วันต่อมา เรื่องราวยังคงหมักหมมอยู่
ก่อนหน้านี้บนอินเตอร์เน็ตยังมีคนทำให้เฟิงจิ่งเหยาและเฟิงซื่อกรุ๊ปเสื่อมเสียชื่อเสียง
เมื่อเวลาผ่านไป การวิพากษ์วิจารณ์นี้ก็หนักยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะแฟนคลับของมู่เฉาเกอ เข้ามาโจมตีในเว็บไซต์ของเฟิงซื่อกรุ๊ป
“ผู้ชายเลวๆได้แล้วทิ้ง ไม่คู่ควรกับนางฟ้าเฉาเกอของพวกเรา!”
“อย่าคิดว่าคุณมีเงิน แล้วจะทำร้ายเฉาเกอเราได้นะ รีบขอโทษนางฟ้าของเราโดยเร็ว มิเช่นนั้นจะคว่ำบาตรพวกคุณ”
“ฉันอยากจะรู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาคนนี้ตาบอดหรือไง แม้แต่นางฟ้าเฉาเกอของเราก็ไม่เข้าตา”
กู้ฉางฉิงดูการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้อยู่ที่บ้าน ก็โกรธอย่างมาก
เธออดไม่ได้ที่จะแก้ชื่อเสียงให้เฟิงจิ่งเหยา พูดเรื่องการแต่งงานของเฟิงจิ่งเหยาออกมา ทว่าไม่มีใครเชื่อเธอ
“ประเมิณดูแล้ว ด้านบนพูดปัญญาอ่อน”
“ปัญญาอ่อน+1 คาดไม่ถึงว่าจะใส่ร้ายนางฟ้าของเราว่าเป็นเมียน้อย ใครจะเป็นเมียน้อย ก็ไม่สามารถเป็นนางฟ้าของเราได้”
“ใช่ และถ้าเฟิงจิ่งเหยาแต่งงาน ข่าวคราวจะเงียบได้อย่างไร ข่าวใหญ่ที่ตีแผ่ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเป็นการหาข้ออ้าง คิดจะล้างบาปให้ชายชั่วคนนี้”
กู้ฉางฉิงเห็นการโต้แย้งเหล่านี้ ก็ร้อนใจจนไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
ถึงอย่างไรเรื่องที่เธอกับเฟิงจิ่งเหยาแต่งงานกัน ก็มีน้อยคนที่รู้
คิดแล้ว เธอก็กลุ้มใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายเน็ตต่อว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็โกรธจนแทบกระอักเลือด
ก็เพราะจิตใจเป็นเช่นนี้ เธอจึวอารมณ์ไม่ดีทั้งวัน ไม่มีแรงไปทำอะไร
ในเย็นวันนั้น เฟิงจิ่งเหยากลับมา เป็นธรรมดาที่จะพบความผิดปกติของเธอ จึงถามอย่างสงสัยว่า : “เป็นอะไร? อารมณ์ไม่ดีหรอ?”
กู้ฉางฉิงมองเขา ไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องเมื่อตอนกลางวันไหม คิดๆแล้ว เขาเหนื่อยล้าที่บริษัทมาทั้งวัน ไม่อยากให้เรื่องจุกจิกเหล่านี้ทำให้เขาว้าวุ่นใจ
“เปล่า แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น”
เธออ้างแบบขอไปที ทว่ามองข้ามความเฉลียวฉลาดของเฟิงจิ่งเหยาไป
“ไม่สบายหรอ? งั้นฉันจะให้เช่อมาดูอาการคุณ”
เขาพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาทำท่าจะโทร
กู้ฉางฉิงจะให้เขาโทรเรียกคนมาได้อย่างไร จึงรีบขัดขวาง
“เดี๋ยว”
เธอดึงเฟิงจิ่งเหยา จากนั้นก็ชนเข้ากับดวงตาของเฟิงจิ่งเหยาที่เหมือนจะยิ้มไม่ยิ้ม ก็รู้ว่าถูกเขาแกล้ง
“โอเค ฉันอารมณ์ไม่ดี
จนปัญญา เธอได้แต่ยอมรับ
เฟิงจิ่งเหยาได้ยิน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย : “ใครทำให้คุณไม่สบายใจ?”
กู้ฉางฉิงส่ายหัว
“ไม่มีใครทำให้ฉันไม่สบายใจหรอก บางอย่างบนอินเทอร์เน็ต มันทำให้ฉันโกรธ”
เธอพูดจบ ก็พูดคำต่อว่าบนอินเตอร์เน็ตออกมา
เฟิงจิ่งเหยาฟังจบก็ทำอะไรไม่ถูก ในเวลาเดียวกันก็ตื้นตันใจอย่างมาก
พูดได้ว่า เขาคาดไม่ถึงว่ากู้ฉางซินจะทะเลาะกับเกรียนคีบอร์ดบนอินเตอร์เพื่อตัวเขาเอง นี่ไม่สอดคล้องกับกู้ฉางซินที่เขารู้จักเลย
แต่คิดว่ากู้ฉางซินแตกต่างจากข้อมูลที่รายงานมาก นี่ก็ผิดแปลกเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้คิดมาก
“สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปสนใจหรอก ชื่อเสียงเล็กๆน้อยๆ ฉันไม่เป็นไร”
เขาปลอบใจกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงยังคงเจ็บปวดใจ
เฟิงจิ่งเหยามองอยู่ ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร กระพริบๆตา ถามหยั่งเชิงว่า : “หรือว่า หรือคุณอยากประกาศข่าวการแต่งงานของเรา?”
กู้ฉางฉิงตกตะลึง เดิมทีเธอคาดไม่ถึงว่าเฟิงจิ่งเหยาจะถาม
อีกทั้งเธอไม่ได้พูดว่าจะให้ประกาศหรือไม่
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะลืมเรื่องบางเรื่อไปแล้ว แต่เธอจำได้เสมอว่าตนเองไม่ใช่กู้ฉางซินตัวจริง
เธอไม่รู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร พูดตอบกลับไปอย่างระวังๆ : “ประกาศตอนนี้? ช่างเถอะ เมื่อถึงเวลาพวกเขายังจะเข้าใจผิดอีกแน่นอน”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยิน ก็มองกู้ฉางฉิง แววตาประกายความไม่พึงพอใจ
เขามองออกว่า กู้ฉางฉิงปฏิเสธเล็กน้อยกับการประกาศ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าเห็นด้วย
“อืม แล้วแต่คุณ”
หัวข้อสนทนานี้ได้ถูกยกขึ้น คนทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อยหลายคำ บรรยากาศก็คลี่คลายลงมา
หลังทานอาหาร คนทั้งสองก็ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้
ถึงจะมีชั่วครู่หนึ่งที่ไม่สบายใจ แต่บรรยากาศโดยรอบของคนทั้งสองก็ยังคงปรองดองอบอุ่นอย่างมาก
มั่วหลีมองอยู่ไกลๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ความอ่อนโยนแบบนั้นของคุณผู้ชาย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฎกับเธอ
ต่อให้ได้รับบาดเจ็บ คุณผู้ชายก็เพียงแค่เป็นห่วงงาน
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า
กระทั่งรู้สึกว่าตนเองไม่นับว่าเป็นอะไรเลยต่อหน้าคุณผู้ชาย ก็เหมือนกันกับมู่เฉาเกอ
เธอไม่ยินยอม ก้นบึ้งของหัวใจก็มีความหวาดกลัว
กลัวว่าวันหนึ่งคุณผู้ชายรู้ความคิดของเธอ ก็จะทำแบบนั้นเหมือนกันกับมู่เฉาเกอ แล้วปฏิบัติต่อเธอ
เธอเหมือนกับมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ความคิดนี้ที่กำลังปรากฎในใจของเธอก็ไม่สามารถจัดการได้
เธอคิดพลาง เธอก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องให้ตนเองไม่ถูกคุณผู้ชายทอดทิ้งด้วยความรังเกียจ
บางที ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน
เรื่องเหล่านี้เฟิงจิ่งเหยาและกู้ฉางฉิงล้วนไม่รู้
หลังจากที่พวกเขาเดินเล่นกันเสร็จแล้ว ก็ขึ้นชั้นบยนไปทำงานต่อ
……
วันต่อมา เฟิงจิ่งเหยารับประทานอาหารเช้ากับกู้ฉางฉิงแล้ว ก็ไปบริษัท
ช่วงเวลาหนึ่ง ในห้องอาหารก็เหลือเพียงกู้ฉางฉิงกับมั่วหลี
มั่วหลีได้ยินเสียงรถที่ลานบ้าน ก็รู้ว่าคุณผู้ชายของตนเองไปแล้ว ก็เปลี่ยนสายตา จ้องมองไปยังกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงสังเกตเห็นถึงสายตาที่มืดครึ้มของเธอ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มีปัญหา?”
เธอถามอย่างเย็นชา
มั่วหลีลุกขึ้นยืน มองลงมาแล้วกล่าวว่า: “กู้ฉางซิน อย่าคิดว่าคุณผู้ชายยืนอยู่ข้างคุณแล้ววันหนึ่งจะไล่ฉันออกไปได้นะ ฉันไม่ยอมให้แผนชั่วของคุณสำเร็จแน่!”
เธอพูดจบ ก็หันตัวเดินออกไปโดยตรง
กู้ฉางฉิงมองเงาด้านหลังขอวเธอจากไป รู้สึกเพียงว่าคนคนนี้ประหลาดนัก
เธอเคยจะไล่เธอออกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ถ้าหากคนยังไม่จากไป เธอก็อยากจะพูดสักประโยคจริงๆว่า ขี้มโนเป็นโรค จำเป็นต้องได้รับการรักษา!
แน่นอน ฉากเล็กๆเหล่านี้ เฟิงจิ่งเหยาไม่รับรู้
หลังจากเขาเดินทางมาถึงบริษัท ก็เข้าสู่สภาวะการทำงาน ประชุมอย่างต่อเนื่อง
ยุ่งมาตลอดทั้งช่วงเช้า ก็เลยถือโอกาสตอนรับประทานอาหารเที่ยง ที่สามารถพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง
“ท่านประธาน มั่วจุยกลับมาแล้ว”
เขารับประทานอาหารเสร็จได้ไม่นาน ชวี่ยี่ก็เคาะประตูแล้วเข้ามา มั่วจุยที่รูปร่างสูงใหญ่ก็ตามมาด้านหลัง
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเช่นนี้ ในสายตาก็ประหลาดใจ
เขาโบกมือให้ชวี่ยี่ออกไป หลังจากนั้นก็แสดงเจตนาให้มั่วจุยนั่ง
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่เห็นบอกฉันล่วงหน้าเลย?”
เขาลุกขึ้นเดินมาแล้วนั่งลงตรงข้ามกับมั่วจุย
มั่วจุยกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “เดิมทีฉันก็อยากจะแจ้งพี่ชายให้ทราบ แต่ตอนนี้ทางด้านต่างประเทศยุ่งเหยิงมาก มีคนเฝ้าจับตาดูฉันอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังตรวจสอบได้ว่าที่นี่มีปลาจำนวนไม่น้อยที่เล็ดลอดตาข่ายแล้วลักลอบเข้าประเทศมา ฉันกังวลว่าพวกเขาจะมุ่งเป้ามายังคุณ ดังนั้นจึงกลับมาเงียบๆ วางแผนที่จะดูสถานการณ์ ถ้าทางด้านนี้ปลอดภัย ฉันค่อยกลับไป”
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าเขากลับมาเพื่อตนเอง จึงไม่ได้ซักถามอีก
“โอเค ตอนเย็นคุณกลับไปด้วยกันกับฉัน พอดีคุณก็ไม่ได้เจอยัยมั่วหลีนานแล้ว เธอเห็นคุณ ก็น่าจะดีใจมาก”
มั่วจุยพยักหน้า ไม่นานก็นึกถึงมั่วหลีที่ได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้จะรู้ว่าตอนเย็นก็จะได้พบคนแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความเป็นห่วงสักสองคำ
“ฉันได้ยินว่าก่อนหน้านี้มั่วหลีได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่ได้ร้ายแรงใช่ไหม?”
เฟิงจิ่งเหยากล่าวตอบกลับว่า: “ไม่มีอะไรร้ายแรง ตอนนี้น่าจะเกือบหายดีแล้ว”
มั่วจุยได้ยิน ก็โล่งอก รอคอยที่จะได้พบกันตอนเย็น