เมื่อเฟิงจิ่งเหยาพูดจบ แววตาของเฟิงซู่และนายท่านเฟิงก็มีประกายความยินดี
เช่นเดียวกับเฟิงจิ่งเหยา พวกเขามองทะลุปรุโปร่งถึงความสำเร็จของธุรกิจชิปนี้
“ไม่เลว ถือว่าไม่ขาดทุน”
เฟิงซู่ผงกศีรษะ ความไม่พอใจที่มีต่อกู้ฉางฉิงค่อย ๆ หายไป
ส่วนนายท่านเฟิงนั้นหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“ฉางซิน ถ้าพ่อของหนูรู้ว่าเขาได้ทิ้งโครงการที่ทำกำไรนี้ไป ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธขนาดไหนกัน”
กู้ฉางฉิงยิ้มเงียบ ๆ เรื่องนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน
ว่ากันตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่กู้หงเซินจะมอบโครงการที่ทำกำไรเช่นนี้ให้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเข้าใจผิด
เธอพยายามที่จะคาดเดาไปมาแต่ก็คิดหาคำตอบไม่ได้ จึงปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ ตั้งใจทานอาหารต่อ
ในขณะที่คุณนายเฟิงมองดูความกลมเกลียวบนโต๊ะอาหาร ก็รู้สึกหมั่นไส้
เดิมทีเธอต้องการใช้เรื่องนี้มาสร้างปัญหากับกู้ฉางซิน แต่คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้หน้าขึ้นไปอีก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
เห็นอยู่ว่าคุณพ่อยิ่งถูกใจนังผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธออยากจะไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้น ๆ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีโอกาส
โดยเฉพาะเมื่อเธอคิดถึงบ้านตระกูลลู่ ด้วยความก้าวหน้าของคุณพ่อลู่ รวมถึงพื้นฐานที่ดีของบ้านตระกูลลู่ ทำให้มีคนมากมายที่ต้องการจะแต่งงานกับลู่ซือหยี่
ถ้าหากซือหยี่ถูกคนอื่นแย่งไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับบ้านตระกูลเฟิง
เพราะในความคิดของเธอ การเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลลู่ถือเป็นการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะทำให้ตระกูลเฟิงยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ในทางตรงข้าม ตั้งแต่พวกเขาสู่ขอกู้ฉางซินนังดาวอับโชคนั่นเข้ามา ตระกูลเฟิงก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นตลอด
เมื่อเธอคิดเช่นนี้ ก็ค่อย ๆ สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เธอหันไปมองกู้ฉางฉิง ยิ้มขึ้นอยางมีเลศนัยและพูดขึ้นว่า “คุณพ่อคะ จะว่าไปจิ่งเหยาก็กลับมาได้สองเดือนแล้ว ดู ๆ แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนก็ค่อนข้างดี ความปรารถนาของคุณพ่อเห็นทีคงจะใกล้เป็นจริงแล้ว”
เมื่อเธอพูดจบ ก็หันไปหากู้ฉางฉิงและถามว่า “ฉางซิน ช่วงนี้ได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบ้างหรือเปล่า?”
กู้ฉางฉิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เพิ่งจะได้สติว่าเธอกำลังถามถึงเรื่องการตั้งครรภ์ และเธอก็สังเกตเห็นแววตากระตือรือร้นที่จับจ้องมาจากนายท่านเฟิง
เธอรู้ว่าชายชราคาดหวังว่าจะได้อุ้มหลานชายอยู่เสมอ เธอมองไปที่นายท่านด้วยสายตาขอโทษ
“ขอโทษด้วยค่ะคุณปู่ หนูยังไม่ได้ท้อง”
พอเธอพูดจบ ก็เห็นแววแห่งความผิดหวังในดวงตาของชายชรา
ในขณะที่เธอกำลังคิดจะพูดปลอบใจ คุณนายเฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“จะเป็นไปได้อย่างไร ฉันก็ได้ส่งของบำรุงไปให้ตั้งมากมาย เธอกับจิ่งเหยาเองก็ไม่ได้มีอะไรขาดตกบกพร่อง ทำไมถึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก?”
เธอไม่อ้อมค้อม พูดออกมาตรง ๆ ทำให้กู้ฉางฉิงรู้สึกอับอาย
นายท่านเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่กำลังกังวลกับเรื่องที่ยังไม่ตั้งท้องมากกว่า
ท่านมองไปที่กู้ฉางฉิงด้วยความกังวลและเป็นห่วง “ฉางซิน เกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะช่วงนี้มีความกดดันมากใช่ไหม? หรือว่ามีสาเหตุอื่น ๆ ”
เมื่อเธอได้ยินคำถามของท่าน แล้วมองไปที่คุณนายเฟิงที่แสดงออกว่ากำลังพึงพอใจ กู้ฉางฉิงก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ
เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคุณนายเฟิงกำลังเอาเรื่องลูกมาบีบ นี่ไม่คิดจะปล่อยเธอสักวินาทีเดียวเลยหรืออย่างไร
คุณนายเฟิงไม่รู้ว่ากู้ฉางฉิงนั้นเดาแผนการของเธอออก
เมื่อเห็นว่ากู้ฉางฉิงเงียบไม่พูดอะไร เธอจึงแสร้งทำเป็นห่วงและพูดว่า “ไม่มีวี่แววอะไรเลยได้ยังไงกัน จิ่งเหยาเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเรา ถ้าหากไม่มีสายเลือดสืบสกุล ก็จะไม่มีผู้มารับช่วงต่อน่ะสิ”
เมื่อเธอพูดจบ นายท่านเฟิงก็คิ้วขมวดขึ้น
เฟิงจิ้งหยวนเองก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดสมทบขึ้นว่า “พี่สะใภ้พูดถูกค่ะ หลานสะใภ้ บ้านเราไม่ได้เรียกร้องเธอเหมือนบ้านอื่นที่ให้คลอดปีละคน แต่อย่างน้อยก็ควรมีสักหนึ่งคน แต่นี่ไม่มีวี่แววอะไรเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ”
เมื่อคุณนายเฟิงเห็นเฟิงจิ้งหยวนเห็นด้วยกับตัวเองเช่นนี้ ก็มีรอยยิ้มเปล่งประกายขึ้นในดวงตาของเธอ
เธอมองดูสีหน้าของกู้ฉางฉิงที่แย่ลงเรื่อย ๆ มุมปากของเธอก็ยกขึ้นอย่างสะใจ
“ฉางซิน แม้คำพูดจะฟังดูน่าอึดอัดไปหน่อย แต่พวกเราก็แค่หวังอยากจะได้อุ้มหลานเร็ว ๆ ฉันเข้าใจดีว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธออยากมีพื้นที่ส่วนตัว ใช้เวลากันแค่สองคน แต่ถ้าหนึ่งปียังไม่มี สองปีก็ยังไม่ท้องก็คงจะไม่ได้ใช่ไหม?”
กู้ฉางฉิงฟังพวกเขาแต่ละคนพูด จะบอกว่าไม่โกรธก็คงจะไม่ใช่
ทำไมเธอถึงยังไม่ท้อง ไม่เชื่อว่าสองคนนี้จะไม่รู้อยู่แก่ใจ
เมื่อคิดแล้ว ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายด้วยความเยาะเย้ย แสร้งทำเป็นลำบากใจพูดว่า “ที่คุณแม่พูดมาก็ถูกค่ะ ที่จริงเรื่องนี้ลูกสะใภ้เองก็รู้สึกแปลก ๆ ค่ะ ทำไมถึงยังไม่ตั้งท้องอีก ทั้งที่หนูกับจิ่งเหยาก็เคยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมาแล้ว ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ”
คุณนายเฟิงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้ว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฟิงจิ่งเหยาที่นั่งฟังนิ่งไม่ได้ขัดมาตลอดก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
เขาก้มลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรออก ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองที่กู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงเองก็สบสายตาเข้ากับเขาพอดี จึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะคิดว่าสายตาที่เขาส่งมาหมายความว่าอะไร เขาก็พูดแทนเธอขึ้นมาเสียก่อน
“เรื่องลูกนั้นไม่สามารถบังคับกันได้ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ และในตอนนี้บริษัทก็เพิ่งจะมั่นคง ยังมีหลายจุดที่ต้องการฉางซิน”
เมื่อพูดจบ เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้อีกจึงเสริมขึ้นว่า “ฉางซินมีพรสวรรค์ด้านการออกแบบอย่างมาก ถ้าให้เวลาเพิ่มอีกสักหน่อย เธอจะต้องเปล่งประกายในโลกแห่งการออกแบบได้อย่างแน่นอน คนที่มีพรสวรรค์เช่นเธอไม่สมควรที่จะถูกฝังไว้และกลายมาเป็นเพียงแม่บ้าน”
เมื่อคำพูดนี้จบลง ทั้งนายท่านเฟิงและคุณนายเฟิงต่างก็ขมวดคิ้ว
“จิ่งเหยา ฉันเข้าใจเหตุผลของเธอดี แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องถ่วง รอคลอดลูกแล้ว ที่บ้านมีคนช่วยดูแลมากมาย ถ้าฉางซินชอบทำงานก็ค่อยกลับไปทำ ฉันก็จะไม่ห้ามอะไร”
นายท่านเฟิงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “อย่างไรก็เถอะ ฉันไม่สนว่าพวกเธอจะสนใจสร้างธุรกิจยังไง แต่เรื่องลูก จะล่าช้าไม่ได้”
เฟิงจิ่งเหยากับกู้ฉางฉิงมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าชายชรายืนกรานในเรื่องนี้มาก
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก พวกเขาทำได้แค่เงียบ
ด้านคุณนายเฟิงก็รู้สึกไม่พอใจ
เพราะเธอไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
เธอกวาดสายตามองไปยังนายท่านเฟิงและกู้ฉางฉิงที่นิ่งเงียบอยู่ จู่ ๆ เธอก็พูดเปลี่ยนเรื่องอย่างมีแผนขึ้นมา “ในเมื่อคุณพ่อกังวลมากขนาดนี้ พอดีว่าฉันมีหมอที่รู้จักอยู่คนหนึ่ง เป็นหมอเฉพาะทางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านนี้โดยเฉพาะ เพิ่งกลับมาจากอเมริกา เดี๋ยวฉันจะลองพาฉางซินไปตรวจดู”
เมื่อพูดจบ เธอก็มองไปที่กู้ฉางฉิงพร้อมยิ้มให้อย่างใจดี
“ถึงแม้จะเคยไปตรวจมาแล้ว แต่ก็อาจจะมีอะไรผิดพลาดได้ พวกเราลองไปตรวจดูกันอีกทีนะ”
กู้ฉางฉิงมองดูเธอด้วยคิ้วที่ขมวด
ไม่รู้ทำไม เธอถึงรู้สึกว่าการที่คุณนายเฟิงยกเรื่องนี้ออกมาพูดนั้นต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่ ๆ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เห็นชอบของนายท่านเฟิง เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้ตอบตกลงไป
“ก็ได้ค่ะ ต้องตรวจวันไหน รบกวนคุณแม่ช่วยแจ้งหนูล่วงหน้าด้วยนะคะ”
เมื่อคุณนายเฟิงเห็นเธอตอบตกลงแล้ว ก็แสร้งยิ้มและพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องห่วงจ้ะ ฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินสิ่งนี้ ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรลุเป้าหมายแล้วหรือเปล่า คุณนายเฟิงจึงไม่ได้คอยหาเรื่องอะไรขึ้นมาอีก บรรยากาศจึงกลับไปกลมเกลียวอีกครั้ง
ไม่นาน ทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารกันเสร็จ
หลังอาหาร นายท่านเฟิงจะไปเดินหมากกับเพื่อนเก่า ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไป
กู้ฉางฉิงตามเฟิงจิ่งเหยากลับไปที่เรือนหอ
ขณะที่กำลังจะขึ้นไปชั้นบน เสียงของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เมื่อกี้คุณไม่จำเป็นต้องตอบตกลงไปตรวจร่างกายกับแม่เลย”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินดังนั้นก็หยุดเดินและพูดขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจนักว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ตรวจร่างกาย ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเสียหน่อย”