แสงสียามค่ำคืนก็เหมือนน้ำ ตอนเที่ยงคืน
เฟิงจิงเหยานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ แล้วเอื้อมมือไปกดเบอร์โทรศัพท์
“ฮัลโหล ทำไมอยู่ๆก็โทรหาฉันได้ล่ะ?หรือว่าอาการกำเริบอีกแล้ว?”
เสียงคนหนุ่มปลายสายดังมาจากทางมหาสมุทรแอตแลนติค และในตอนท้ายของประโยคเขาพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “นายเพิ่งกลับไปที่จีนได้นานแค่ไหนเอง?”
“อืม”
เฟิงจิงเหยาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ฮั้วเฉิน ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
คำพูดของเขาทำให้ฮั้วเฉินในอีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์ตกตะลึง สถานการณ์ของเฟิงจิงเหยาไม่ใช่แค่วันสองวันอีกต่อไป อาการมีแนวโน้มที่จะแย่ลง
เป็นเวลาหลายปีที่ฮั้วเฉินอยู่ต่างประเทศ มุ่งเน้นศึกษาด้านจิตวิทยาและกลายเป็นนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนที่ดีคนนี้
“ทำไมไม่เหมือนกัน?”
ฮั้วเฉินรอเสียงตอบกลับ เขากลัวว่าสถานกาณ์ของเฟิงจิงเหยาจะแย่ลง
เฟิงจิงเหยาได้ยินความกังวลในน้ำเสียงของเขา และพูดโดยไม่ปิดบังว่า “ ทุกครั้งที่ฉันต่อสู้กับความมืดด้วยตัวเอง ในนั้นมีมือสัตว์น้ำชั้นต่ำที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าถ้าไม่ระวังก็จะถูกพวกมันดึงเข้าไปในเหวลึก ไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้สักคน แต่ครั้งนี้กู้ฉางซิน……ก็คือภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของฉัน……เธอ ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น และฉันรู้สึกถึงแรงภายนอก ความรู้สึกนั้นมันดีมากๆเลย นายรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ฮั้วเฉินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นายหมายถึงใครบางคนสามารถทำให้นายสงบลงได้ โดยไม่ต้องใช้ยา?”
“ พูดแบบนั้นก็ได้”
เฟิงจิงเหยาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เพียงแค่เอ่ยชื่อกู้ฉางซินสองคำนี้ ในใจเขาก็รู้สึกปั่นป่วน
ฮั่วเฉินเงียบไปชั่วขณะ “มันยากที่จะบอกว่าเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงคืออะไร ฉันจำเป็นจะต้องเจอคนถึงจะดี ถ้ามีโอกาสนายก็พาเธอมา หรือว่ารอให้ฉันเสร็จธุระก่อน แล้วฉันจะไปหา ไม่ว่าจะยังไงก็ตามพยายามอย่าพึ่งยาให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าติดยาไม่ใช่เรื่องดีแน่
“โอเค จำได้แล้ว”
“จิงเหยา ปัญหาด้านจิตใจของนาย จะต้องหายเป็นปกติ นายต้องเอาชนะปีศาจในใจให้ได้”
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะ”
“บัดดี้ พรรคพวก ฉันควรจะพูดยังไงดี?นี่เหมือนไม่ใช่นายเลย ถ้ามีเวลารีบพาน้องสะใภ้คนนั้นมาให้ฉันเจอบ้างนะ”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เฟิงจิงเหยาก็อารมณ์ดี ยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ มองคฤหาสน์ที่ แสงจัทร์สาดส่องลงบนกระเบื้องเคลือบ เกิดเงาสะท้อนเป็นท้องน้ำกระเพื่อมเบาๆ
เช้าวันต่อมา ดวงอาทิย์ส่องสว่างสดใส
หลังจากที่เฟิงจิงเหยาทานอาหารเช้าแล้ว เขาก็รีบออกไปทำงาน
กู้ฉางชิงอยู่บ้านว่างๆ หมดอาลัยตายอยาก ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้กู้ฉางซินในเวลานี้ทำอะไรบ้าง
โชคดีที่บ้านตระกูลเฟิงมีสวนดอกไม้ที่สีสันหลากหลาย ทิวทัศน์งดงาม สวยมากๆเลย
นอกจากนี้ยังมีพันธุ์อื่นๆอีกมากมายที่กู้ฉางชิงไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อกู้ฉางชิงเห็นแล้วก็รู้สึกชอบมาก จึงเอื้อมมือไปเก็บดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามพร้อมกับมีกลิ่นหอมจางๆ
“หอมจัง” กู้ฉางชิงหลับตาพริ้มเหมือนเคลิบเคลิ้ม
ไม่ไกลออกไปลู่ซือยวี่เพิ่งขับรถกลับมาถึงบ้านตระกูลเฟิง บังเอิญเห็นกู้ฉางชิงอยู่ในสวนดอกไม้ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน เธอเห็นกู้ฉางชิงเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมดอกไม้หนึ่งกำมือ
เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา พนักงานทำความสะอาดหลายคนก็หยุดเคลื่อนไหวและทักทายเธอ
กู้ฉางชิงโบกมือเให้พวกเขาอย่างไม่ถือตัว “ที่ไหนมีแจกันดอกไม้บ้างคะ?”
เมื่อเห็นพวกเขาตกตะลึง กู้ฉางชิงก็แกว่งดอกไม้ในมือของเขา
“ตรงนี้ก็มีค่ะ” คนรับใช้คนหนึ่งรีบเดินมาข้างหน้า
คนอื่นๆก็จ้องมอง คุณนายรองน่ารักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเธอ ลู่ซือยวี่ก็กัดฟันแน่น กู้ฉางซินเป็นคนยังไง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอ
“เสแสร้ง เธอก็แค่แกล้งทำ ตอนนี้พี่จิงเหยากลับมาแล้ว ก็แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา กระดาษถึงอย่างไรก็ห่อไฟไม่ได้หรอกนะ คอยดู!”
ลู่ซือยวี่พูดขึ้น หลายวันมานี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี
ครั้งก่อนชวี่จือยวี้ปรากฏตัว กู้ฉางซินก็หนีรอดไปได้
ถึงแม้ว่าพี่จิงเหยาจะโกรธ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจกู้ฉางซินแต่อย่างใด
ไม่เพียงแค่นั้น กู้ฉางซินเกือบจะทำร้ายพี่จิงเหยา แต่เธอถูกตำหนิเพียงไม่กี่ประโยคก็จบแล้ว
ถ้าไม่มีนายท่านเฟิงคอยหนุนหลัง เธอกู้ฉางซินจะมีสิทธิอะไร!
กู้ฉางชิงคิดไม่ถึงว่าการที่เธอเก็บดอกไม้ เป็นเรื่องเล็กแค่นี้จะทำให้คนอื่นเกลียดได้
เมื่อมองไปที่กู้ฉางชิงเธอกำลังจัดดอกไม้อยู่ในห้องโถงอย่างตั้งใจ ลู่ซือยวี่ยิ่งคิดยิ่งยอมไม่ได้ แล้วเปลี่ยนทิศทางการเดิน “ใช่ ต้องไปหาคุณอาเล็ก ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะเสแสร้งต่อไปได้”
คุณอาเล็กที่ลู่ซือยวี่พูดถึงคือลูกสาวคนเล็กของนายท่านเฟิง เธออายุมากกว่าเฟิงจิงเหยาเพียงแค่สามสี่ปี
ทั้งสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดีมาก
ปกติลู่ซือยวี่มักจะชอบไปเล่นสนุกด้วยกันกับคุณอาเล็ก ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ค่อนข้างดี
ทันที่ที่ลู่ซือยวี่มาถึงบ้านเฟิงจิ้งหยวน ก็เห็นเธอสวมเสื้อหนังสีดำ สวมแว่นกันแดด สะพายกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเตดอิดิชั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดที่จะออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นลู่ซือยวี่ที่กำลังเดินมา เฟิงจิ้งหยวนที่กำลังจะออกไปก็ตะลึง ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นซือยวี่นี่ ทำไมวันนี้มาเช้าจัง?”
ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดี สีหน้าดีอกดีใจเมื่อเห็นว่าลู่ซือยวี่มา “ไปกัน วันนี้ฉันมีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนสองสามคน เสี่ยวยวี่ไปด้วยกันกับฉันไหม”
“อ่า อย่างนั้นหรอคะ นั้นคุณอาเล็กไปเถอะค่ะ ฉันไม่ไปหรอก”
เห็นได้ชัดว่าความสนใจของลู่ซือยวี่ไม่สูงนัก ใบหน้าที่น่าสงสาร ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูกล้ำกลืน
“เธอเป็นอะไร ใครรังแกเธอ?” เห็นเธอเป็นแบบนั้น เฟิงจิ้งหยวนก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“หรือว่าเป็นกู้ฉางซิน!” ลู่ซือยวี่เบะปาก
“นังมายั่วโมโหเธอหรอ?”
เฟิงจิ้งหยวนหน้าตาดูสงสัย แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องของกู้ฉางซิน แต่เพวกเธอก็ต่างฝ่ายต่างไม่ล้ำเส้นกัน ก็เลยไม่มีปัญหา
ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเฟิงจิงเหยา เธอคงไม่มองหน้าสะใภ้คนนี้ด้วยซ้ำ
“เธอไม่ได้ยั่วโมโหฉัน แต่เธอยั่วพี่จิงเหยา คุณอาเล็กคงจะยังไม่รู้?เมื่อคืนวันก่อน เธอทำให้พี่จิงเหยาอาการกำเริบจนเกือบจะตาย!”
สายตาลู่ซือยวี่ดูโกรธแค้น “คุณอาคงยังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าเกลียดชังขนาดไหน เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เธอก็ต้องพึ่งพาคุณปู่เฟิงเพื่อสนับสนุนเธอ ราวกับเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไร พี่จิงเหยาเพิ่งกลับมาที่นี่ได้นานแค่ไหนกัน เขาก็ต้องมาเจอกับมืออำมหิตอีกครั้ง เธอก่อนหน้านี้ทำเรื่องไม่ดีมากมาย ฉันคิดว่าเธอตั้งใจทำอย่างชัดเจน คุณอาเล็กต้องช่วยพี่จิงเหยาด้วยนะคะ”
เมื่อเฟิงจิ้งหยวนได้ยินก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ คนในครอบครัวเดียวกัน เกิดเรื่องขึ้นกับจิงเหยาอย่างนี้ ไม่คิดเลยว่าพี่สะใภ้จะยังเก็บผู้หญิงคนนี้เอาไว้
“เธอนี่มันจริงๆเลย ดูท่าฉันคงต้องลงมือสั่งสอนซะแล้ว”
เฟิงจิ้งหยวนพูดอย่างเย็นชา ท่าทางดุดัน แล้วรีบเดินไปทางบ้านที่กู้ฉางชิงและเฟิงจิงเหยาอาศัยอยู่
“เอ่อ?คุณอาเล็ก”
ลู่ซือยวี่ตะโกนเรียก เห็นเฟิงจิ้งหยวนไม่หันกลับมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก และไม่รีรอรีบเดินตามไป
“คุณอาเล็ก รอฉันด้วยสิ!”