หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 83 ไม่ต้องยิ้มแล้ว

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับลมหายใจให้มั่นคง บนเบาะหลังรถที่แคบและเล็กนั้น เหลิ่งเซ่าถิงต้องโอบเธอทั้งตัวไว้ในอ้อมกอด เธอถึงจะไม่หล่นลงไปจากเบาะรถ บริเวณรอบๆเธอมีแต่กลิ่นอายของเหลิ่งเซ่าถิงที่วนเวียนอยู่ ร่างกายของเธอทุกพื้นที่ต่างก็มีอุณหภูมิของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วหมดหนทางที่จะโกหกอีกว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในเรื่องแบบนี้ เนื่องจากเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงต่างก็ไม่มีใครพูด บรรยากาศที่เงียบสงบภายในรถทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความอึดอัดเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยพูดเสียงเบา:“คือว่า……”

ยังไม่ทันได้พูดออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ถูกเสียงที่แหบของตัวเองขัด ตอนที่กำลังคิดว่าคอนี่แหบได้ยังไง ทั้งตัวของเจี่ยนอี๋นั่วก็แดงเหมือนกับสีกุ้งแห้งขึ้นมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วลืมไปแล้วว่าเดิมทีเธอจะพูดอะไร อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา:“เมื่อกี้เสียงฉันดังมากใช่หรือเปล่า?”

“ดังนิดหน่อย แต่ยังดีที่ไม่มีใครผ่านมา ไม่งั้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของพรุ่งนี้อาจจะเป็นพวกเรา” เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น แล้วพูดเสียงขรึม:“ต่อไปพวกเราเปลี่ยนสถานที่ที่มันเก็บเสียงได้ดีดีกว่านะ”

“เฮ้อ……” เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดตรงขนาดนี้ อดไม่ได้ที่จะเฮ้อออกมา:“ยังมีครั้งหน้าอีกเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วถามแบบนี้ ก็รีบขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถาม:“คุณไม่คิดงั้นเหรอ? เมื่อกี้มีอะไรที่ไม่พอใจหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า:“ไม่ใช่”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบเบิกตากว้าง ทั้งใบหน้าแดงก่ำ นี่เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย?

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเบาๆออกมา ตอนนี้รอยยิ้มของเขากับอารมณ์เย็นชาก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงจะยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงระดับของรอยยิ้มเขา แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมาแล้ว

มองรอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แล้วหันร่างเอาหน้าที่แดงก่ำซุกไปกับอกของเหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงอู้อี้:“ฉันพูดคำโง่ๆออกมาอีกแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยกมือขึ้นลูบเบาๆที่เส้นผมของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ถึงแม้ว่าจะฟังแล้วดูโง่นิดหน่อย แต่ก็ดีใจที่คุณยอมรับศักยภาพของผม ความจริงคุณก็เก่งมากนะ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ถ้าไม่ใช่คุณ ผมคงไม่เป็นแบบนี้”

“ไอ้หยา คุณไม่ต้องพูดแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง พูดแทรกเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความอาย

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วกอดเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจริงๆ แค่กอดเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมาเบาๆ

“ไม่ต้องยิ้มแล้ว……” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วกระซิบเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“คุณไม่ให้ผมพูด ไม่ให้ผมยิ้ม คงต้องมีอะไรตอบแทนผมหน่อยแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเงยหน้าขึ้น จูบไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง หน้าของเธอแดงก่ำ และห้ามใจไม่ให้เผยยิ้มออกมาไม่ไหว เธอจูบที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย ยิ้มแล้วพูดไปด้วย:“นี่เป็นของตอบแทน”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลง ประคองใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นเบาๆ ค่อยๆเพิ่มความร้อนแรงให้กับจูบนี้ แล้วพูดเสียงแหบพร่า:“นี่ไม่พอ……”

เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วจริงๆ แค่ระยะเวลาสั้นๆ เหลิ่งเซ่าถิงกลับเปลี่ยนจากนักจูบมือใหม่เป็นปรมาจารย์นักจูบ เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงจูบจนจังหวะการหายใจยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว แต่ร่างกายของเธอมันเหนื่อยล้ามากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือขึ้นมาบังริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงก่อนที่เธอจะอดใจไม่ไหวจูบตอบเหลิ่งเซ่าถิงกลับไป แล้วพูดเบาๆ:“อย่าต่อเลยนะ ไม่งั้นพวกเราคงได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งจริงๆ”

“นี่แค่เริ่มต้น” เหลิ่งเซ่าถิงจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ยิ้มแล้วพูดไปด้วย

จังหวะหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วหอบเล็กน้อย เธอผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก:“ไม่เอาแล้ว……ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างอาลัยอาวรณ์ ยิ้มแล้วพูด:“คุณใส่เสื้อผ้าให้ดี ผมจะขับรถพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”

“ไปไหน?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยความอยากรู้

เหลิ่งเซ่าถิงชี้ไปยังเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกขว้างไปที่มุมรถ ยิ้มแล้วพูด:“ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ต้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก หน้าแดงแล้วก้มลงไป เธอหยิบเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ฝั่งนี้ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วใส่เสื้อผ้าเสร็จ พึ่งจะพบว่าเสื้อผ้าของเธอถูกฉีกขาดเยอะมาก กระดุมหลายเม็ดก็หลุดออก มันไม่มีทางที่จะใส่ได้ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วสวมเสื้อผ้าของตัวเอง ยังต้องคลุมเสื้อคลุมของเหลิ่งเซ่าถิงไว้อีก ถึงจะสามารถปกปิดร่างกายของเธอไว้ได้

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงที่นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ เธอบ่นเสียงเบา:“เมื่อวานต่อให้ฉันเป็นคนเริ่มก่อน คงไม่เริ่มจนทำให้เสื้อผ้าของฉันขาดขนาดนี้หรอกมั้ง คุณเริ่มก่อนชัดๆ แต่มาโทษฉันว่าบังคับคุณ”

หูของเหลิ่งเซ่าถิงแดงเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปอีกทาง พูดเสียงขรึม:“อย่าไปอะไรมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนั้นเลย คุณนั่งดีๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้น เตรียมจะปีนมานั่งที่เบาะข้างคนขับ เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วถาม:“คุณจะทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปที่ที่นั่งของเบาะข้างคนขับ:“ฉันจะนั่งเบาะข้างคนขับไง?”

“ไม่ ไปนั่งที่นั่งข้างหลังผม” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงขรึม:“ที่ตรงนั้นปลอดภัยที่สุด”

“ก็ได้” เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ ก็รีบตอบรับ แล้วไปนั่งเบาะที่นั่งข้างหลังเหลิ่งเซ่าถิงอย่างว่าง่าย พร้อมรัดเข็มขัดนิรภัย

ตอนที่รถเริ่มออก เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างรถ มองรถที่ขับออกจากซอยเล็กๆ คนที่อยู่บริเวณรอบๆค่อยๆมากขึ้น ถนนที่เธอเคยคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็มีความรู้สึกที่กลับไปโลกแห่งความจริง เรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง มันเพ้อฝันเกินไป ถึงแม้ว่าเธอจะชอบเหลิ่งเซ่าถิง และรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขา ถึงขนาดเคยวาดฝันในอนาคตถ้าได้คบกับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เธอจะเป็นยังไง

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึง ทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นจริงๆ อีกทั้งเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ในช่วงที่เธอไม่ได้เตรียมป้องกันเลยสักนิด ช่วงที่รับมือไม่ทัน เหลิ่งเซ่าถิงก็คบกับเธอซะแล้ว แถมยังผ่านเรื่องเมื่อคืนมาด้วยกัน บนร่างกายของเธอยังหลงเหลือกลิ่นอายของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ ข้างหูของเธอยังสัมผัสได้ถึงริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง และใจก็ยังเต้นโครมครามเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อยู่เลย

“กำลังคิดอะไรอยู่?” เหลิ่งเซ่าถิงขับรถไปด้วย มองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกมองหลังไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“กำลังคิดว่า ทุกอย่างมันเหมือนความฝัน”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เขาเม้มปาก เขาเคยไม่รู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนความฝันที่ไหนกัน เขาเอียงศีรษะมองมือถือที่วางไว้ข้างๆ เขารู้ว่าความฝันนี้ไม่มีทางที่จะฝันนานเกินไป แค่มีสายโทรศัพท์เข้า ก็สามารถดึงพวกเขากลับมาโลกแห่งความเป็นจริงได้ แต่เขาก็ยังอยากให้ตัวเองหยุดอยู่ในฝันนั้นนานกว่านี้สักหน่อย

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่เป็นบ้านพักทั่วๆไป พอเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วยังเห็นคุณลุงที่ใส่ชุดออกกำลังกายกำลังจูงสุนัขอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมาที่นี่ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้:“ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“ที่นี่ผมมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง เวลาผมอารมณ์ไม่ดีก็จะมานั่งที่นี่สักพัก มองคนอื่นๆใช้ชีวิต ก็จะรู้สึกว่าจิตสงบมาก อารมณ์ก็จะเย็นลง ห้องไม่ได้เป็นชื่อของผมนะ แต่คงไม่มีใครมาตรวจสอบชั่วคราว อีกอย่างที่นี่ปลอดภัยมาก และก็ลับมากเช่นกัน น่าจะไม่มีใครคิดว่าผมจะพักอยู่ที่นี่”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“คงไม่มีใครคิดจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงจอดรถไว้ที่หน้าประตู แล้วหยิบหน้ากากอนามัยส่งให้เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“สวมหน้ากากไว้ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบสวมหน้ากากอนามัย แล้วเดินลงจากรถตามเหลิ่งเซ่าถิงไป พึ่งจะเดินออกจากรถ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าเท้าอ่อนแรง เกือบจะล้มลงบนพื้น ขาของเธอทั้งเมื่อยทั้งอ่อน ไม่มีแรงเลยสักนิด ยังดีที่เหลิ่งเซ่าถิงพุ่งมาข้างๆเธออย่างกะทันหัน แล้วประคองเธอไว้

“เป็นอะไรไป?” เหลิ่งเซ่าถิงก็สวมหน้ากากอนามัยเหมือนกัน แต่สามารถมองเห็นได้ว่าเขาขมวดคิ้ว ถามอย่างเป็นกังวล

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วกระซิบเสียงเบา:“ร่างกายของคุณปกติดี เดินอยู่ข้างหน้าเร็วขนาดนั้น แต่ร่างกายฉันเนี่ยสิไม่ไหว ขาฉันไม่มีแรงเลย……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูด ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา สุดท้ายก็เงยหน้าจ้องเหลิ่งเซ่าถิงอย่างโมโห:“เป็นเพราะคุณเลย!”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมลืมไปเลยว่าคุณไม่ออกกำลังกาย งั้นเพื่อยอมรับผิดกับคุณ ควรจะอุ้มคุณเข้าไปในห้องสินะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วทำท่าจะอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมาจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดงขึ้นทันทีแล้วรีบหลบ:“อะไรของคุณเนี่ย? คนที่โอบกอดกันมันทำให้คนอื่นที่มองมาทำตัวไม่ถูกนะ ฉันเดินเองได้ แต่……”

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมืออกไป ก้มหน้าแล้วพูดเสียงเบา:“คุณต้องจับมือฉันเดิน”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามอง แล้วค่อยๆยิ้มออกมา เขาบังไว้ครึ่งหน้า เผยให้เห็นแค่ตาและคิ้ว เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เห็นตาที่โค้งงอนเล็กน้อยที่เย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิง มองมาทางเธออย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือออกมา ประสานมือกับเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพยักหน้า:“ได้ ผมจับมือคุณเดิน ถ้าคุณจะล้มลง ก็ล้มลงมาที่ตัวผม ผมจะประคองคุณไว้เอง”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นก็พยักหน้า แล้วจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงแน่น เดินเข้าไปในตึก พอเข้าลิฟต์ไป ก็มีคนทยอยเข้ามาเพิ่มหลายคน เหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เบียดให้ชิดๆกัน ถึงจะสามารถเพิ่มที่ว่างให้คนอื่นได้

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท