ในใจเจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะแอบเปรียบเทียบระหว่างตัวเธอเองกับหลิวจื่อซิง แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็มองไม่ออกว่าหลิวจื่อซิงผู้หญิงคนนั้นดีกว่าเธอตรงไหน? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงชอบหลิวจื่อซิง แต่กลับเย็นชากับเธอ?
ถ้าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนจิตใจดีจริงๆก็ว่าไปอย่าง เจี่ยนอี๋นั่วคงยอมแพ้ด้วยความเต็มใจ แต่หลิวจื่อซิงจงใจสร้างสถานการณ์นั่นด้วยซ้ำ เป็นผู้หญิงเจ้าแผนการที่ใจคิดอีกอย่างปากพูดอีกอย่างจริงๆ ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงในอนาคตจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนยันว่าเหลิ่งเซ่าถิงกับหลิวจื่อซิงคบกันจริงๆ ในใจก็ยังรู้สึกเศร้า
เธอมีสิทธิ์อะไร? ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นซะหน่อย
ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็นิ่งไปสักพัก เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอในตอนนี้เหมือนกับนางร้ายตัวประกอบในละครจริงๆ ที่เห็นนางเอกที่อ่อนโยนกับพระเอกรักกัน แล้วอดไม่ได้ที่จะอิจฉานางเอก สุดท้ายก็ใช้วิธีสกปรกทำร้ายนางเอก
ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าการอิจฉาคนอื่นความรู้สึกมันเป็นยังไง ตอนนี้เธอได้ลิ้มรสแล้วจริงๆ ถึงรู้สึกว่ารสชาติความอิจฉานี้ไม่ได้ทำให้สบายใจเลย ความอิจฉาทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ถามตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนว่าทำไม หลิวจื่อซิงนั่นมีสิทธิ์อะไรได้รับสิ่งนั้น ตัวเองกลับไม่ได้รับ หลังจากนั้นบางทีความอิจฉาก็เกิดความชั่วร้ายขึ้นมา จนทำเรื่องไม่ดีลงไป
เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก ในชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วก็เจอผู้คนมาเยอะ เช่นฉู่หมิงเซวียนกับเฉิงซานซาน เธอเคยรังเกียจพวกเขามาก แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเบื่อตัวเองมากกว่า เธอที่ในตอนนี้กำลังหลงใหลกับการอิจฉาริษยา เห็นได้ชัดว่าทำให้ผู้คนสามารถรังเกียจเธอได้จริงๆ
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ยับยั้งความรู้สึกอิจฉาไว้ในใจ แล้วเม้มริมฝีปาก
“คิดอะไร?” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ถามขึ้นมา
เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าพูดว่าเธอกำลังยับยั้งความอิจฉาของตัวเองอยู่ออกไป เธอขมวดคิ้วแล้วพูด:“ฟังบทสนทนาระหว่างคุณกับเขาแล้ว รู้สึกเหมือนว่าคุณมีของอะไรที่อยู่กับเขา อีกอย่างคบหาก็คือคบหา ไม่เคยคบหาก็คือไม่เคยคบหา ทำไมคุณถึงตอบคำถามได้แปลกขนาดนั้น? อะไรคือก็คงใช่มั้ง? สายตาที่เขามองคุณมันคือยังมีเยื่อใย เขายังสนใจในตัวคุณอยู่ชัดๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ชำเลืองมองเหลิ่งเซ่าถิง:“แล้วก็นะ ตอนที่คุณกลายเป็นคนไม่รับรู้ความรู้สึกนั้น เขาไม่กลับมา ต้องรอให้คุณหายเป็นปกติก่อน เขาถึงจะกลับ ผู้หญิงแบบนี้เชื่อถือไม่ได้หรอก”
เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“คุณนี่ก็ใจร้ายอยู่นะ นินทาคนอื่นลับหลัง กับคนอื่นคุณไม่เป็นแบบนี้นี่ ผู้หญิงแบบเขาเชื่อถือไม่ได้ แล้วผู้หญิงแบบไหนเชื่อถือได้? แบบคุณเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก เธอไม่อยากซ่อนความรู้สึกอิจฉาไว้ในใจ เธอกลัวจริงๆว่าถ้าซ่อนความรู้สึกอิจฉานั้นลงไปในความมืดนานเกินไป จะกลายเป็นความชั่วร้าย เจี่ยนอี๋นั่วยอมถูกเหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะเธอเยาะเย้ยเธออีกสักครั้ง ดีกว่ากลายเป็นผู้หญิงที่ตัวเธอเองรังเกียจ
เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆพยักหน้า:“ฉันคิดว่าฉันน่าเชื่อถือกว่าเขานิดหน่อย ฉัน ฉันไม่ยอมหรอกนะ คุณฉลาดขนาดนั้น ก็น่าจะมองออกว่าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงแบบไหน ทำไมคุณถึงคบกับเขาได้ ตอนที่ฉันเผยออกมาว่ารู้สึกดีกับคุณ คุณกลับเยาะเย้ยกับฉัน?”
เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว เขาถอดเสื้อผ้า อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปากไปด้วย ผ่านไปสักพัก เหลิ่งเซ่าถิงก็กลั้นยิ้มบนใบหน้าไว้ แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วที่มองเขาจากด้านหลังผ่านกระจกในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงแล้วแคะนิ้วมือของตัวเอง ท่าทางกลุ้มใจอย่างสุดขีด
“หรือว่าคุณอิจฉา?” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตา กลั้นยิ้ม แล้วกดเสียงต่ำถามออกไป
เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วค่อยๆพยักหน้า:“อืม ใช่ ฉันอิจฉา แล้วก็ไม่ยอมด้วย ถ้าเขาเป็นนางฟ้าที่จิตใจอ่อนโยนจริงก็ว่าไปอย่าง แต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการ ฉันก็มีข้อเสียเยอะ แต่ต้องแพ้ให้กับผู้หญิงแบบนั้น ฉันไม่ยอมจริงๆ”
“ถ้าคนที่ผมคบหาเป็นนางฟ้าจิตใจอ่อนโยนจริง คุณจะยอมจริงเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแล้วถาม
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าแคะนิ้วมือของตัวเอง คิดสักพักแล้วพูดเสียงเบา:“ที่จริงแล้ว……ก็ยังคงไม่ยอม คุณอยากจะหัวเราะเยาะก็หัวเราะเถอะ ยังไงซะฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกหัวเราะเยาะสักหน่อย จริงสิ ตอนนี้ฉันยังรู้สึกดีกับคุณอยู่ พอเจอผู้หญิงที่คุณเคยคบหาก็เลยอิจฉา ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดออกมาทั้งหมด กลับกันรู้สึกว่าโล่งใจกว่าเยอะเลย เลยถือโอกาสพูดออกไปตามตรง:“ฉันไม่ได้แย่กว่าผู้หญิงคนอื่นสักหน่อย คุณมีสิทธิ์อะไรชอบคนอื่น แต่ไม่ชอบฉัน? ฉันไม่ยอม”
“งั้นผมจะบอกคุณให้ว่าเพราะอะไร?” หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนชุดนอนเสร็จ ก็เดินมาข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว ก้มหน้าลงเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว:“เพราะว่าเขาไม่พูดนินทาคนอื่นลับหลัง แต่คุณ……”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่ แล้วตบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงต่ำพูด:“ถ้าคิดให้ดี ผู้หญิงอย่างคุณมีแต่ข้อเสีย นิสัยแข็งกระด้าง เห็นแก่เงินอีก บางทีก็ใจร้อน ตอนนี้ยังเพิ่มข้อเสียอย่างขี้อิจฉาเข้าไปอีก อ้อ ยังมีอีก เวลาคุณนอนก็นอนร้าย เอาเวลาที่อิจฉาคนอื่นมาเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นไม่ดีกว่าเหรอ มีแค่คนอ่อนแอเท่านั้นล่ะที่อิจฉาคนอื่น ตอนนี้ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แล้วเข้านอนซะ”
“ก็ได้……” เจี่ยนอี๋นั่วตอบรับอย่างไม่สบายใจ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ตอนที่เปลี่ยนชุดนอนเสร็จแล้วเดินออกมา เจี่ยนอี๋นั่วใช้ไฟฉายที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เธอคลำไปที่เตียงตามแสงไฟที่ส่อง หลังจากนั้นก็หดตัวไปบนเตียง
ตอนนอนบนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะบ่น:“ประธานเหลิ่ง ต่อไปคุณอย่าปิดไฟเร็วขนาดนั้นจะได้ไหม ถ้าฉันไม่ได้เตรียมไฟฉายมาล่วงหน้า ฉันคงต้องคลำหาเตียงทั้งมืดๆอีก”
“คุณนี่ยิ่งพูดมากขึ้นทุกทีนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชามาจากเตียงอีกฝั่ง
เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเวลาที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงก็เริ่มที่จะกล้าพูดมากขึ้นแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ท่าทางกลัวจนหัวหด อีกอย่างตอนนี้เวลาที่เธออยู่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงกับเวลาปกติทั่วไปของเธอก็ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่ เวลาที่เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ที่บริษัทจะเป็นนักรบในชุดเกราะ อยู่ที่บ้านก็จะเป็นเสาหลักของครอบครัว เธอต้องรับมือกับฉู่หมิงเซวียน เธอต้องดูแลครอบครัว เธอต้องรับมือกับคุณนายเหลิ่ง แถมเธอยังต้องคุ้มครองน้องสาวตัวเองกับแม่เลี้ยงอีก
เจี่ยนอี๋นั่วเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองคือใคร เธอคือประธานบริษัท คือลูกสาว มันนานมากแล้วที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง
แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนกัน เขาแกร่งพอ พอที่จะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าคนที่แกร่งแบบนี้ สามารถเผยความอ่อนแอออกมาได้ เขาฉลาดพอ พอที่จะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ายังไงซะเธอก็ปิดบังเขาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาซ่อนเรื่องราวที่อยู่ในใจ เธอคิดว่าพูดเรื่องที่ควรพูดออกมาดีกว่า เพราะงั้นตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง
เธอไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องเข้มแข็ง เพราะเดิมทีเธอก็ไม่มีทางที่จะแอบซ่อน และก็ไม่ต้องไปปกป้องใคร
ความรู้สึกแบบนี้ มันผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดใจ!
ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังใจลอยนั้น เธอรับรู้ได้ถึงมือของเหลิ่งเซ่าถิงที่ค่อยๆโอบมาบนไหล่ของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็นิ่งอึ้งไป:“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงคิดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่หลับ เขาเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วหลับไปแล้ว เดิมทีเขาอยากจะโอบเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด
เหลิ่งเซ่าถิงรีบหดมือกลับ แล้วพูดเสียงขรึม:“ผมกำลังดูว่าคุณอิจฉาจนนอนไม่หลับหรือเปล่า?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูด:“ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไม่สบายใจ แต่พอหลังจากที่พูดความคิดของฉันให้คุณฟังแล้ว ก็สบายใจขึ้นมา บางทีความอิจฉายิ่งซ่อนมัน ก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายได้อย่างง่ายๆ แต่พอเผชิญกับมันตรงๆ กลับไม่มีอะไรเลย สามารถพูดออกมาได้ว่าฉันอิจฉาจริงๆนั่นแหละ คงจะดีกว่าภายนอกแสร้งว่าไม่สนใจ แต่ในใจเกลียดเข้ากระดูก เห้อ คุณไม่เคยรู้สึกอิจฉาเลยหรือไง?”
เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหลับตาลง ไม่ได้ตอบอะไรกลับ ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็เลยเตรียมที่จะนอน
จู่ๆก็ได้ยินเสียงเหลิ่งเซ่าถิงพูดออกมา:“เคยอิจฉาสิ ผมเคยอิจฉาพี่ชายของผม ทำไมคนอื่นต่างก็ชื่นชมเขา ตอนเด็กๆผมคิดว่าเครื่องบินกระดาษของตัวเองพับได้ดีมาก ดูแล้วน่าสนใจกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ที่น่าเบื่อพวกนั้นเป็นไหนๆ ทำไมคนอื่นถึงมองเห็นพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์ของพี่ชายผม แต่กลับไม่เห็นพรสวรรค์ของผมที่พับเครื่องบินกระดาษ? ทำไมเขาจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ผมกลับมีชีวิตก็ได้ไม่มีก็ได้? ทำไมผมต้องตายแทนเขา ต้องเป็นผู้สืบทอดแทนเขา? แล้วก็อิจฉาคนอื่น อิจฉาคนอื่นที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ อิจฉาคนอื่นที่มีแสงสว่างในชีวิต”
เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้จากเหลิ่งเซ่าถิง เธออดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง มือค่อยๆโอบไปบนไหล่ของเขา เธออยากพูดปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงสักหน่อย แต่ก็พบว่าไม่ว่าคำปลอบใจแบบไหนต่างก็ดูไร้พลังเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่กุมมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆให้ความอบอุ่นปลายนิ้วที่เย็นยะเยือกของเหลิ่งเซ่าถิง
การกระทำที่ใจกล้าแบบนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วนับว่าเสี่ยงอันตรายพอสมควร เธอได้เตรียมพร้อมสำหรับการถูกเหลิ่งเซ่าถิงตำหนิแล้ว เธอรีบหดมือกลับ แล้วพาตัวเองกลิ้งไปที่มุมเตียง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ได้ทำอะไรด้วย ขนาดยกมือออกเพื่อที่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ทำ
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ ครั้งนี้เลยวางใจจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วปิดตาลง หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วหลับไป ค่อยๆเข้าใกล้ไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงเลยยื่นมือ ค่อยๆโอบเจี่ยนอี๋นั่ว เพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วมานอนชิดกับอกของเขา
“วันนี้ผมอิจฉาคุณอยู่ไม่น้อยนะ” เหลิ่งเซ่าถิงก้มมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“ความคิดพวกนั้นทั้งๆที่ควรจะเก็บเอาไว้ ทำไมคุณถึงพูดมันออกมาตรงๆล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วที่หลับพิงอกของเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆคลอเคลีย และได้ขับไล่ความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงออกไป
จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความคิดแปลกๆขึ้นมา ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นแมวจริงๆก็คงจะดี เขาสามารถเลี้ยงไว้ข้างกายตัวเองได้ แต่ทำไมเธอถึงต้องเป็นคนล่ะ? เป็นคนที่มีความปรารถนาแถมไม่สามารถควบคุมได้อีก จะวางใจเลี้ยงไว้ข้างกายได้ยังไง?