เหลิ่งหมิงอันทำหน้าขมวดคิ้วชั่วขณะ ราวกับว่าผ่านการคิดพิจารณาอะไรอย่างงั้น ท้ายสุดค่อยๆพยักหน้าตอบรับ เจี่ยนอี๋นั่วรอไม่ไหวแล้วอยากให้มีคนมาถึงที่นี่เร็วๆ รีบมารับเธอและเหลิ่งหมิงอันไปจากที่นี่ ถ้าทำให้เธอใช้เวลาที่อยู่กับเหลิ่งหมิงอันให้น้อยที่สุด และสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วถือว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่าแล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วรีบโทรศัพท์ขอความช่วยจากบริษัทอีกสาขาหนึ่ง เธอบอกตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ในตอนนี้ หลังจากที่วางโทรศัพท์เจี่ยนอี๋นั่วได้ถอนหายใจเฮือกออกมาด้วยความโล่งใจสุดๆ เธอยังไม่ทันตั้งตัวเหลิ่งหมิงอันก็คว้าตัวเธอไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“คุณจะทำอะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวดพูดขึ้น
เหลิ่งหมิงอันกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นหัวเราะพร้อมพูดว่า:“พี่ใหญ่รู้ว่าผมจะมาที่นี่ คนอื่นเห็นเราอยู่ด้วยกัน ถ้าหากพี่ใหญ่ใส่ใจต้องรู้เรื่องแน่นอน คุณว่าเขาจะคิดยังไง?”
เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด:“เหลิ่งเซ่าถิงไม่คิดอะไรหรอก คุณไม่ต้องไปยั่วโมโหเขา ตอนนี้เขามีหลิ่วจื่อซิงไม่สนใจหรอกว่าฉันจะอยู่กับผู้ชายคนไหน”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบหยุดไปชั่วขณะ ทันใดนั้นทำให้เธอนึกถึงคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยพูดไว้ ในระหว่างที่อาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเธอไม่สามารถคบกับผู้ชายคนอื่น และห้ามไปหลงคารมของชายอื่น ถ้าหากเวลานี้เขาพบว่าเธออยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันจะนับว่าเธออยู่กับชายอื่นหรือไม่นะ?
เจี่ยนอี๋นั่วพยายามใจเย็น เธอคิดว่าตราบใดที่แสดงให้เหมือนราวกับว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยสนใจเธอเลย เหลิ่งหมิงอันก็จะไม่ทำพฤติกรรมที่ยั่วโมโหเหลิ่งเซ่าถิงอีก เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้สึกได้ว่าพฤติกรรมที่เหลิ่งเซ่าถิงทำนั้นเป็นเพราะต้องการปกป้องเธอทางอ้อม
“ไม่สนใจใยดีใช่ไหม?”เหลิ่งหมิงอันกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว:“จะสนใจใยดีจริงหรือไม่นั้น ต้องดูจากอาการที่เขารู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าหากเขาไม่สนใจใยดีจริงๆ งั้นผมก็จะหยุด แต่ถ้าหากเขาสนใจใยดี และผมก็จะรังควานคุณต่อไปเรื่อยๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วชั่วขณะ เมื่อกี้ในสมองของเธอว้าวุ่นไปหมด ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ได้ฟังจากสิ่งที่เหลิ่งหมิงอันพูดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พึ่งจะเข้าใจทุกอย่างว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสนใจหรือไม่สนใจนั้น เพียงเพื่อต้องการรู้ว่าเธอเป็นจุดอ่อนของเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่ ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงแสดงอาการสนใจใยดีเธอ เหลิ่งหมิงอันก็ต้องใช้เธอเป็นเครื่องมือในการข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน
เธอโดนเหลิ่งหมิงอันรังควานมานานมาก แต่เพราะต้องการพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นพัฒนาถึงขั้นไหนแล้ว เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นโง่เง่าขนาดไหน เธอประเมินค่าตระกูลเหลิ่งต่ำไป ?ทุกเรื่องในตระกูลเหลิ่งมันต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เท่านั้น เหลิ่งเซ่าถิงถ้าหากรักเธอจริงๆ ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะโดนใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง อีกทั้งยังมีคุณพ่อของเธอด้วยที่ต้องตกเป็นเครื่องมือ ตลกตัวเองที่โง่มาตลอดและยังไปสารภาพรักต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอีก ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำเหล่านี้จะมองเธอยังไง คงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงโง่รนหาที่ตายเอง
แต่ทำไมเหลิ่งหมิงอันต้องมารังควานเธอแบบนี้ ?ทำไมกลับไม่ไปรังควานหลิ่วจื่อซิงล่ะ?หรือเป็นเพราะว่าหลิ่วจื่อซิงแกล้งคบกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นพวกเดียวกันกับเหลิ่งหมิงอัน?
เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆก็รู้สึกปวดหัวมากและทำหน้าย่นคิ้วขมวดมากขึ้น ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นมือของเหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือมาลูบที่หัวเจี่ยนอี๋นั่ว:“อย่าไปคิดมาก เป็นผู้หญิงก็ควรจะเอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายดีๆ อย่าไปคิดเรื่องของผู้ชาย”
เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันอย่างนิ่งๆ ถึงแม้ทุกครั้งที่เหลิ่งหมิ่งอันสัมผัสโดนตัวเธอ เธอจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด แต่ก็พยามยามไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันกลับหลงใหลชอบที่จะสัมผัสตัวเธอและยังไม่หยุดที่จะลูบหัวของเธอ แล้วยังตบหลังของเธอเบาๆราวกับว่ากำลังกล่อมเด็กเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งผู้จัดการสาขาย่อยมารับเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่เปิดประตูรถเหลิ่งหมิงอันหัวเราะพร้อมปล่อยตัวเธอ หัวเราะพร้อมพูดกับผู้จัดการว่า:“ขอโทษนะครับ ผมกับเจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถควบคุมความรูสึกของตัวเองได้”
เหลิ่งหมิงอันพูดจบก็เดินออกจากรถด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินตามออกจากรถไปด้วย ถึงแม้จะมีคนเห็นฉากที่น่าอับอาย แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากกว่า ยังน้อยมีคนอื่นอยู่เหลิ่งหมิงอันก็ไม่กล้าทำอะไรต่อเธออีก
“ครับ งั้น งั้นเชิญคุณสองขึ้นรถเถอะครับ รถคันนี้จะให้โทรเรียกคนมาลากไหมครับ?”ผู้จัดการสาขาย่อยถามด้วยรอยยิ้ม
เหลิ่งหมิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณหน่อยนะครับ ถ้าจะให้ดีรบกวนช่วยลากกลับไปใจกลางเมืองด้วยนะครับ เพราะว่ารถคันนี้มีความทรงจำที่ดีระหว่างผมกับเจี่ยนอี๋นั่วครับ”
เหลิ่งหมิงอันพูดจบยิ้มแล้วหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเชิดปากขึ้นพร้อมพูดว่า หมายความว่ายังไงอะไรคือความทรงจำที่ดี? เหลิ่งหมิงอันจงใจที่จะพูดด้วยความจงใจหมายให้คนอื่นเข้าใจผิดเหรอ?
และแล้วผู้จัดการก็เข้าใจผิดกับคำว่า “วันแห่งความสุข”ที่แท้นั้นหมายความว่าอะไร เขาใช้มือบังที่ปากพร้อมน้ำเสียงอะแฮ่ม:“ผมจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอนครับ คุณทั้งสองโปรดวางใจ”
เหลิ่งหมิงอันจูงมือเจี่ยนอี๋นั่ว:“งั้นไปกันเถอะ คุณเจี่ยนอี๋นั่ว”
เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตามหลังเหลิ่งหมิงอันขึ้นรถไป เมื่อรถวิ่งถึงใจกลางเมืองเหลิ่งหมิงอันชี้ไปที่ร้านผับแห่งหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม:“จอดรถที่นี่ครับ ผมยังต้องไปพบปะกับเพื่อนๆอีกหลายคน อี๋นั่ว ผมขอเงินหน่อย คุณก็รู้ว่าถ้าผู้ชายอยู่นอกบ้านแล้วไม่มีเงินมันดูไร้ศักดิ์ศรี คุณมีเงินมากกว่าผม คุณควรจะเลี้ยงดูผมนะครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วต้องการหลุดพ้นจากเหลิ่งหมิงอันเร็วๆ กระพริบตาชั่วขณะก็รีบหยิบเงินจากกระเป๋าเงินยื่นให้กับเหลิ่งหมิงอัน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ขอให้คืนนี้ของคุณเป็นคืนแห่งความสุขนะคะ”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบจองมองไปที่เท้าของเหลิ่งหมิงอันพร้อมพูดว่า:“และอีกอย่าง ทางที่ดีคุณควรไปหาหมอดูอาการหน่อยนะคะ ไม่รู้ขาแพลงเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นเขาขยับเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วโน้มตัวจูบริมฝีปากเธอกระซิบบอก
:“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก นั้นคือคำพูดของผมที่หลอกให้คุณสบาย แต่มันทำให้คุณเป็นห่วงผมขนาดนี้ ผมดีใจมากจริงๆ คุณวางใจเถอะ คืนนี้ผมจะเก็บความบริสุทธิ์ไว้อย่างดี ”
“คุณพูดแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?คุณรู้ไหมฉันลำบากขนาดไหนที่แบกคุณ?” เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหตุการณ์ที่แบกเหลิ่งหมิงอันลงเขาต้องให้แรงมหาศาลขนาดไหน ทนไม่ไหวที่จะทำท่าท่างคิ้วขมวด ชี้ไปทางเหลิ่งหมิงอันพร้อมกับตะโกนออกมา
เหลิ่งหมิงอันรีบคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วจูบลงที่ปลายมือเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆแล้วพูดตอบกลับด้วยร้อยยิ้ม:“ที่รัก ผมรับเงินของคุณ คุณก็คือผู้หญิงของผม คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะไม่นอกใจคุณหรอก ที่สำคัญผมยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนที่น่ารักอย่างคุณเลย ผมไปละ พวกเราเจอกันที่บ้านนะครับ ก่อนไปผมมีเรื่องอยากจะแนะนำคุณ อย่าบังคับตัวเองให้แกล้งเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของตัวเองได้หรอก การแสร้งทำเป็นยอมอ่อนน้อม มันยิ่งจะทำให้ผมอยากรู้จักคุณมากขึ้น”
เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเข้มสองคำ“กลับบ้าน” สิ่งที่เหลิ่งหมิงพูด“เจอกันที่บ้าน”เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจในทันทีความหมายก็คือ “เจอกันที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอาปลายมือที่เหลิ่งอันหมิงจูบเอามือไปซ่อนข้างหลังตัวเอง พร้อมมองเหลิ่งหมิงอันเดินจากไป
หลังจากเหลิ่งหมิงอันเดินจากไป ผู้จัดการสาขาย่อยที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนขับได้มองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกมองหลัง มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามามือปิดหน้าผากของตัวเอง เธอไม่กล้าคิดเลยว่าในใจของคนอื่นจะมองเธอเป็นคนยังไงกัน เหลิ่งหมิงอันแสดงพฤติกรรมการขอเงินเมื่อกี้นี้ มันอาจจะทำให้ในสายตาของคนอื่นอาจคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อน ?ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตารูปลักษณ์ของเหลิ่งหมิงอันก็ดูดีมาก และแน่นอนหน้าตารูปลักษณ์ของเหลิ่งหมิงอันก็เหมือนผู้ชายละอ่อนจริงๆ
ความลับที่ถูกคนอื่นล่วงรู้ สำหรับบางคนมีศีลธรรมพอที่จะรักษาความลับของผู้อื่น แต่สำหรับคนบางประเภทชอบนินทาเก็บความลับไว้ไม่อยู่ เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อว่าอีกไม่นานทั้งบริษัทต้องรู้ว่าเธอเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อน และอีกไม่นานตระกูลเหลิ่งก็ต้องรู้
เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงชั่วครู่พูดกับผู้จัดการสาขาย่อยคนนั้นว่า :“เรื่องนี้ คุณอย่าไปพูดต่อนะคะ เขาเป็นลูกค้าที่สำคัญคนหนึ่งของฉัน และไม่สามารถให้คนอื่นล่วงรู้ได้”
ผู้จัดการหรี่ตาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“คุณเจี่ยนโปรดวางใจ ผมไม่พูดแน่นอนครับ”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอไม่กล้าที่จะจินตนาการต่อว่าผู้จัดการกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ และคิดไปไกลขนาดไหนแล้ว แต่ได้รับฉายาตำแหน่งประธานบริษัทเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อนนั้น เทียบไม่ได้กับการที่เจี่ยนอี๋นั่วจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับตระกูลเหลิ่งยิ่งทำให้กังวลใจมากกว่าซะอีก ก่อนหน้านี้เธอเคยแอบคิดระยะเวลาที่เธออาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งน้อยเกินไป ทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงน้อยลงไปด้วย แต่เวลานี้เธอกลับคิดว่า เธออาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งนานเกินไปแล้ว นานเกินไปที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัยเลยสักนิด
ทางที่ดควรโทรหาเหลิ่งเซ่าถิงก่อนดีกว่า เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง?แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วดูเวลานี่ก็ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงเข้านอนแล้วแน่นอน เวลานี้เล่าให้เขาฟังจะเป็นการรบกวนไหม?ช่างมันเถอะ รอให้ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งก่อนแล้วค่อยเล่าให้เขาฟังทุกอย่างดีกว่า เล่ารายละเอียดทุกอย่างรวมไปถึงพฤติกรรมที่เหลิ่งหมิงอันกระทำต่อเธอด้วย
แทนที่จะปกปิดแล้วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจผิดระหว่างที่เธออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอันนั้น ควรบอกความจริงทุกอย่างกับเหลิ่งเซ่าถิงดีกว่า เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสายลวดเหล็ก เดินไปเดินมาก็ไม่ก็หาทางออกไม่เจอ และเหมือนตัวเองกำลังจะตกลงไปในหน้าผา
ความเป็นจริงนั้นเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ได้หลับเหมือนอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์ไว้ แต่กลับตรงกันข้ามเขากลับนอนไม่หลับอยู่บนเตียง หรี่ตาจ้องมองโทรศัพท์ในมือ หลังจากที่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไปทำงานต่างจังหวัดก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย เจี่ยนอี๋นั่วจงใจไปทำงานต่างจังหวัดเพื่อต้องการหลบหน้าเขา เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติแต่เมื่อเขากลับถึงห้อง ในขณะที่เอนตัวลงนอนบนเตียงคนเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้านี้ความรู้สึกแบบนี้เหลิ่งเซ่าถิงก็เคยรู้สึกมาแล้ว
ก่อนที่เขาจะรู้ความจริงว่าการที่เขามีชีวิตอยู่นั้นเป็นได้แค่ตัวแทนของพี่ชายเท่านั้น ตั้งแต่วินาทีที่เขายอมเสียสละเพื่อพี่ชายของเขา เขาหลบในตู้เสื้อผ้าคนเดียว ใช้มือกอดตัวเองไว้แน่น แต่ก็ยังหวาดกลัวและราวกับว่าทั้งโลกนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว ถึงแม้ความรู้สึกในครั้งนี้จะสู้ครั้งก่อนไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่ามันกลับรู้สึกไม่แตกต่างกัน
แต่เมื่อเขาทนรอต่อไปไม่ไหวที่จะโทรไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่รับสาย แล้วกลับปิดเครื่องทันที เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มคิดไปต่างๆนาๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนอี๋นั่วกันแน่ ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับสาย เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว มีเหตุผลอะไรทำไมถึงกดสายทิ้ง?
หรือเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ ไปคบกับผู้ชายคนอื่นและไปหลงรักผู้ชายคนอื่นแล้ว?
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงคิดเรื่องราวถึงนี่ก็กำโทรศัพท์ในมือไว้แน่นแล้วหรี่ตาลง