เฟิงซู่ฟังคำของคุณนายเฟิงเสร็จไม่ได้รู้สึกว่ามันเกินไปเลย
บางเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปไม่แต่ในใจมันก็ชัดเจน
ช่วงนี้สาขาย่อยก็มักจะมีปัญหา หุ้นส่วนหลายคนมองว่าสูญเสียค่อนข้างเยอะ ควบคู่ไปกับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ครั้งนี้ก็ไม่มีใครมาจัดการด้วย
อย่างไรก็ตามหากมีการปิดบังไว้ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทจะไม่มีความคิดเห็นหรือแม้แต่เกิดความไม่ไว้วางใจ
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว ฉันจะหาวิธีให้จิ่งเหยาย้ายไปที่อื่นละกัน”
เพื่อความสมดเฟิงซู่จึงตัดสินใจ
คุณนายเฟิงเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
“ได้ คุณให้จิ่งเหยาย้ายไปที่อื่น ฉันจะหาโอกาสไล่ผู้หญิงคนนั้น ยังมีหัวใจสำคัญของพวกอเราอีกอัน”
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ เฟิงจิ่งเหยากับกู้ฉางฉิงไม่รู้
ทั้งสองส่งคุณนายเฟิงเสร็จก็เย้าแหย่อยู่ครู่หนึ่งจนกู้ฉางฉิงเหนื่อยจึงนอนแผ่พักผ่อนอยู่ในห้อง
เฟิงจิ่งเหยาห่มผ้าให้เธอแล้วออกไปเบาๆ
ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อชวี่ยี่
“บนเขานั่นสถานการณ์เป็นไงบ้าง?”
เพราะว่าหลายวันติดต่อกันไม่ได้รับข่าวคราวเลย เขาอดไม่ได้ที่จะโทรไปถามเอง
“คนของพวกเรากับทางตรวจยังไม่ได้รับรายละเอียดอะไรเลย แต่ที่แน่นอนคือคนพวกนั้นได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางมา สามารถซ่อนอยู่ในป่าได้”
ชวี่ยี่รายงานอย่างนอบน้อม พูดสิ่งที่คาดเดาเกี่ยวกับคนคนนั้น
เฟิงจิ่งเหยาสายตาอึมครึม “พวกนายหากันต่อไป ส่งทางแยกทั้งหมดที่เชิงเขาให้ฉันดู”
ครั้งนี้เขาตั้งใจจะคนพวกนี้ให้ได้ อยากจะสั่งสอนคนที่อยู่เบื้องหลังให้หนัก
ชวี่ยี่เข้าใจดี รับคำสั่งเสร็จก็วางสายไป
ในขณะเดียวกัน บ้านตระกูลเฟิง
หลังเฟิงซู่คุยกับคุณนายเฟิงเสร็จก็กลับมาสำนักงานใหญ่
เขานั่งคิดอยู่ในห้องทำงานถึงวิธีที่จะทำให้เฟิงจิ่งเหยาแยกออกไป
แค่แปปเดียวเขาก็คิดอะไรออกและก็เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หลังจากเรียกผู้ช่วยมาจัดการทั้งสองคนก็ไปมู่ซือกรุ๊ป
พ่อมู่เฉาเกอเมื่อทราบว่าเฟิงซู่ว่าก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“พี่ชายมาถึงนี่ทำไมไม่บอกกันสักคำล่ะ ฉันจะได้ให้คนไปรับพวกคุณ”
เฟิงซู่ยิ้มอย่างเกรงใจ พูดจุดประสงค์ในการมาวันนี้ ” ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก และครั้งนี้ที่มาก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวซะด้วย ด้านฉันมีโครงการดีๆหนึ่งโครงการ อยากจะร่วมมือกับมู่ซือ นายลองดูว่าเป็นยังไงบ้าง?”
พูดจบ ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆก็เตรียมส่งเอกสารไปให้
คุณพ่อมู่เห็นแบบนั้น นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งถึงจะตอบกลับมา
เขายิ้มรับเอกสารนั้นมาดู
ทั้งสองเจรจากันให้ห้องกว่าหนึ่งชั่วโมง จนกระทั้งเฟิงซู่ออกมา สัญญาของทั้งตระกูลก็ร่างเสร็จแล้ว
“เมื่อสัญญานี้เริ่มขึ้นฉันจะให้จิ่งเหยารับผิดชอบอย่างเต็มที่ หากคุณมีปัญหาใดๆคุณสามารถไปหาจิ่งเหยาได้”
ก่อนจากไปเฟิงซู่พูดมีนัยยะกับพ่อของมู่
คุณพ่อตระกูลมู่ทำไมจะฟังไม่ออกถึงสิ่งบอกเป็นนัยนั้น โดยเฉพาะถึงความคิดที่มีต่อลูกสาวของเขา
“โอเค”
เขาพยักหน้ายิ้มๆ
หลังจากเฟิงซู่ออกไป ถึงจะเก็บรอยยิ้มนั้น หันไปสั่ง “ไปเรียกผู้จัดการใหญ่มา บอกว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
มู่เฉาเกอเมื่อได้รับสายจากผู้ช่วยของพ่อ รีบกลับเข้าบริษัททันที
“พ่อ เรียกฉันมามีเรื่องอะไรหรอคะ?”
เธอผลักประตูเข้ามาในห้องประธานคณะกรรมการบริหารแล้วถาม
คนพ่อหันไปมอง แล้วกวักมือเรียกเธอ “ลูกมาดูโครงการนี้สิ”
มู่เฉาเกอเดินไปดูอย่างสงสัย เมื่อเห็นสัญญาของตระกูลเฟิงก็รู้สึกงุนงงและประหลาดใจ
แต่ความดีใจนั้นมากกว่า เพราะโครงการนี้จะทำให้เธอมีโอกาสใกล้ชิดกับเฟิงจิ่งเหยา
เดิมทีเธอยังคงกังวลเกี่ยวกับวิธีการเข้าใกล้เฟิงจิ่งเหยาให้เนียนไม่กระโตกกระตาก แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าโอกาสจะมาถึงในเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้
“พ่อคะ เงินลงทุนโครงการนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าส่งต่อให้คนอื่นน่าจะอันตรายเกินไปไม่ดีเท่ากับให้ฉันรับผิดชอบ”
คนพ่อเห็นสายตาดีอกดีใจของเธอ ทำไมจะไม่รู้ความคิดของเธอ พูดยิ้มๆ “ที่เรียกลูกมาก็เพื่อที่จะให้เธอรับผิดชอบ ในเมื่อตัวลูกก็สมัครใจ งั้นพ่อส่งมอบโครงการนี้ให้เธอแล้วล่ะ ต้องดูให้ดีล่ะ”
มู่เฉาเกอแอบดีใจ รีบตกปากรับคำทันที “พ่อคะ วางใจได้เลย โครงการนี้ฉันจะทำให้ดีที่สุด”
และในเวลานี้ เฟิงจิ่งเหยาก็กำลังแสดงละครอยู่
เฟิงซู่กลับถึงบริษัทก็ติดต่อเฟิงจิ่งเหยา
“จิ่งเหยา บริษัทพวกเรามีโครงการร่วมกับมู่ซือกรุ๊ป ด้านฉันเจรจากับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะส่งต่อให้ลูกรับผิดชอบ ลูกต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เยอะหน่อย โครงการนี้บอร์ดบริหารจะให้ความสำคัญอย่างมาก อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้า “ฉันรู้แล้วค่ะ เมื่อถึงเวลาจะตั้งใจดูให้ละเอียด”
ทั้งสองคุยกันเรื่องงานเล็กน้อยแล้วก็วางสายไป
กู้ฉางฉิงเห็นว่าเฟิงจิ่งเหยามาอยู่เป็นเพื่อนเธอตั้งครึ่งค่อนวัน โทรศัพท์เรื่องงานกองโต ก็รู้สึกเกรงใจ
“จิ่งเหยา ถ้าบริษัทมีเรื่องล่ะก็ คุณไปทำธุระก่อนก็ได้นะ”
เธอไม่อยากให้เฟิงจิ่งเหยาเหนื่อยเกินไป ถึงแม้ว่าตัวเธอจะไม่อยากแยกจากกันแต่เธอก็เข้าใจเรื่องไหนควรจะให้ความสำคัญ
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินคำพูดที่ปากไม่ตรงกับใจของเธอ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดยิ้มๆ “อยากให้ฉันไป?”
กู้ฉางฉิงมองเขา อ้าปากค้างไม่รู้จะตอบกลับยังไง
จากใจจริง เธอไม่อยากให้เฟิงจิ่งเหยาจากไป
แต่ความจริงไม่ใช่ว่าเธออยากจะ…..
เฟิงจิ่งเหยามองกู้ฉางฉิงนิ่งเงียบไป ทำไมจะไม่รู้ความคิดของเธอ
เขาเก็บมือถือแล้วเดินไปข้างเตียงผู้ป่วย ลูบหัวกู้ฉางฉิว น้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าคิดมาเลย ถ้าเธอยังไม่ดีขึ้นฉันก็ไม่วางใจที่จะจากไปหรอกนะ”
กู้ฉางฉิงได้ยินแบบนั้น ราวกับความอบอุ่นไหลผ่านวาบในใจ
เธอทอดมองเฟิงจิ่งเหยาอย่างตื้นตันใจ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลในใจ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเฟิงจิ่งเหยาตัดบท “และฉันก็ยังรู้สึกว่าถ้าฉันไม่ดูแลเธอแล้วเธอได้รับบาดเจ็บอีก ดังนั้นฉันดูแลเธอให้ดีอย่างน้อยก็ไม่ต้องทำให้ฉันกังวล”
กู้ฉางฉิงฟังคำที่เหมือนคำบอกรักก็ที่ไม่เหมือนคำบอกรัก ถึงแม้จะรู้สึกละอายใจแต่ก็รู้สึกดีไม่น้อย
และแบบนี้ เฟิงจิ่งเหยาก็อยู่เป็นเพื่อนกู้ฉางฉิงที่โรงพยาบาล
ต่อมาสองวัน มันสงบมากจนทำให้กู้ฉางฉิงลุ่มหลงอยู่ในความสงบเงียบนี่
ตอนนี้ ชวี่ยี่ที่ตามหาคนอยู่ในที่สุดก็เจอร่องรอยของเทียนซาแล้ว
“ท่านประธาน พวกเราเจอร่องรอยแล้ว แต่พวกมันเจ้าเล่ห์มาก ทุกครั้งที่พวกเราเจอร่องรอย เขาก็จะหายไปทันที”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้โกรธอะไร
หลังจากที่ชวี่ยี่เคยรายงานครั้งก่อน เขาพอจะเดาออกว่าคนพวกนี้เป็นทหารรับจ้างที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี คนพวกนี้มีความสามารถในการสู้รบตามป่าที่แข็งแกร่ง ถ้าจะตามจับพวกเขาในป่า ก็จะต้องรู้เทคนิคต่างๆในการหลบหนีก่อน
คิดไป เขาหรี่ตาลงอย่างอันตราย สายตาเต็มไปด้วยแผนการ
“ชวี่ยี่ แจ้งไปว่าคืนนี้ให้ทุกคนแยกย้ายรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย”
ชวี่ยี่สงสัย “ท่านประธาน พวกเราไม่จับเขาแล้วหรอ?”
เฟิงจิ่งเหยายกยิ้มมุมปากอย่างมีนัยยะ “แน่นอนว่าต้องจับคนแต่ให้พวกเขาตกหลุมพรางเอง หลังจากพวกนายแยกย้ายกันไปเฝ้าอยู่ตรงล่างภูเขา”