บทที่ 714 ม่านหมอกปกคลุม นี่มันสถานที่แห่งใดกัน?!
จ้าวแห่งความพิศวงกู่ร้อง ไม่เคยต้องรู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนี้มาก่อน ถูกกระโถน ‘รดน้ำ’ ใส่อย่างต่อเนื่อง อารมณ์ทั้งหมดของมันแทบจะระเบิดออกมาแล้ว!
มันเอาดาบโลหิตออกมา แสงสีชาดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ดาบเล่มนี้เคยถูกย้อมด้วยเลือดของยอดฝีมือแดนบรรพโกลาหลมาไม่รู้แล้วตั้งเท่าไหร่ มันจะต้องทุบกระโถนให้แตกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดาย ที่มันทำได้เพียงแค่คิด
พลังของกระโถนนั้นลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ สยบจ้าวแห่งความพิศวงลงได้อย่างสมบูรณ์ จ้าวแห่งความพิศวงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถูกกระโถนหยอกล้อไปมา
จ้าวแห่งความพิศวงอัดอั้นตันใจจริง ๆ หากเขารู้เรื่องนี้แต่แรก แม้ว่าพูดอย่างไรเขาก็จะไม่มาที่นี่ กระโถนนี่เป็นของผู้ใดกัน จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!ุ
เห็นได้ชัดว่า กระโถนไม่ได้ต้องการจะสังหารจ้าวแห่งความพิศวงในทันที เพราะมันไม่เคยใช้กระบวนท่าสังหารอันใดออกมาให้เห็น ไม่เช่นนั้นจ้าวแห่งความพิศวงคงถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว ไม่อาจอยู่ได้นานถึงเพียงนี้
สมบัติชิ้นอื่น ๆ เองก็ต่อสู้อย่างดุเดือด การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้พวกมันปลุกเร้าพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมาได้
ในตอนแรก พวกมันต่างถูกกดดันยับเยิน ก่อนจะค่อย ๆ ย่นระยะห่างกับคู่ต่อสู้ขึ้นมาทีละนิด จนในที่สุดพวกมันก็เริ่มสามารถกดดันคู่ต่อสู้กลับได้แล้ว!
การเติบโตของมัจฉาสัตมายาเองก็สามารถเห็นได้ชัดเจน ภายใต้แรงกดดันของการต่อสู้ระดับเป็นตาย ศักยภาพของมันถูกกระตุ้นให้ระเบิดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พลังยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ นับว่าการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายครั้งนี้ช่วยเหลือมันได้เป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง ต้นหลิวก็ลงมืออีกครั้ง กิ่งหลิวกวัดแกว่งแผ่วเบา พลันเกิดแสงกระเพื่อมออกมา ทำให้พลังของสิ่งมีชีวิตพิศวงเหล่านั้นสูงขึ้น ช่วยให้เหล่าสมบัติได้ลับฝีมือมากกว่าเดิม
ครั้งแล้วครั้งเล่า พลังของเหล่าสมบัติถูกกระตุ้นให้ระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง จนในท้ายที่สุดแม้ว่าต้นหลิวจะไม่ได้จำกัดพลังของสิ่งมีชีวิตพิศวงเอาไว้ พวกมันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าสมบัติอีกต่อไปแล้ว ถูกเหล่าสมบัติสยบและสังหารลงได้อย่างง่ายดาย!
จ้าวแห่งรัดติกาลเองก็ถูกสังหาร เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในดวงดาวแห่งนี้ต่างถูกกำจัดไปจนสิ้น นครพิศวงของจ้าวรัตติกาลก็ล่มสลายไปโดยเช่นนี้
“เจ้าเองก็ไปได้แล้ว”
กระโถนลงมือสังหารจ้าวแห่งความพิศวงทันที ยุติการต่อสู้ครั้งนี้ลงอย่างสมบูรณ์
“กลับเถิด”
ต้นหลิวสร้างเส้นทางขึ้นมา เหล่าสมบัติทยอยพากันเดินเข้าไปในเส้นทาง
มัจฉาสัตมายาเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย มันต้องการกลับไปดูยังอาณาจักรอวี้ซวี ต้องการจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับชางเหยา
“ช่างเถิด”
ทว่าสุดท้ายมันก็ก้าวขึ้นไปบนเส้นทาง ไม่ได้กลับไปยังอาณาจักอวี้ศวี
ตอนนี้มันยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตนเองมีให้ชางเหยา มันจึงไม่ยังไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับชางเหยา ต้องการจะกลับไปขบคิดให้ชัดเจนก่อนจึงค่อยไปหาชางเหยา
เหล่าสมบัติต่างอยู่บนเส้นทางแล้ว ส่วนต้นหลิวเองก็เตรียมตัวจะกลับ
“หืม?!”
ขณะนั้นเอง ต้นหลิวพลันหันไปมองยังทิศทางหนึ่ง
“จ้าว…สูงสุด…กลับมา…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาภายในใจของมันอย่างกะทันหัน นี่เป็นภาษาที่มันไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังขาด ๆ หาย ๆ ไม่สมบูรณ์ ทำให้มันเข้าใจความหมายเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
“เกิดอันใดขึ้นหรือพี่หลิว?”
มีสมบัติที่พบว่าท่าทางของต้นหลิวผิดปกติ จึงเอ่ยถามออกมา
“ไม่มีอันใด พวกเจ้ากลับไปเถิด” ต้นหลิวตอบ
มันเผยร่างต้นไม้ทั้งหมดออกมาทันที รากฝังลงไปยังใจกลางจักรวาลหมื่นดารา ทั่วทั้งลำต้นเปล่งแสงแวววาวตระการตาอย่างถึงที่สุด กฎเกณฑ์สูงสุดอันไม่สามารถจินตนาการถึงได้เริ่มไหลเวียนไปทั่วรอบต้นไม้
เมื่อครู่คือเสียงอันใดกัน? เหตุใดจึงส่งเสียงเข้ามาภายในใจของมันได้?
อีกทั้งมันเองยังไม่สามารถสัมผัสได้ว่ามาจากที่ใด!
นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร?!
ขอบเขตของมันล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง ยกเว้นคุณชาย เกรงว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะมีผู้ใดสามารถต่อกรกับมันได้ ทว่ามันกลับไม่อาจสัมผัสได้จริง ๆ ว่าเสียงนี้มาจากไหน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ต้นหลิวทั้งต้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กิ่งหลิ่วทั้งหมดทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทั่วทั้งจักรวาลอันเต็มไปด้วยดวงดาราพร่างพราย มันกำลังพยากรณ์ตามหาแหล่งที่มาของเสียงนี้!
อย่างไรก็ตาม มันที่ไร้ผู้เปรียบมาโดยตลอดกลับประสบความล้มเหลวในครานี้!
มันสัมผัสไม่ได้ลยว่าเสียงนั่นมาจากที่ใดกันแน่!
นี่จะต้องทรงพลังถึงเพียงใดกัน?
หัวใจของมันหนักอึ้ง พยากรณ์ได้เพียงม่านหมอกหนาทึบ อีกทั้งยังเหมือนเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง ไม่อาจสรุปหาความจริงทั้งหมดได้ เนื่องจากถูกพลังมหาศาลบางอย่างปิดกั้นเอาไว้
ภายในหมอกที่แผ่ตัวไร้ขอบเขต มีแท่นหินสูงที่ดูเหมือนแท่นบูชาอยู่ ด้านบนแกะสลักเอาไว้ด้วยอักขระหลากหลายที่ยากแก่การเข้าใจ แม้จะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นมัน เมื่อได้เห็นก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้!
ด้านบนแท่นหินมีโต๊ะศิลาเก่าแก่โบราณที่นำพาความรู้สึกหนักอึ้งและผ่านกาลมาอย่างยาวนาน ด้านบนโต๊ะศิลาเองก็คล้ายจะมีบางอย่างอยู่บนนั้น ราวกับเป็นเครื่องบรรณาการแก่บางสิ่ง
นั่นคืออันใดกัน?
หัวใจดวงหนึ่งอย่างนั้นหรือ?!
ต้นหลิวเห็นของสิ่งนั้น มันเหมือนกับหัวใจของมนุษย์ ทว่ามีสีทองทั้งดวง อีกทั้งยังคงเต้นกระหน่ำอยู่ด้านบนโต๊ะศิลา
หัวใจดวงนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง จังหวะการเต้นของหัวใจสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อต้นหลิว ราวกับว่ามันกำลังจมดิ่งลงไป สติเริ่มพร่ามัวลง!
ต้นหลิวไม่กล้ารั้งรอ รีบถอนสายตากลับมา ทำให้สติกลับมาแจ่มชัดดังเดิม
มันเบนสายตาไปยังทิศทางอื่น
ท่ามกลางสายหมอกอันไร้ขอบเขต มีสถานที่อีกหลายแห่งถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านหมอก แท่นบูชานี้ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้น
อีกที่หนึ่งปรากฏสายนทีสีดำขนาดใหญ่ น้ำด้านในดำสนิทราวกับน้ำหมึก ทั้งยังซัดสาดอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าไหลมาจากที่ใด และก็ไม่รู้ว่าจะไหลไปที่ใด
บนแม่น้ำสีดำมีซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ ซากศพเหล่านั้นมีทั้งเผ่ามนุษย์ เผ่าอสูร และเผ่าอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ต้นหลิวมองแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญหาย ถึงแม้ว่าซากศพเหล่านี้จะกลายเป็นสภาพเน่าเปื่อยตายสนิทไปนานแล้วก็ตาม แต่มันยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความน่าสะพรึงกลัวของซากศพเหล่านี้ที่สามารถนำแรงกดดันมหาศาลมาให้กับมันได้!
“นี่มัน…อันใดกัน?!”
ต้นหลิวมองตามทิศทางที่ซากศพลอยไป เดิมทีที่ตรงนั้นมีหมอกหนาจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ทว่ายามนี้กลับดูเหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งแหวกม่านหมอกที่ปกคลุมไว้ออกมา!
มันเพ่งสายตามอง สุดท้ายก็สามารถเห็นสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน มันเป็นปากขนาดมหึมาเต็มไปด้วยฟันแหลมคม แต่ละซี่คล้ายใหญ่เทียมฟ้า เปล่งประกายวาววับชวนหนาวเหน็บ น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด!
เพียงแค่ปากของมันอ้าออกก็ทลายม่านหมอกได้ ประหนึ่งว่ากระทั่งท้องนภาก็ยังสามารถถูกกลืนกินเข้าไปได้ เหล่าซากศพเน่าเปื่อยอันแสนน่าสะพรึงกลัวพากันล่องลอยไปตามแม่น้ำสีดำ ไหลเข้าไปทีละร่างทีละร่าง
“นี่มันสิ่งมีชีวิตอันใดกัน?!”
ต้นหลิวอดตื่นตะลึงไม่ได้
ซากศพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก แต่ละร่างล้วนสามารถสร้างความกดดันให้กับมันได้ ทว่ากลับถูกสิ่งมีชีวิตตนนี้กลืนกินเขาไปทีละร่างทีละร่างประหนึ่งกำลังกินกุ้งฝอยตัวเล็ก ๆ เข้าไป
มันเลื่อนสายตาไปมองด้านหลัง พยายามดูว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีรูปล่างหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ก็เห็นเพียงแค่ส่วนปากอันใหญ่โตที่โผล่ออกมาเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นยังคงอยู่หลังม่านหมอก
ทว่าเมื่อมันจะละสายตาออกไปมองที่อื่น พลันเกิดภาพนิมิตขึ้นตรงนั้น!
ภายในหมอกหนาทึบพลันมีดวงตาขนาดใหญ่โตอย่างถึงที่สุดลืมขึ้นจับจ้องมองมาทางมัน
ต้นหลิวตื่นตระหนก ดวงตาคู่นั้นน่ากลัวเกินไป เพียงแค่จับจ้องมองมาก็ทำให้มันสามารถสัมผัสได้ถึงความตาย ยังดีที่ดวยงตาคู่นั้นหลับลงและเลือนหายไปในสายหมอก ไม่เช่นนั้นมันอาจตายได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้หัวใจแห่งเต๋าของมันแทบจะพังทลายลงเสียแล้ว!
ที่นี่คือสถานที่ใดกัน? ไกลเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของมันมาก!
มันหันมองออกไปทางอื่น
แม้ว่าที่นี่จะน่าสะพรึงกลัวและทำให้มันตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่ได้โจมตีใส่มันแต่อย่างใด มันยังคงต้องการจะตามหาแหล่งที่มาของเสียงนั่น สัมผัสได้ลาง ๆ ว่าเสียงนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมันเป็นอย่างมาก
ที่นั่นคืออันใดกัน?!
นั่น…สุสานหรือ?
มันเห็นโลงศพขนาดใหญ่โลงแล้วโลงเล่า มีทั้งโลงไม้ โลงหิน และโลงจากโลหะประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย ขนาดของโลงศพแต่ละโลงล้วนแล้วใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัวจนทำให้หัวใจของมันเย็นเยียบลง
เสียงตึงดังขึ้นมาจากโลงศพไม้สีแดง ราวกับว่ามีบางสิ่งด้านในพยายามทุบโลงอย่างแรงเพราะต้องการจะออกมาสู่ภายนอก!
“สิ่งที่อยู่ด้านในยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” มันรำพึงกับตัวเอง จากนั้นก็หันมองไปทางอื่น
สถานที่อื่น ๆ ก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน ล้วนทำให้มันตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ทุกอย่างอยู่เหนือยิ่งกว่าความรู้ความเข้าใจของมันโดยสิ้นเชิง
เช่น สถานที่แห่งหนึ่งมีฟ้าดินพลิกกลับ ดินอยู่บน ฟ้าอยู่ล่าง ฝนตกลงมาจากดินลงสู่ท้องฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีหินขนาดใหญ่หลายก้อนซ้อนกันเป็นประตู ด้านหลังประตูมีฉากแปลกประหลาดทุกประเภทปรากฏออกมา ต่างล้วนชวนให้หวาดหวั่น ผีเสื้อตนหนึ่งเพียงแค่กระพือปีกอย่างแผ่วเบาก็สามารถพลิกคว่ำธารแห่งปริภูมิเวลา ทำลายสะเทือนถึงท้องนภา
นอกจากนี้ ยังมีมดน้อยตัวจ้อยกำลังแบกอสูรขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้าก้าวไปด้านหน้าอย่างง่ายดาย
ต้นหลิวจ้องมองด้วยความตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อหรือมดตัวนั้น ขอบเขตการฝึกฝนก็ลึกล้ำเกินยังถึง ไม่รู้ว่าถึงขั้นใดแล้ว
ท้ายที่สุด มันเบนสายตาจับจ้องไปทางส่วนที่ลึกสุดของม่านหมอก
นั่นเป็นสถานที่สุดท้ายที่พ้นม่านหมอกออกมา
ที่แห่งนั้น มันเห็นวังสวรรค์อันงดงามใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่เหนือยอดเมฆ เปล่งประกายแสงทุกชนิดออกมาอย่างสวยงาม กระทั่งม่านหมอกก็ยังไม่อาจกลืนกินเข้าไปได้ ถูกขับไล่ให้ถอยออกไป
ได้ยินเสียงเพลงแทบทุกประเภท ได้เห็นเหล่าเทพธิดางดงามร้องร่ายอย่างอ่อนช้อย ดูสงบแตกต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ สถานที่แห่งนั้นให้ความรู้สึกชวนโหยหา
รุ้งมงคลแผ่กระจายไปทั่วสถานที่ เมฆาลอยเอื่อย สถานที่แห่งนั้นเหนือชั้นอย่างถึงที่สุด เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์เหนือชั้นแล่นพล่าน!
ต้นหลิวมองแล้วก็มัวเมาขึ้นมาเล็กน้อย ภายในตาเต็มไปด้วยภาพสตรีงามกำลังร่ายรำ ภายในหูเต็มไปด้วยเสียงหวาดไพเราะขับขานทำนอง หัวใจของมันสั่นไหว ต้องการจะไปยังสถานที่แห่งนั้น
ทว่าในตอนนั้นเอง มันพลันได้สติกลับมาในพริบตา ภายในใจเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร!?
มันยังไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำก็มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว!
เทพธิดาที่แสนงดงามร่ายรำไปรอบตัวมัน ถึงกับมีเทพธิดาผู้หนึ่งสัมผัสกิ่งหลิวของมัน ทั้งยังได้ยินเสียงของเหล่าเทพธิดากำลังหัวเราะคิกคักด้วยความไพเราะอย่างชัดเจน ส่วนวังสวรรค์ขนาดใหญ่โตนั้นก็อยู่เบื้องหน้าของมันแล้ว!
ภายในใจของต้นหลิวสั่นสะท้านอย่างแรง พึงรู้ว่านี่ล้วนเป็นเพียงฉากที่มันพยากรณ์ออกมา ไม่รู้ว่าสถานที่จริงนั้นอยู่ไกลมากถึงเพียงใด อาจกระทั่งไม่ได้อยู่ในปริภูมิเวลาเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วมันมาที่นี่ได้อย่างไร?!
ในตอนนั้นเอง ภายในใจของมันเริ่มวุ่นวายขึ้นมา!
“ไป!”
ทว่าต้นหลิวก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เรียกใช้พลังออกมาด้วยต้องการไปจากที่นี่
แดนที่เต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมัน ดังนั้นมันจึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น!
“อยู่ที่นี่เถิด…”
“อย่าไปเลย!”
เหล่าเทพธิดาแย้มยิ้มร่ายรำกับต้นหลิว ภาษาที่เอ่ยออกมาพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ต้นหลิวฟังไม่เข้าใจ แต่สามารถรับรู้ความหมายได้
พวกนางอ่อนหวานงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ พากันดึงต้นหลิวกลับมาแล้วร่ายรำล้อมต้นหลิวเอาไว้