คุณนายเฟิงต้องการลูกสะใภ้ที่เหมาะสมทั้งฐานะและหน้าตาทางสังคม สามารถเป็นภรรยาที่ดีของลูกชายได้
แต่กู้ฉางชิงไม่ใช่แบบที่เธอคาดหวัง
คิดถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
และไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็หัวเราะและพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตกับมู่เฉาเกอ
“จะว่าไปแล้วเธอกับจิงเหยาก็สนิทกันมากในวัยเด็ก ตอนเด็กๆชอบอยู่ข้างเขาตลอด จนถึงวันนี้ความรู้สึกของพวกเธอก็ยังไม่เปลี่ยน ยังเหมือนกับวันวาน ฉันเห็นแล้วรู้สึกดีใจมาก”
คำพูดของเธอพยายามจะสื่อว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีแค่ไหน ไม่สนแม้ว่ากู้ฉางชิงจะอยู่ตรงนั้นด้วย
ราวกับว่าเธอโปร่งใสไม่อยู่ที่นั่น
ยังดีที่กู้ฉางชิงชินกับมันแล้ว
ตอนที่ลู่ซือยวี่ยังอยู่ คุณนายเฟิงก็ทำแบบนี้บ่อยๆ
คิดถึงตรงนี้เธอก็ลองเอาลู่ซือยวี่มาเทียบกับมู่เฉาเกอ
จะว่าไปแล้ว มู่เฉาเกอเป็นถึงคนดังอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับลู่ซือยวี่แล้วเธอพูดเก่งและมีความสามารถกว่า
ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเดาความหมายของคุณนายเฟิงออกไหม แต่ก็หัวเราะและพูดว่า: “คุณน้า เรื่องราวในอดีตคุณน้ายังจำได้หรอคะ อย่าไปพูดถึงเลย ตอนนั้นยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนี้โตๆกันหมดแล้ว ย้อนดูตอนเด็กช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
แค่คำพูดของเธอไม่กี่คำก็ทำให้ความหมายของคุณนายเฟิงเปลี่ยนไป
กู้ฉางชิงนั่งทานอาหารเงียบๆและฟังทั้งคู่สนทนา
หลังทานข้าวเสร็จ คุณนายเฟิงก็ชวนมู่เฉาเกอพูดคุย
เพราะว่าเฟิงจิงเหยาเป็นคนชวนมู่เฉาเกอ ดังนั้นเขาเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนแขกก่อน
กู้ฉางชิงที่เห็นว่าบทสนทนาของพวกเขาเธอไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ก็เลยอ้างว่ามีงานต้องทำ จึงขอตัวกลับบ้านใหม่
เมื่อตกดึกเธอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนอกประตู แต่ก็ไม่เห็นเฟิงจิงเหยาออกมาสักที อดไม่ได้เดินออกไปดู
“เมื่อกี้ใช่จิงเหยากลับมาหรือเปล่า?”
เธอเรียกเสี่ยวเหมยและถาม
“ใช่ค่ะคุณนายรอง เมื่อกี้คุณชายกับคุณมู่กลับมาด้วยกันแล้วไปที่ห้องทำงานมีธุระต้องคุยกัน”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ก็อึ้ง พยักหน้าและพูดว่า: “ถ้าอย่างงั้นเธอก็เอาเครื่องดื่มและผลไม้ขึ้นไปให้พวกเขา”
“ได้ค่ะ”
เสี่ยวเหมยตอบรับและเดินออกไป
กู้ฉางชิงมองดูเธอที่กำลังจากไปแล้วหันหลังกลับไปเข้าห้องจากนั้นก็เริ่มทำงานวาดออกแบบของเธอ
แต่ในขณะที่เธอกำลังวาดจิตใจเหม่อลอย และอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเฟิงจิงเหยากับมู่เฉาเกอกำลังทำอะไรกันอยู่
ไม่ว่าจะเป็นการชวนไปทานมื้อค่ำ และยังอยู่เป็นเพื่อนหลังจากทานเสร็จ แถมพาไปห้องทำงานด้วยตัวเอง ทั้งหมดก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ที่เฟิงจิงเหยามีต่อมู่เฉาเกอมันไม่ธรรมดา
อย่างน้อยลู่ซือยวี่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้
ยิ่งเป็นเธอก็อย่าพูดถึงเลย
เธออดไม่ได้ที่จะเดาความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ เธอนั่งคิดเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไปบนโต๊ะ
และเธอรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะถูกเฟิงจิงเหยาปลุก
เฟิงจิงเหยาคุยธุระเสร็จกลับมาห้อง ก็เห็นเธอที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ
ร่างกายสวมใส่เสื้อผ้าบางๆไม่พอยังเปิดแอร์เย็นอีก
เขาตั้งใจจะเดินไปและจะปลุกเธอให้ตื่น
ทันทีที่เขาเห็นกู้ฉางชิงที่กำลังนอนฝันหวาน รู้สึกอดใจไม่ได้
เขายื่นมือออกไปจะกอดเธอ แต่สัมผัสได้ว่าตัวเย็นไปหมดทั้งตัวทำให้เขาขมวดคิ้ว
ใครจะรู้ว่าแค่เดินสองก้าว ก็ทำให้เธอสะดุ้งตื่น
“ใครหนะ?”
กู้ฉางชิงตกใจมาก เธอกรีดร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
ต่อมาเธอเห็นว่าคนตรงหน้าคือเฟิงจิงเหยา จึงโล่งไปที
“เธอเองหรอ กลับมาเมื่อไหร่? ธุระคุยเสร็จแล้วหรอ?”
ในขณะที่กำลังถามเธอก็เห็นว่ากำลังถูกเฟิงจิงเหยาอุ้มไว้
ข้างหูมีเสียงเต้นของหัวใจเขาดังขึ้นทำให้เธอรู้สึกสั่นไปทั้งใจ
เธอพยายามจะดิ้นออก แต่กลับถูกเฟิงจิงเหยาดุ
“อย่าขยับ ถ้าตกลงไปฉันไม่รับผิดชอบนะ”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกได้ว่ามือที่อุ้มเธอค่อยๆคายออก เธอกลัวตกแล้วก้นกระแทกพื้นจึงรีบจับเฟิงจิงเหยาไว้แน่นๆ
เธออดไม่ได้ที่จะเม้มปากสายตามองไปที่เฟิงจิงเหยาด้วยความโกรธ
ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย จะขู่ทำไม?
ในขณะเดียวกันเธอก็หาตำแหน่งพอดีที่อ้อมกอดของเฟิงจิงเหยิงเพื่อให้เขาอุ้มได้อย่างสบาย
จะว่าไปอ้อมกอดเขาก็อบอุ่นมาก ตัวที่เย็นๆเมื่อกี้ก็กลับมาตัวอุ่นแล้ว
เฟิงจิงเหยาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อุ้มเธอถึงเตียงและวางลง
เมื่อเขาเห็นเสื้อบางๆของเธอ ขมวดคิ้วและถาม: “ใส่บางขนาดนี้ทำไมเมื่อกี้ไม่มานอนที่เตียงดีๆ เป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง?”
กู้ฉางชิงไม่คิดว่าเขาจะเป็นห่วงเธอ อึ้งไปสักครู่และตอบว่า: “ไม่เป็นหวัดหรอก อุณภูมิในห้องก็ไม่ได้ต่ำขนาดนั้น”
ในขณะที่เธอกำลังพูดก็ห่มผ้าและบอกจะนอนแล้ว
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมานอนบนเตียงเช่นกัน
ค่ำคืนที่หลับฝันดี
ปรากฏเช้าวันที่สอง กู้ฉางชิงถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ของเธอ
เธอลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนๆมัวๆ รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว สุดท้ายเธอก็แพ้ความขี้เกียจและหันกลับไปที่เตียงหลับไปด้วยความสะลึมสะลืออีกครั้ง
แต่กับเฟิงจิงเหยา เขาตื่นตั้งแต่เช้าไปบริษัทแล้ว
ตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกของกู้ฉางชิง เห็นว่าเธอกำลังหลับสบายก็เลยอยากให้หลับต่ออีกหน่อยเลยไม่ได้ปลุกให้เธอตื่น
ช่วงนี้คนรับใช้ไม่ได้รับคำสั่งจากนายก็เลยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความแปลกของเธอ
กู้ฉางชิงนอนจนถึงบ่าย เฟิงจิงเหยากลับมาเอาเอกสารจึงสังเกตสีหน้าของเธอไม่ปกติ
เขาเห็นกู้ฉางชิงที่นอนอยู่บนเตียตัวแดงไปทั้งตัว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ปากซีดขาวและแตก
เฟิงจิงเหยารีบวัดไข้ให้เธอ ปรากฏว่าไข้เธอขึ้นสูงมาก เขาร้อนรนรีบเรียกให้เธอตื่น
“ฉางซิน ตื่น เธอไข้ขึ้นสูงมาก ลุกเร็วฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”
กู้ฉางชิงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและตื่นขึ้น
ถึงแม้ว่าเธอจะยังมึนๆอยู่บ้าง แต่ว่าคำที่เฟิงจิงเหยาพูดเธอได้ยินชัดทุกคำ
“ไม่เป็นไร แค่กินยาก็หายแล้ว”
เธอปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว เพราะเธอชินกับการจัดการปัญหาแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
ตอนนั้นบ้านเธอไม่ค่อยมีเงิน ถ้าหากต้องไปโรงพยาบาลก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากโข
เฟิงจิงเหยาไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วจะดื้อรั้น เขาขี้เกียจจะเถียงด้วยจึงอุ้มเธอขึ้นจากเตียงทันที
“ทำอะไรของเธอ?”
กู้ฉางชิงกลัวจะตกลงไป รีบกอดคอเขาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“พาเธอไปโรงพยาบาล”
เฟิงจิงเหยาตอบด้วยท่าทางโกรธ และพาเธอไปโรงพยาบาลทันที
ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้สถานการณ์ของเธอตอนนี้ ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ถ้ายังปล่อยไว้กลัวว่าเดี๋ยวจะเป็นปอดอักเสบ
กู้ฉางชิงขัดขืนเล็กน้อย ดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมกอดเขา
แต่เธอก็สู้แรงของเฟิงจิงเหยาไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ไข้เธอยังขึ้นสูงอีก
หลังจากนั้นไม่นานก็หมดเรี่ยวแรง หลับไปในอ้อมกอดของเฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้ ยิ่งเร่งความเร็วรีบไปโรงพยาบาล
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อกู้ฉางชิงลืมตาตื่นก็พบว่าเธอนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลแล้ว
“คุณนายรอง ตื่นแล้วหรอคะ คุณหลับไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน ทำให้พวกเราตกใจกันหมดเลย”
ทันทีที่เสี่ยวเหมยเห็นเธอลืมตาตื่น ก็รีบเข้าไปถามด้วยความห่วงใย