กู้ฉางฉิงคิดว่า ในเมื่อคนอื่น’หวังดี’ส่งเฟิงจิ่งเหยากลับมา เธอเป็นเจ้าบ้านก็ควรจะไปขอบคุณ
ใครจะรู้ หลังจากที่เธอลงไปชั้นล่าง ก็ไม่เห็นมู่เฉาเกอแล้ว ทำให้เธอขมวดคิ้วแน่น
เธอรีบให้คนเรียกพ่อบ้านมา แล้วถามว่า : “ไม่ใช่บอกว่าคุณมู่จะค้างคืนที่นี่หรอ แล้วทำไมไม่เห็นคนเลยล่ะ?”
พ่อบ้านได้ยินคำนี้ จึงได้สังเกตเห็นว่ามู่เฉาเกอที่น่าจะนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกกลับหายไปแล้ว
“ฉันจะให้คนไปตามหา”
กู้ฉางฉิงได้ยิน ก็พยักหน้า
มู่เฉาเกอที่พวกเขากำลังตามหา เวลานี้อยู่ในห้องหนังสือของเฟิงจิ่งเหยา พยายามค้นหาแฟลชไดร์ฟที่เย่าซือบอกมา
เธอคุ้นชินตามนิสัยปกติของเฟิงจิงเหยาในการวางของ ค้นลิ้นชักหลายๆอัน ก็ไม่พบแฟลชไดร์ฟ
“หรือว่าจะเก็บไว้ในตู้เซฟ?”
เธอจ้องไปที่ตู้เซฟขนาดเล็กใต้โต๊ะทำงาน แล้วพูดพึมพำคนเดียว แต่มองอยู่นานก็ไม่กล้าลงมือ
เพราะนี่คือตู้เซฟระดับสูง ไม่เพียงแต่มีการจับคู่ลายนิ้วมือเท่านั้น การป้อนรหัสผ่าน ยังมีการตรวจสองรอม่านตา ตราบใดที่มีข้อผิดพลาด ก็จะส่งสัญญาณเตือนแจ้งตำรวจทันที
เป็นธรรมดาที่มู่เฉาเกอจะรู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงวางแผนที่จะหาโอกาสที่จะให้เฟิงจิ่งเหยา’ช่วย’เธอเปิดสิ่งเหล่านี้
คิดเสร็จ เธอก็ออกจากห้องไป
พอดีกับเธอเตรียมจะลงไปชั้นล่าง ด้านหลังก็ได้ยินเสียงพ่อบ้าน ทำให้เธอตกใจ
“คุณมู่ ที่แท้คุณก็อยู่ที่นี่ คุณนายรองของเราตามหาคุณอยู่”
แม้ว่าพ่อบ้านจะสงสัยว่ามู่เฉาเกอมาปรากฏตัวที่ชั้นบนได้อย่างไร แต่ก็พูดออกไปโดยมารยาท โดยไม่ได้ถาม
แต่เห็นกู้ฉางฉิงเดินลงมาจากชั้นบน ขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป
แต่ความแปลกใจนี้เธอเก็บกดไว้ชั่วขณะ เอ่ยทักทายว่า : “คุณมู่ ห้องพักแขกฉันให้คนทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเข้าไปพักผ่อนได้ทันที ถ้าขาดเหลืออะไร ก็บอกพ่อบ้านได้เลย”
มู่เฉาเกอมองดูเธอที่ทำตัวเหมือนเจ้าบ้าน ในใจอิจฉาขึ้นมา ทว่าอดทนไว้
“โอเค รบกวนฉางซินเลย ดึกขนาดนี้ยังต้องมาดูแลฉัน”
เธอระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านในใจ ยิ้มให้อย่างมีมารยาท
กู้ฉางฉิงพยักหน้า พูดอย่างสุภาพสองสามประโยค เพราะนึกถึงเฟิงจิ่งเหยา เธอก็ขึ้นชั้นบนกลับไปที่ห้อง
……
วันต่อมา เฟิงจิ่งเหยาตื่นจากอาการเมาค้าง เพียงแต่หัวไม่ได้ปวดจากอาการเมาค้าง
ภาพเมื่อคืนนี้ ก็ค่อยๆกลับเข้ามาในหัว
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะมีอาการมึนเมาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ก็ตาม แต่จิตใต้สำนึกก็ฟื้นกลับมามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฉางฉิงใช้น้ำอุ่นเช็กดตัวเขา จากนั้นก็นวดขมับให้เขาเกือบชั่วโมง เขาก็รู้สึกได้ทั้งหมด
คิดเสร็จ เขามองไปที่คนข้างๆด้วยสายตาอ่อนโยน
เห็นคนข้างๆที่หลับสนิทอยู่ ใต้ตาคล้ำนิดๆ น่าจะเกิดจากที่ดูแลเขาเมื่อคืน
เขาเห็นแล้ว ก็สงสาร โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงแผลบนร่างกายของกู้ฉางซินเองที่ยังไม่หายดี
เขาเอากู้ฉางฉิงอยู่ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง แล้วคิดที่จะอยู่บนเตียงอย่างหาได้ยาก
ส่วนกู้ฉางฉิง ถูกเขากอดไว้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้กลิ่นของเขาหรือเปล่า กู้ฉางฉิงหลับลึกยิ่งขึ้น
ทางด้านสองคนนี้ที่พะเน้าพะนอกันอยู่ ทว่ามู่เฉาเกอที่ตื่นแต่เช้าก็โกรธอย่างมาก
ถึงแม้จะรู้ว่ากู้ฉางฉิงได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองคนอยู่ในห้องก็ไม่สามารถมีอะไรได้
แต่เมื่อคิดว่าทั้งสองอยู่กันตามลำพัง ในใจเธอก็ริษยาจนแทบบ้าคลั่ง
เธอมองอาหารเช้าที่เต็มโต๊ะ แววตาริษยาและวางแผนชั่วร้ายก็ประกายขึ้นมา
“พ่อบ้าน ฉันทานเสร็จแล้ว จะไปที่บ้านหลักและไปดูคุณน้าเฟิงหน่อย”
เธอพูดอย่างสุภาพ ส่งสายตามองพ่อบ้านเล็กน้อยแล้วออกไปจากบ้านใหม่
พอเธอมาถึงบ้านใหญ่ คุณนายเฟิงเพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วส่งเฟิงซู่ไป เวลานี้เห็นมู่เฉาเกอ ในสายตาก็มีความแปลกใจและดีใจ
“เฉาเกอ คุณมาตั้งแต่เมื่อไร? ไม่โทรบอกน้าล่วงหน้าสักคำ ทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง?”
เธอห่วงใยมู่เฉาเกออย่างกระตือรือร้น
มู่เฉาเกอโอบแขนคุณนายเฟิง ฉีกยิ้มแล้วกล่าวตอบกลับว่า: “ทานแล้วค่ะ เมื่อคืนเพราะไปเป็นเพื่อนเฟิงจิ่งเหยาพบลูกค้าด้านนอกกลับมาดึก ก็เลยรบกวนกู้ฉางซินให้เตรียมห้องพักแขกทางด้านบ้านใหม่ให้ฉัน”
เธอพูดพลางก็ไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่พูดเกี่ยวกับว่าตอนนี้กู้ฉางซินยังไม่ตื่น
แต่พอคุณนายเฟิงฟังจบก็เข้าใจผิดโดยตรง
ลูกชายตนเองมีตารางเวลาการทำงานอะไรเธอก็ไม่รู้ ต้องเป็นกู้ฉางซินที่ยั่วยวนลูกชายตนเองเป็นแน่
เห็นได้ชัดว่าคุณนายเฟิงโมโหสับสนจนลืมไปแล้ว กู้ฉางฉิงยังเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง
ขณะที่เธอโมโหก็ไม่ลืมที่จะกำชับคนให้ไปเรียกกู้ฉางฉิงและเฟิงจิ่งเหยาให้ลุกขึ้น
เธอไม่อยากเห็นลูกชายตนเองและกู้ฉางซินยิ่งมีความรักความผูกพันธ์มากขึ้น
แบบนี้ คนทั้งสองที่เดิมทีหลับสนิท ก็ถูกคุณนายเฟิงก่อความวุ่นวาย จึงตื่นขึ้นมา
พวกเขาไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของคุณนายเฟิง
คนทั้งสองอาบน้ำรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปบ้านใหญ่
มู่เฉาเกอและคุณนายเฟิงเห็นเฟิงจิ่งเหยาประคองคุณนายรองเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง สีหน้าล้วนไม่น่าดู
แต่ต่อหน้าเฟิงจิ่งเหยา คนทั้งสองก็ไม่ได้แสดงออกมา
“แม่ คุณเรียกพวกเราเข้ามาทำไม?”
พอจัดการให้กู้ฉางฉิงนั่งเรียบร้อยแล้ว เฟิงจิ่งเหยาจึงนั่งลงข้างๆเธอ มองคุณนายเฟิงแล้วกล่าวถาม
“ทำไม หาคุณต้องมีธุระด้วยเหรอ เรียกคุณเข้ามาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้หรอ?”
คุณนายเฟิงไม่พอใจกับคำพูดของเขาอย่างมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฉุน
ในสายตาเฟิงจิ่งเหยาจนใจ: “แม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนี้”
คุณนายเฟิงถอนหายใจเบาๆ สายตามองไปยังกู้ฉางฉิง กล่าวสั่งสอนว่า: “ฉางซิน ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ อยู่บ้านพักฟื้นก็เป็นเรื่องที่สมควร แต่นี่ตื่นสายปล่อยให้แขกรับประทานอาหารเพียงลำพัง นี่คือมารยาทที่ตระกูลเฟิงของพวกเรามอบให้คุณหรอ?”
เธอยืมโอกาสจากมู่เฉาเกอหาเรื่องทะเลาะกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงรู้สึกพูดไม่ออก รู้สึกว่าคุณนายเฟิงกำลังเถียงข้างๆคูๆ
เฟิงจิ่งเหยาฟังถึงคำพูดนี้ ในสายตาก็ไม่พอใจ กำลังคิดจะช่วยกู้ฉางฉิงพูด แต่ถูกมู่เฉาเกอชิงตัดหน้า
“คุณน้า ถ้าคุณพูดกับกู้ฉางซินแบบนี้ ครั้งต่อไปฉันไม่กล้ามาเป็นแขกอีกแล้วนะ”
เธอจงใจช่วยกู้ฉางซินพูดพลาง สายตาก็สังเกตสีหน้าของเฟิงจิ่งเหยาอย่างระมัดระวัง
เห็นเขาผ่อนคลายหัวคิ้ว จึงถอนหายใจโล่งอก
ขณะเดียวกันในใจก็ขัดเคืองคุณนายเฟิงเล็กน้อย
เธอรู้ว่าคุณนายเฟิงอยากหาข้ออ้างจัดการกู้ฉางฉิง แต่ก็ไม่ควรใช้เธอเป็นโล่ แบบนี้จะดึงดูดให้จิ่งเหยาไม่พอใจ กระทั่งเข้าใจผิดได้
“จะว่าไป บาดแผลนี้ของฉางซินก็นานมากแล้วแต่ยังไม่หายดี ลองเปลี่ยนยาของโรงพยาบาลไหม ฉันจำได้ว่ามีร้านขายยาเก่าที่มียารักษาบาดแผลภายนอกได้ดี”
เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นห่วงใยกู้ฉางฉิง ใช้หัวข้อสนทนานี้เพื่อยุติ
แต่กู้ฉางฉิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดแสดงความเกรงใจก็ตาม แต่จากในคำพูดเธอก็ยังสังเกตเห็นว่ามู่เฉาเกอมีเจตนาที่จะตีสนิทกับเธอ
ก็เพราะรู้อย่างนี้ เธอจึงงุนงงอย่างมาก
พูดตามหลักแล้ว มู่เฉาเกอมีความชื่นชอบต่อเฟิงจิ่งเหยา ควรจะเต็มไปด้วยเจตนาร้ายต่อเธอ
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีเจตนาร้าย ยังมีเจตนาที่จะผูกไมตรีอีกด้วย ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ไม่รอให้เธอคิดมาก เฟิงจิ่งเหยาก็พูดคุยกับเธอเกี่ยวกับร้านขายยา