ตอนที่ 738 นายกเทศมนตรีวังตื่นตระหนก
แม้เขาจะเพิ่งเจอกับหลินม่ายเมื่อวานนี้ แต่นายกเทศมนตรีวังก็รายงานเรื่องการเจรจากับหลินม่ายต่อผู้บังคับบัญชาของเขาในเช้าวันนี้
แม้ในคำพูดของผู้บังคับบัญชายังคงหวังว่าหลินม่ายจะเกรงใจโรงงานอุตสาหกรรมเบาและรัฐบาล ยอมผ่อนปรนและไม่ทวงถามเงินค่าโครงการจากโรงงานอุตสาหกรรมเบาก็ตาม
แต่คนที่ยืนกรานจะทวงเงินโครงการคืนก็ไม่ได้ทำผิดอะไร
ในเมื่อโน้มน้าวใจไม่ได้ ก็ต้องยินยอมทำตาม
ท้ายที่สุดการบีบบังคับจนหลินม่ายย้ายออกไปเพราะเงินโครงการ มันก็เป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างของการหยิบเมล็ดงาสูญเสียแตงโม
ผู้ว่าการมณฑลสั่งให้นายกเทศมนตรีวังบังคับผู้อำนวยการหูให้ย้ายคนงานออกจากอาคารหอพักที่สร้างขึ้นใหม่หลายหลัง เพื่อนำไปจำนองกองทุนโครงการของว่านถงกรุ๊ป
ผู้ว่าการมณฑลไม่พอใจกับการกระทำของผู้อำนวยการหูอย่างยิ่ง
เงินค่าจ้างยังไม่มีปัญญาจ่าย แล้วยังต้องการเงินสร้างหอพักอีก!
รัฐบาลได้รับความทุกข์ยากด้วยการนี้ และเขาจะต้องถูกตำหนิ
นายกเทศมนตรีวังไม่กล้าละเลยคำสั่ง หลังวางสายโทรศัพท์ เขาจึงโทรหาผู้อำนวยการหูเพื่อนัดหมายอีกฝ่ายให้เข้าพบ
ผู้อำนวยการหูรีบตรงมายังสำนักงานของนายกเทศมนตรีวังทันที
นายกเทศมนตรีวังวิจารณ์เขาเมื่อเห็นหน้า
ความหมายโดยนัยของคำพูดคือ การกล่าวโทษผู้อำนวยการหูที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ ทำให้เขาถูกผู้บัญชาการตำหนิ และมันจะกลายเป็นเรื่องยากที่จะไต่เต้าในอาชีพการงานในอนาคต
ผู้อำนวยการหูมักร้องขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อนำมาจ่ายค่าจ้างแก่คนงานในโรงงาน ผิวหน้าของเขาเริ่มหนาเกินไปแล้ว
เมื่อนายกเทศมนตรีวังดุด่า เขาเพียงก้มหน้าลงและแสร้งสำนึกผิด
แต่คำพูดดุด่าของนายกเทศมนตรีวังนั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
นายกเทศมนตรีวังดุผู้อำนวยการหูเสร็จแล้ว เขาจึงสั่งให้อีกฝ่ายย้ายคนออกจากอาคารหอพักที่สร้างขึ้นใหม่สองถึงสามหลังเพื่อนำไปจำนองเงินโครงการที่เป็นหนี้ว่านถงกรุ๊ป
ทันใดนั้นดวงตาของผู้อำนวยการหูก็เบิกกว้าง ไม่คาดคิดว่านายกเทศมนตรีวังจะสั่งให้เขาทำแบบนี้
เขาบอกนายกเทศมนตรีวังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าโรงงานไม่ได้สร้างหอพักใหม่เลยในช่วงสองถึงสามทศวรรษที่ผ่านมา และคนงานเริ่มบ่นถึงเรื่องนี้
ถ้าต้องนำหอพักสองถึงสามอาคารเพื่อนำไปจำนองกองทุนโครงการของ ว่านถงกรุ๊ป คนงานในโรงงานจะต้องฆ่าเขาเป็นแน่
นายกเทศมนตรีวังพูดด้วยสีหน้ามืดหม่น “โรงงานของคุณไม่ได้สร้างหอพักใหม่มาหลายสิบปี คุณในฐานะผู้อำนวยการโรงงานไม่มีความสามารถ จึงพยายามบอกว่าตนเองไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้งั้นหรือ?”
แม้ผู้อำนวยการหูจะเห็นว่านายกเทศมนตรีวังไม่พอใจในตัวเขามาก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
ไม่ว่าใครก็ทราบว่าเขามาหานายกเทศมนตรีวังบ่อยๆ เพื่อขอเงินช่วยเหลือ และนั่นทำให้นายกเทศมนตรีวังมีหน้ามีตามาถึงทุกวันนี้
ผู้อำนวยการหูกล่าวด้วยสีหน้าเศร้า “หอพักใหม่ทั้งหมดถูกครอบครองแล้ว ในบรรดาพนักงานที่ได้รับจัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่ จะมีใครบ้างที่เต็มใจย้ายออกจากที่อยู่อาศัยใหม่ที่พวกเขาอยู่ดีกินดี? คนงานไม่ยอมย้ายออก แล้วจะให้ผมทำยังไง?”
เขาพูดอย่างไม่พอใจ “เราแค่ไม่จ่ายเงินสำหรับโครงการ มาดูกันสิว่า ว่านถงกรุ๊ป จะทำอะไรกับเราได้บ้าง! บริษัทร่ำรวยถึงขนาดนั้น ไม่ได้รับเงินโครงการสักแห่งจะเป็นอะไรไป!”
นายกเทศมนตรีวังเดือดดาลหนัก “คุณบอกเองว่าโรงงานอุตสาหกรรมเบาขาดแคลนเงิน แล้วทำไมถึงยังดิ้นรนสร้างอาคารหอพักอีก? ตอนนี้มันสร้างเสร็จแล้ว แต่คุณกลับไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าโครงการ อย่างน้อยคุณก็ต้องนำอาคารสองถึงสามหลังไว้เป็นหลักประกันสำหรับโครงการ คุณจะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ คุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้องนำอาคารทั้งหมดไปจำนองเพื่อจ่ายเงินค่าจ้างพนักงาน!”
ผู้อำนวยการหูหัวเราะ “ในเมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว มันมีประโยชน์อะไรที่จะพูดเรื่องนี้อีก ว่านถงกรุ๊ปเป็นแค่องค์กรเอกชนขนาดเล็ก หากรัฐบาลของคุณกดดันหล่อนจนไร้ทางหนี ผมไม่เชื่อว่าสาวน้อยแซ่หลินจะไม่ยอม!”
นายกเทศมนตรีวังตะคอกกลับอย่างเย็นชา “ว่านถงกรุ๊ปเป็นองค์กรเอกชนขนาดเล็กงั้นเหรอ? โรงงานอุตสาหกรรมเบาของคุณมีขนาดใหญ่กว่าที่อื่นมากหรือไง? คุณสามารถจ่ายเงินภาษีให้กับรัฐบาลได้ไหม? นับประสาอะไรกับการเสียภาษี คุณแบกหน้ามาขอเงินจากรัฐบาลทุกครั้งไป ว่านถงกรุ๊ปเป็นผู้เสียภาษีที่ใหญ่ที่สุดในมณฑล และยังคงเป็นอันดับหนึ่ง! ถ้าคุณปล่อยให้รัฐบาลของเรากดดันว่านถงกรุ๊ป คิดว่าประธานหลินจะยอมงั้นหรือ? คุณไม่ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือสำหรับคนอายุเท่านี้? หลินม่ายกำลังย้านฐานบริษัททั้งหมดไปยังซิงเฉิงแล้ว!”
เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย นายกเทศมนตรีวังตบโต๊ะด้วยความโกรธ
เขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง และกลัวว่าหลินม่ายจะย้ายบริษัทออกไป
ผู้อำนวยการหูตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าหลินม่ายจะเด็ดขาดและต้องการย้ายบริษัทออกไปจริงๆ
การย้ายบริษัททั้งหมดไปอีกเมืองจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
หญิงสาวคนนี้ยอมจ่ายเงินราคาแพง ดีกว่าทวงถามเงินค่าโครงการจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่มีนัยสำคัญกับเธอ นี่เธอเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
ผู้อำนวยการหูกล่าวคำด้วยท่าทางหดหู่ “ผมไม่สามารถไล่คนงานออกจากหอพักใหม่ได้จริงๆ หากนายกเทศมนตรีวังมีวิธีดีๆ เช่นนั้นคุณควรไปจัดการ”
นายกเทศมนตรีวังโกรธมากที่ผู้อำนวยการหูไม่แม้แต่จะพยายามให้คนงานย้ายออกไป และพยายามโยนความรับผิดชอบมาที่เขา
เขานึกตัดสินใจอยู่ในใจ ไม่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินโครงการได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ตาม เขาต้องปลดผู้อำนวยการหูออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงาน
ในฐานะผู้อำนวยการโรงงาน ผู้อำนวยการหูทำงานมานับสิบปี แต่กลับไม่มีผลงานใดเลย เขารู้เพียงว่าต้องขอเงินจากรัฐบาลเท่านั้น
ตอนนี้อีกฝ่ายยิ่งฮึกเหิมโยนความผิดให้เขาที่เป็นถึงนายกเทศมนตรี
ในเมื่อไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงาน ดังนั้นจึงควรมองหาคนอื่นที่มีความสามารถมาทำแทน
ความจริงแล้วที่ผู้อำนวยการหูโยนความผิดให้กับนายกเทศมนตรีวัง เพราะเขาไม่มีเลือกอื่นใดและไม่สามารถให้คนงานย้ายออกได้จริงๆ
เวลาราวสิบนาฬิกา แม้ว่านายกเทศมนตรีวังจะส่งกำลังตำรวจออกไป เพื่อเตือนคนงานและครอบครัวของพวกเขาที่อาศัยอยู่ในหอพักใหม่ของโรงงานอุตสาหกรรมเบาว่าหากพวกเขาไม่ย้ายออกไปภายในครึ่งวัน พวกเขาจะถูกจับตัวส่งเข้าตาราง
แต่ในที่สุดคนงานและสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับการจัดสรรบ้านกลับถูกกดดันจนไร้ทางหนี
หากใครต้องการยึดที่อยู่อาศัยของตนคืน พวกเขาจะยอมตายอยู่ที่นี่
หญิงชราบางคนถึงกับกลืนยาเบื่อหนูต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โชคดีที่ตำรวจส่งหญิงชราเหล่านั้นไปล้างท้องที่โรงพยาบาลได้ทันเวลาจึงไม่มีใครเสียชีวิต
แต่นายกเทศมนตรีวังมีเหงื่อเย็นไหลอาบร่างกาย
ถ้ามีคนตายขึ้นมา เขาจะต้องรับผิดชอบ
ยิ่งกว่านั้น ประชาชนที่ไม่รู้หนังสือจะกล่าวหาว่ารัฐบาลขู่บังคับประชาชนให้ตาย
นายกเทศมนตรีวังไม่กล้าบีบบังคับคนงานของโรงงานอุตสาหกรรมเบาที่ได้รับการจัดสรรบ้านใหม่ส่งมอบคืน
เขาทำได้เพียงรีดไถเงินจากการเงินที่ตึงตัว จ่ายเงินค่าโครงการที่เป็นหนี้ให้กับว่านถงกรุ๊ป เพื่อไม่ให้หลินม่ายย้ายบริษัทออกไป
นายกเทศมนตรีวังขอให้เลขานุการติดต่อหลินม่าย บอกว่าเขาต้องการชำระเงินค่าโครงการโดยเร็วที่สุด แต่เสิ่นเสี่ยวผิงบอกเขาว่าหลินม่ายไม่ได้อยู่ในเมืองเจียงเฉิง
ทันใดนั้นนายกเทศมนตรีวังก็ตื่นตระหนก
หลินม่ายกลับมายังเมืองเจียงเฉิงในช่วงวันหยุดฤดูหนาวเพียงเพื่อจัดการกับกิจการของบริษัทไม่ใช่หรือ?
แล้วเธอจะไปที่ไหนได้หากไม่ได้อยู่ในเมืองเจียงเฉิง?
หรือว่าเธอจะแอบเดินทางไปซิงเฉิงเพื่อติดต่อรัฐบาลท้องถิ่นเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานบริษัท?
ยิ่งนายกเทศมนตรีวังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นจึงขอให้เลขานุการติดต่อหลินม่ายให้ได้
เขาจะต้องหยุดหลินม่ายก่อนที่เธอจะบรรลุข้อตกลงกับผู้ว่าเมืองซิงเฉิง
แต่เขาไม่รู้ว่าขณะที่ตัวเองกระวนกระวายใจ หลินม่ายกำลังอุ้มโต้วโต้วเดินเล่นอยู่กับปู่ฟางและย่าฟาง
นายกเทศมนตรีวังร้อนใจอย่างยิ่งที่ไม่สามารถติดต่อหลินม่าย
ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาต้องเป็นคนจ่ายค่าโครงการให้หลินม่าย เขาควรตอบตกลงกับเธอคราวที่รับประทานอาหารค่ำด้วยกันเมื่อวานนี้
ตอนนี้ยากเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใดแล้ว
ขณะที่นายกเทศมนตรีวังร้อนรนใจ หลินม่ายไม่ได้ร้อนใจเลย
เธอ ปู่ฟาง และคนอื่นๆ อยู่ในเมืองซื่อเหม่ยจนถึงเที่ยงของวันถัดไป หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน พวกเขาก็ออกเดินทางไปยังเมืองเจียงเฉิง
ก่อนหน้าพวกเขาวางแผนจะอยู่ในเมืองซื่อเหม่ยนานกว่านี้ แต่เพราะยังไม่ได้รับคืนเงินค่าโครงการสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเบา ดังนั้นหลินม่ายจึงต้องกลับไปยังเมืองเจียงเฉิงเพื่อขอเงินโครงการ
เธอพาปู่ฟางและคนอื่นๆ ไปเที่ยวชนบทในครั้งนี้ ประการแรกเพื่อสนองความคิดถึงบ้านเกิดของคู่สามีภรรยาเฒ่า และประการสองเพื่อให้นายกเทศมนตรีวังร้อนใจจนติดร่างแห
เมื่อถึงเวลา เธอจะกลับไปเก็บปลาที่ติดร่างแหเหล่านั้น
ในชนบทอย่างเมืองซื่อเหม่ยเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกรถแท็กซี่
ด้วยอุปนิสัยของปู่ฟาง มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้นายกเทศมนตรีของเมืองซื่อเหม่ยขับรถไปส่งพวกเขาที่เมืองเจียงเฉิง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินทางกลับด้วยรถไฟ
ทั้งครอบครัวเดินทางไปยังสถานีรถไฟโดยแบกสินค้าเกษตรทุกชนิดที่ชาวบ้านนำมาให้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชาวบ้านหลายคนก็วิ่งเข้ามาช่วยพวกเขาถือของขึ้นรถไฟ
เมื่อพวกเขามาถึงสถานีรถไฟฮั่นโขว หลินม่ายแอบให้เงินพนักงานต้อนรับสองคนคนละห้าหยวน เพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือในการยกสิ่งของขึ้นไปบนรถไฟ
เงินห้าหยวนสำหรับการยกของขึ้นรถไฟถือว่าคุ้มค่ามาก
พนักงานต้อนรับชายสองคนยินดีช่วยเหลือยกสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถไฟ
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเห็นพวกเขาและถามอย่างสงสัย “พวกคุณย้ายของพวกนี้ให้ใคร?”
พนักงานต้อนรับชายคนหนึ่งชี้ไปยังชายอีกคนและพูดว่า “ย้ายของให้ญาติของเขาน่ะ”
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องโป้ปดเพื่อเบี่ยงความสนใจของเพื่อนร่วนงาน
หลินม่ายขอให้ปู่ฟางและย่าฟางเฝ้ากองสัมภาระกับโต้วโต้ว
ส่วนเธอเดินออกไปนอกสถานีรถไฟเพื่อจ้างคนงานสองคนกลับไปที่บ้านพัก เพื่อให้พวกเขาทำงานสวนต่อ
หลังจากดำเนินการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด หลินม่ายแทบหมดแรง ขณะที่นายกเทศมนตรีวังแทบระเบิดอารมณ์
ยิ่งติดต่อหลินม่ายไม่ได้ เขายิ่งร้อนใจมากขึ้น
ครอบครัวของหลินม่ายไม่ได้กลับมาที่บ้านพักกระทั่งเวลาบ่ายสองโมงกว่า
ทันทีที่วางของลง สายของเสิ่นเสี่ยวผิงก็โทรเข้ามา
หล่อนบอกหลินม่ายว่านายกเทศมนตรีวังพยายามติดต่อเธออย่างกระวนกระวายใจ
หลินม่ายกล่าวว่า “บอกนายกเทศมนตรีวังว่าฉันจะไปยังสำนักงานของเขาตอนสี่โมงเย็น”
ตอนนี้คนที่กังวลคือนายกเทศมนตรีวัง ไม่ใช่ตัวเธอ ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้เขากังวลต่ออีกสักพัก
หลินม่ายวางสายโทรศัพท์และคิดอยากซื้อน้ำดื่มสักแก้ว จู่ๆ เคอจื่อฉิงก็โทรมาและบอกหลินม่ายว่าเฉินเฟิงกลับจากฮ่องกงมาถึงเมืองเจียงเฉิงแล้ว และขอให้เธอแวะเวียนไปหาที่บ้าน
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยิน เธอหยิบสตรอว์เบอร์รีครึ่งหนึ่งที่ฟู่เฉียงมอบให้ พร้อมพาแม่ไก่แก่สองถึงสามตัวและตะกร้าไข่ใบเล็กเพื่อตรงไปยังบ้านของเคอจื่อฉิง
เคอจื่อฉิงและคนรักกำลังยืนอยู่ที่ประตูลานบ้านเพื่อต้อนรับเธอ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีโอกาสตั้งนานไม่คว้าไว้ พอเรื่องใหญ่กว่าเดิมแล้วจะจัดการยังไง เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย
ไหหม่า(海馬)