เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินดังนั้นแล้วก็หันกลับมา และจำได้ว่าคนรับใช้คนนี้คือคนเดียวกับที่ตอบคำถามเฟิงจิ่งเหยาเมื่อครู่นี้
เธอมองไปที่คนรับใช้ที่อยู่เบื้องหน้า ก็มองออกถึงความคิดของเธอ เลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “เธอชื่ออะไร?”
“คุณนายรอง เรียกดิฉันว่าเสี่ยวเหม่ยก็ได้ค่ะ”
เสี่ยวเหม่ยยิ้มและตอบ
กู้ฉางฉิงพยักหน้ารับรู้และโบกมือให้เธอลงไปได้ ไม่นานเธอก็ไปนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่โซฟาเพียงคนเดียว
ถึงแม้เฟิงจิ่งเหยาจะออกไปแล้ว แต่กู้ฉางฉิงรู้ดีว่า เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่
และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
ทางด้านบ้านใหญ่ การที่เฟิงจิ่งเหยาคอยปกป้องกู้ฉางฉิ่งนั้นทำให้ความเกลียดชังริษยาในใจของลู่ซือยวี่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ยัยสารเลวนั่นต้องใช้เล่ห์เพทุบายอะไรบางอย่างถึงทำให้พี่จิ่งเหยาหลงได้ขนาดนี้แน่ ๆ ไม่เช่นนั้นพี่จิ่งเหยาจะคอยปกป้องแต่มันได้อย่างไรกัน แม้กระทั่งยอมไม่เชื่อฟังคำพูดของป้าหมิง
คิดแล้ว ก็อยากจะออกไปฉีกใบหน้ามารยาของกู้ฉางฉิงซะตั้งแต่ตอนนี้ ดูสิว่าจะยังสามารถใช้อะไรยั่วผู้ชายได้อีก
แต่เธอก็ระงับอารมณ์วู่วามนี้ไว้
ตอนนี้ป้าหมิงยังเข้าข้างเธอ เธอจะมาทำลายภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์พยายามสร้างตลอดมาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกำมือตัวเองไว้แน่น แววตามืดมนจนแทบจะหลั่งเป็นเลือดได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะปลอบโยนคุณนายเฟิง
“ป้าหมิงคะ คุณป้าอย่าไปโกรธพี่จิ่งเหยาเลยค่ะ”
เมื่อคุณนายเฟิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกพอใจในความรู้เดียงสาของเธอ และได้กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ป้าไม่โกรธ แต่หนูล่ะต้องมารับความไม่ยุติธรรม”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรอกค่ะ เพื่อพี่จิ่งเหยาแล้วหนูยินดีที่จะยอมรับทุกอย่าง กลัวก็แต่เพียงพี่จิ่งเหยาไม่เข้าใจในความพยายามของเรา”
ลู่ซือยวี่แสร้งทำเป็นมีเหตุผล จากนั้นก็พูดเปิดประเด็นที่เฟิงจิ่งเหยามักปกป้องกู้ฉางฉิง
เมื่อคุณนายเฟิงได้ยินดังนั้นก็โกรธจนสีหน้าเปลี่ยนไป
“เรื่องนี้ให้ป้าจัดการเอง”
เมื่อลู่ซือยวี่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็เต็มไปด้วยประกาย
แผนการเหล่านี้ กู้ฉางฉิงไม่อาจรู้แน่
เธอนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกสักพัก ก็กลับขึ้นห้องไปออกแบบภาพ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ถือว่าเฟิงจิ่งเหยาได้ช่วยเธอแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่เธอสามารถตอบแทนเขาได้นั้นมีไม่มาก ภาพออกแบบเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดีไม่ผิดแน่ เธอแค่ต้องวาดให้มากขึ้นหน่อย
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว เธอก็ใช้เวลาตลอดบ่ายวันนั้นในการวาดภาพ และผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าทึ่งมาก
เธอมองดูที่แบบร่างการออกแบบในมือ ดวงตาสะท้อนประกายแห่งความพอใจ
ในตอนเย็น เมื่อเฟิงจิ่งเหยากลับจากที่ทำงานมาทานอาหารเย็น เธอก็ยื่นภาพออกแบบเหล่านี้ไปให้เขา
“เฟิงจิ่งเหยาคะ นี่คือภาพที่ฉันออกแบบตลอดบ่ายนี้ คุณลองดูว่าใช้ได้บ้างไหม”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินดังนั้น ก็รับภาพออกแบบเหล่านั้นมาพลิกดู
ขณะที่มองเขาพลิกดูไปมา นัยย์ตาของเขาก็สะท้อนแสงเปล่งประกายสวยงาม
ไม่กล่าวไม่ได้เลยว่า กู้ฉางฉิงนั้นมีพรสวรรค์ด้านการออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าเสียจริง ๆ
เหมือนว่าแต่ละภาพบนกระดาษจะวาด ๆ เพียงไม่กี่ขีด แต่กลับมีรายละเอียดที่สะดุดตา โดยเฉพาะสิ่งที่ระบุไว้อย่างชัดเจนที่ด้านข้างไม่ว่าจะเป็นชนิดผ้าที่ใช้หรือของตกแต่ง ทำให้จินตรนาการถึงผลิตภันฑ์สำเร็จรูปได้ไม่ยาก
แถมสไตล์การออกแบบยังเป็นแบบสมัยนิยม หากจะชมว่าเป็นระดับอาจารย์ก็ไม่เกินจริงไป
ถึงแบบนั้นก็ตามใบหน้าของเขาก็ยังแสดงออกมาอย่างเรียบเฉย
เขายังไม่ลืมว่ากู้ฉางฉิงใช้วิธีการอะไรเพื่อได้มาซึ่งงานนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เธอได้คืบเอาศอก เขาแสร้งทำท่าทีเรียบเฉยวางภาพสเก็ตลง และพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า “ออกแบบได้ไม่เลวนะ แต่ก็ลองพยายามให้มากขึ้นกว่านี้อีก”
กู้ฉางฉิงไม่รู้ความคิดในใจของเขา แต่เมื่อเห็นเขาไม่ได้ตำหนิอะไร ก็คิดว่าภาพเหล่านี้ก็คงจะใช้ได้ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“อืม ฉันจะพยายามทำให้ดีขึ้นค่ะ”
เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ ดวงตาของเฟิงจิ่งเหยาก็เป็นประกาย จากนั้นบทสนทนาก็เริ่มขึ้นใหม่ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “จริงสิ ผมโอนหุ้นไปตั้งบริษัทใหม่เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้คุณสามารถไปรายงานตัวที่บริษัทได้เลย”
กู้ฉางฉิงเมื่อได้ยินคำนั้นก็นิ่งไป แล้วพยักหน้าและพูดว่า “ทราบแล้วค่ะ”
เธอพูด และนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อกลางวันว่าตัวเองยังไม่ได้ขอโทษผู้ชายคนนี้เลย จึงเสริมขึ้นว่า “เอ่อคือ เรื่องเมื่อตอนกลางวัน ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ”
เฟิงจิ่งเหยาเมื่อได้ยินคำนี้ก็หยุดมือที่กำลังเคลื่อนไหว
“ผมไม่ได้ช่วยคุณ ผมทำไปตามเหตุผลและความเป็นจริง”
ขณะที่เขาพูดก็แอบทอดสายตาไปที่กู้ฉางฉิง และพูดต่อว่า “อีกอย่าง คุณแม่ของผมท่านก็เป็นผู้อาวุโสกว่า ต่อไปเวลาพบท่านก็หัดควบคุมอารมณ์ของตัวเองเสียบ้าง”
กู้ฉางฉิงนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ดึงสติกลับมา แววตามีประกายซับซ้อนสับสน แต่ก็ไม่ได้พูดแก้ตัวอะไร
“ทราบแล้วค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็เม้มริมฝีปากแดงแน่น ในใจได้แต่หัวเราะเยาะให้กับตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
เธอคิดว่าเมื่อตอนกลางวันที่เฟิงจิ่งเหยาช่วยเธอ ปกป้องเธออย่างเต็มที่นั้น แท้จริงแล้วก็แค่เพราะทำไปตามเหตุผลและความเป็นจริงเท่านั้น”
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าภายหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เห็นแก่ความยุติธรรม เธอก็คงไม่ต้องเผชิญชะตาอยู่เพียงคนเดียว
คิดคิดอยู่ ก็คิดถึงเรื่องที่กู้หงเซินสั่งเธอไว้ เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะพูดเรื่องนี้
เฟิงจิ่งเหยากำลังไม่พอใจในตัวเธออยู่ ถ้าหากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะคิดกับเธออย่างไรอีก
กลัวแต่ว่าจะยิ่งรำคาญเธอมากขึ้นไปอีก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็อดทนเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ก่อนและทานอาหารต่ออย่างเงียบ ๆ
หลังอาหาร เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ตรงไปทำงานต่อที่ห้องหนังสือ
กู้ฉางฉิงเฝ้าดูเงาของเขาหายลับตาไปจากทางเดิน ก่อนจะลุกขึ้นและกลับไปที่ห้อง
เมื่อกลับถึงที่ห้องแล้ว เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อกู้หงเซิน
กู้หงเซินเห็นสายจากเธอโทรเข้ามา นึกว่าเธอจัดการเรื่องที่สั่งไว้สำเร็จแล้ว แทบรอไม่ไหวที่จะกดรับสาย
“เรื่องที่สั่งไว้ทำสำเร็จแล้วหรือ?”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
กู้ฉางฉิงฟังด้วยสายตาเย้ยหยัน
นี่ก็คือพ่อที่แสนดีของเธอ ในสายตามีแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่เคยที่จะนึกถึงสถานการณ์ของเธอเลย
เมื่อคิดแล้วเธอก็ลดตาลงและพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฉันยังไม่ได้พูด ที่โทรมาก็เพื่อจะบอกคุณว่า นี่ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะเอ่ยเรื่องนี้ ต้องรอจนกว่าฉันจะเข้าบริษัทค่อยพูดเรื่องนี้แล้วกัน”
เมื่อกู้หงเซินได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เจื่อนลงทันทีและกลายเป็นความไม่พอใจ
“อะไรคือเวลาที่เหมาะสมไม่เหมาะสม ฉันว่านี่เป็นข้ออ้างที่เธอทำงานไม่สำเร็จเสียมากกว่า ยังไงเรื่องนี้เธอก็ต้องรีบจัดการให้ฉัน”
พูดจบ เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้กู้ฉางฉิงได้กล่าวอะไรต่อก็วางสายไป
กู้ฉางฉิงมองไปที่โทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป เธอเม้มริมฝีปากอย่างแรง แล้วโยนโทรศัพท์ไปอีกด้านหนึ่งทันที ไม่อยากสนใจกับคำพูดของเขา เธอนอนอยู่บนเตียงเตรียมตัวพักผ่อน
……
วันต่อมา เนื่องจากต้องไปรายงานตัวที่บริษัท กู้ฉางฉิงจึงตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัว
หลังจากรักษาอาการอยู่ที่บ้านมาสักพักแล้ว แผลบนหัวเข่าก็เริ่มดีขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม กู้ฉางฉิงที่ไม่มีเครื่องแบบพนักงาน ฉะนั้นเธอจึงเลือกสวมเดรสที่เรียบง่ายแต่ดูภูมิฐานตัวหนึ่ง และแต่งหน้าอ่อน ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วจึงลงมาชั้นล่าง
ที่ชั้นล่าง เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นกู้ฉางฉิงที่แต่งตัวเรียบง่าย แววตาของเขาก็เปล่งประกาย
เขาพบว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มักมอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้เขาได้อยู่เสมอ
กู้ฉางฉิงไม่ได้สังเกตุเห็นแววตาแปลกประหลาดของเขา เมื่อเห็นเขาจ้องมาที่ตัวเอง เธอพยักหน้าเป็นการทักทายแล้วก็นั่งลงรับประทานอาหาร
ในระหว่างทานอาหาร ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเลย
จนกระทั่งทานอาหารเสร็จ กู้ฉางฉิงเตรียมตัวจะไปออกไปบริษัท เฟิงจิ่งเหยาจึงเรียกให้เธอหยุดก่อน
“วันนี้ผมส่งคุณไปก็แล้วกัน ถือเป็นการแนะนำทางให้คุณรู้จัก หลังจากนี้ก็ให้คนขับรถที่บ้านรับส่ง หรือคุณจะขับรถไปเองก็ได้”
กู้ฉางฉิงพยักหน้าบ่งบอกว่ารับรู้แล้ว
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นสิ่งนี้ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดต่อว่า “ยังมีอีก ต่อไปเวลาเข้าบริษัทคุณกับผมก็ทำเป็นไม่รู้จักกันนะ”
เขาพูดพร้อมกับจ้องมองไปที่กู้ฉางฉิง กลัวว่าเธอจะไม่พอใจ
แต่กู้ฉางฉิงกลับไม่คัดค้านอะไร เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นตรงกับความคิดของเธอพอดี