่นจึงไม่ต่างจากการส่งไปตาย ดังนั้นการเดินทางไปที่นั่นพร้อมกับคนอื่นจึงเป็นความคิดที่ฉลาดกว่า
แต่การทำเช่นนี้ย่อมเหมือนการกำหนดชะตาให้พวกเขาต้องตกเป็นผู้แพ้
หนีหู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง เขายังไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยจูเก่ออวิ๋นว่า “พี่อวิ๋น ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าคงไม่คิดถึงเรื่องการเอาชนะ แต่จะพยายามคิดหาทางเอาชีวิตรอดกลับไปให้ได้ นี่เป็นการเดินทางที่อันตราย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ตระกูลจูเก่อคงได้จบสิ้นแน่”
“เจ้าห่วงตัวเองดีกว่า” จูเก่ออวิ๋นตอบกลับอย่างเย็นชา เขาไม่ไว้หน้าหนีหู่เลยแม้แต่นิดเดียว
หนีหู่หัวเราะอยู่เงียบๆ ในใจ ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตัวอวดดีต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะต้องตกตะลึง หลังจากวันนี้ไปเจ้าจะได้คุกเข่าลงขอขมาข้าแน่!
ผู้ตัดสินประกาศว่า “เอาล่ะ แต่ละกลุ่มจะมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ตอนนี้แยกย้ายกันไปตามกลุ่มของตัวเองได้แล้ว!”
เซียวหลิงอวี้ที่อยู่ข้างเดียวกันกับหนีหูู่เหลือบมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วพูดกับหนีหู่ว่า “นายน้อยหนี เจ้าไม่ต้องพูดอะไรกับคนอื่นเช่นนั้นหรอก ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในป่า พวกเขาอาจจะตกใจกลัวปีศาจจนหาทางกลับมาไม่ได้อีกเลยด้วยซ้ำ คนพวกนี้อาจจะตบตาคนธรรมดาได้ แต่พวกเขาเป็นเพียงขยะไร้ค่าสำหรับเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของเรา บางทีถ้าถึงเวลานั้น พวกเขาอาจจะร้องห่มร้องไห้ ขอให้พวกเราช่วยพวกเขาก็ได้”
องค์ชายทำเพียงกระตุกยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยเฉกเช่นปกติเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายนั้น เซียวหลิงอวี้ก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่เขากลับทำเพียงส่ายศีรษะ เขาคิดกับตัวเองว่า ชายคนนั้นก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีวรยุทธ์ดีกว่าคนอื่นเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้ข้าคงคิดไปเองเสียมากกว่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นรอยยิ้มขององค์ชายเช่นกัน นางคุ้นเคยกับวิธีการขององค์ชายเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้นางจึงถอยห่างออกจากเซียวหลิงอวี้อย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลงจากการลงมือขององค์ชาย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่คิดที่จะลงมือ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับทำเพียงแค่ชำเลืองมองนาง แล้วออกเดินอย่างสง่างาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว เขากลายเป็นคนใจดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเงียบ แต่เขาแตกต่างจากผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่น เขาค่อยๆ ออกเดินอย่างช้าๆ พร้อมกับแผ่บรรยากาศเย็นชาไม่แยแสออกมา เขาจับมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ และเล่นกับมือที่อยู่ในมือตัวเองบ้างเป็นครั้งคราว เขายังคงดูไร้อารมณ์และไม่สนใจสิ่งใดเหมือนเดิม
ในจำนวนพวกเขาสามคน จูเก่ออวิ๋นเป็นคนที่ประหม่าที่สุด เพราะเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีหนทางที่จะเอาชนะได้เลย อย่างไรตระกูลหนีก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะหนีเฟิ่งผู้เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนีได้
ถึงพวกเขาจะสามารถโค่นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นได้เพราะโชคช่วย แต่พวกเขาคงไม่มีทางเร็วไปกว่านาง
เขาไม่แน่ใจด้วยว้ำว่าพวกเขาจะสามารถไปถึงทางเข้าสุสานหลวงได้อย่างปลอดภัย
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับคนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีพวกเขา ตระกูลจูเก่อคงจำต้องออกจากการแข่งขัน
บางที เขาอาจจะโลภมากเกินไป
จูเก่ออวิ๋นหลุบตาลง แล้วกำหมัดแน่น เขาอยาก… เขาอยากชนะมากจริงๆ!
“ทำไมเจ้าถึงดูประหม่านักล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมาถามเขาราวกับว่านางสามารถอ่านความคิดของจูเก่ออวิ๋นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวพวกข้าหรือ”
จูเก่ออวิ๋นรีบส่ายหน้ารัวเร็ว แล้วอธิบายว่า “เปล่าเลยขอรับ เพียงแต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป”
“ก็แค่กลุ่มย่อยสามสิบกลุ่ม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกางแผนที่ในมือออก นางก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเส้นทางที่พวกนางได้คือทางที่ยากที่สุด เส้นทางของพวกนางถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ อีกทั้งยังต้องผ่านน้ำตกอีกด้วย สถานที่พวกนี้จะต้องมีปีศาจและเรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้ว่านางเอาความมั่นใจพวกนั้นมาจากไหน แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงไร้ซึ่งความสะทกสะท้านของนาง เขาก็อดเชื่อไปเสียไม่ได้ แต่เขากลับเอ่ยขึ้นว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเขาขอรับ คนที่เราต้องเป็นห่วงคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนีต่างหาก แม้นางจะยังไม่ได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แต่นางจะต้องพากลุ่มของตัวเองออกเดินทางเช่นเดียวกันกับพวกเราแน่ พี่เว่ยเองก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ท่านคงรู้ว่าในโลกของการขับไล่วิญญาณร้ายนั้น คนที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดอาจเป็นพระชายามาเกิดใหม่”
“พระชายาที่มาเกิดใหม่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วถามว่า “มีพระเคยทำนายเอาไว้มิใช่หรือว่าพระชายาจะปรากฏขึ้นในตระกูลเฮ่อเหลียนที่อยู่ในจักรวรรดิจ้านหลง ทำไมนางถึงมาอยู่ในตระกูลหนีได้ล่ะ”
จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้า และตอบว่า “ทีแรกมันก็เหมือนจะเป็นเรื่องจริงขอรับ แต่ต่อให้ตระกูลเฮ่อเหลียนแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย นอกจากนั้นคุณหนูหนีก็ยังเกิดมาพร้อมกับพลังวิญญาณมหาศาล แม้กระทั่งหงส์เพลิงก็ยังถูกนางดึงดูดเข้ามาหา และนางยังมีนามว่าหนีเฟิ่ง เป็นชื่อเดียวกันกับพระชายาเมื่อสมัยก่อนอีกด้วยขอรับ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่านางเป็นพระชายาตัวจริงที่มาเกิดใหม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเมื่อนางได้ฟังเรื่องนี้ แล้วตอบอย่างมีเลศนัยว่า “ไม่เคยมีใครสงสัยเลยหรือว่าพระชายาที่กลับชาติมาเกิดคนสุดท้ายอาจเป็นตัวปลอม บางทีก่อนหน้านี้ อาจไม่มีพระชายามาเกิดใหม่ก็ได้…”