การที่เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้มันไม่ใช่เพียงเพราะเหอหลวนเล่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองสามารถช่วยเหลือคนอื่นเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง ความรู้สึกที่ไร้ความสามารถและไม่สามารถช่วยเหลือคุณพ่อของตัวเองนั้น มันทำให้เธอทุกข์ทรมานใจมาตลอด และในวันนี้มันเกิดขึ้นกับเหอหลวนเล่อ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไร้ความสามารถก็มลายหายไปหมดสิ้น
ที่แท้เธอก็สามารถช่วยชีวิตคนรอบข้างเธอได้
“เธอร้องไห้……”เหอหลวนเล่อพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
เจี่ยนอี๋นั่วปาดน้ำตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ต่อไปนี้เธอต้องระมัดระวังมากกว่านี้นะ ทางที่ดีควรหาบอดี้การ์ดสักสองสามคนค่อยปกป้องเธอด้วย”
เหอหลวนเล่อขยี้จมูก พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น:“เธอเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้ ในชีวิตของฉันยังไม่เคยมีใครเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้มาก่อนเลย……”
เสียงอันอ่อนโยนของคุณนายเหอแทรกออกมาทันที:“หลวนเล่อ เธอคิดว่าแม่ตัวเองเสียแล้วเหรอ? หรือแม่คนนี้ไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยลูกอย่างนั้นเหรอ?”
เหอหลวนเล่อรีบร้อนเปลี่ยนคำพูด:“นอกจากคุณแม่ของฉันแล้ว เธอเป็นคนที่สองที่ห่วงใยฉันจริงๆนะ แม้แต่คุณพ่อของฉันท่านยังไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้เลยนะ ดูท่าแล้วฉันเลือกคนไม่ผิดที่เลือกเธอมาเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันตัดสินใจแล้ว พี่เซ่าถิงฉันยอมให้เธอแล้ว ยอมให้เธอจริงๆนะ ฉันไม่คิดจะแย่งแล้ว ถึงแม้ว่าฉันยังคงรักเขาอยู่”
คำพูดของเหอหลวนเล่อ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวเบ้ปากและหัวเราะออกมา:“ขอบคุณเธอจริงๆนะ แต่ต่อไปนี้เธอต้องระมัดระวังความปลอดภัยมากกว่านี้นะ”
คุณนายเหอพูดข้างๆหูเหอหลวนเล่อ:“ก็ใช่สิ พูดกับลูกหลายรอบแล้ว ว่าต้องระมัดระวังตัว ลูกนี่ไม่เคยเชื่อฟังเลย ถึงแม้ลูกจะไม่รู้จักป้องกันระมัดระวังอันธพาลพวกนั้น แต่ลูกก็ควรจะระวังพี่สาวคนนั้นของลูกด้วย ใครจะไปรู้ว่าในใจของเธอจะคิดอะไรอยู่ ถ้าหากตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูก แล้วแม่จะทำอย่างไร……”
คุณนายเหอพูดไปน้ำตาก็ไหลออกมา เหอหลวนเล่อรีบปลอบใจพูดขึ้นว่า:“โอ๋ คุณแม่คะไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ ต่อจากนี้ไปหนูจะระมัดระวังตัวนะคะ แบบนี้โอเคหรือยังคะ? หนูสัญญาค่ะว่าจะอยู่ข้างๆคุณแม่อย่างปลอดภัยค่ะ คุณแม่ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะ”
คุณนายเหอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น:“เธอเข้าใจเหตุผลนี้ แปลว่าเธอโตขึ้นแล้วจริงๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตา ฟังคำพูดสนทนาของสองแม่ลูก ก็อดไม่ไหวค่อยๆหัวเราะออกมา ได้ฟังคำพูดสนทนาของคุณนายเหอและเหอหลวนเล่อแล้ว มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วยากที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นแบบนี้อีกแล้ว ดูจากเหตุการณ์การที่เธอช่วยเหลือเหอหลวนเล่อนั้นเธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว มันทำให้แม่คนหนึ่งไม่ต้องเสียลูกไป เธอไม่ต้องเห็นการจากลาของคนคนในครอบครัวแบบนี้อีกแล้ว และนี่เป็นเรื่องที่มีความหมายที่สุด
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ในเมื่อเหอหลวนเล่อไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลรักษาตัวเองดีๆ ถึงแผลจะไม่หนักมากแต่ก็อย่าละเลย ต้องระวังการกิน อย่าให้เป็นแผลเป็นได้ล่ะ”
เหอหลวนเล่อ หัวเราะออกมา “เหอ เหอ “ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้น อี๋นั่ว ที่เธอนัดไปดื่มชาช่วงบ่ายด้วยกัน ยังถือว่านัดอยู่ไหม? ฉันยังไม่เคยไปดื่มชาช่วงบ่ายกับเพื่อนรักเลยสักครั้ง”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ยังนัดอยู่สิ เพียงแค่เธอมีเวลาว่าง พวกเราก็สามารถออกไปเจอกันได้ตลอดเวลา แต่ว่าต้องรอให้แผลของเธอหายดีก่อนนะ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณแม่ของเธอ ท่านจะเป็นห่วงได้”
“อือ อือ ฉันเข้าใจแล้ว” เหอหลวนเล่อหัวเราะแล้วรีบตอบกลับ
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูดว่า“แค่นี้ก่อนนะ” แล้วก็กดวางสาย จากนั้นขับรถไปที่บริษัท เวลานี้เนื่องจากคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วเสีย ภายในบริษัทเกิดความวุ่นวายไปหมด ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเผชิญกับปัญหาภายในบริษัทเลย แต่ว่าบริษัทยังคงต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของพนักงานบริษัทในอนาคตด้วย นึกเสียว่าเป็นความรับผิดชอบที่เธอไม่สามารถปล่อยปะละเลยได้
การปรากฏตัวเจี่ยนอี๋นั่วทำให้ภาวะคับขันของบริษัทกลับมาเป็นปกติ และคิดวางแผนหาโอกาสขายบริษัททิ้ง เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลกำไรอะไรมากมาย เพียงแค่สามารถทำให้พนักงานในบริษัทสามารถทำงานต่อไปได้ พอจัดการเรื่องภายในบริษัทเสร็จ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งฟ้าก็มืดแล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วไปทักทายคุณนายเหลิ่ง แล้วก็เดินกลับห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งทำงานอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ เหลิ่งเซ่าถิงสวมแว่นตาดำ และใจจดใจจ่ออยู่กับการทำงาน และเขาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องมาแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วพิงไปที่ประตู หรี่ตายิ้มแล้วจ้องมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง
ตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง และสามารถยืนยันได้เลยว่าคนในรูปนั้นที่อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อของเธอนั้นไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน เวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมเวลานั้นถึงใจร้อนตัดสินใจคนในรูปนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิงและสงสัยในตัวของเหลิ่งเซ่าถิง
และถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณพ่อของเธอ เธอคงไม่ตัดสินใจผิดง่ายๆแบบนี้
“จ้องมองอะไรอยู่?”เหลิ่งเซ่าถิงถอดแว่นออก ถามกลับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเข้ม
“รู้สึกว่าคุณดูดีมากคะ”เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมเดินไปข้างหน้าเดินจนถึงข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง
เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือไปถอดแว่นของเหลิ่งเซ่าถิงออก ก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดพร้อมใช้สายตาที่มึนงงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ในแววตานั้นมีอารมณ์ที่เซอร์ไพรและมึนงง และเหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าจูบเขา
จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงฝืนยิ้มหน่อยๆ แล้วเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองพรากจากกันนานมาก แล้วมาพบเจอกันใหม่อีกครั้ง
เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ทั้งสองคนพึ่งคิดได้ว่าถึงจะมีมาตการปกป้องอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์ เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบ:“ครั้งนี้เป็นความประมาทของผมเอง”
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นความประมาทของพวกเรา”เจี่ยนอี๋นั่วกอดเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ใช่ความประมาทของเธอแต่เป็นความมาทของเราสองคน ต่อไปนี้ถ้าพวกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ฉันจะไม่สงสัยและจะเลิกลังเลไม่เชื่อในตัวของคุณอีกแล้ว
เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆพยักหน้า และทันใดนั้นก็ออกแรงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น รู้สึกว่าลมหายใจของเขาหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่ใช่เป็นเพราะความรัก แต่เป็นเพราะอารมณ์ที่รู้สึกตื่นเต้น และเหมือนกำลังจะสูญเสีย
เจี่ยนอี๋นั่วโน้มตัวไปอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมหลับตาลง เธอหลับตานอนหลับสบายเป็นพิเศษ เหมือนราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าอารมณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งมีความสุข และเขาก็เก็บซ่อนความรู้สึกเศร้าไว้ใต้ก้นบึงของหัวใจ เขาจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นค่อยๆถอนหายใจเฮือกออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงกอดกันทั้งคืนจนถึงฟ้าสาง เหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกจากเตียงไป เจี่ยนอี๋นั่วถึงค่อยๆลืมตา เอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และไปจูบริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง ใช้แรงจูบ ผ่านไปสักครู่ ก็ปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงจากไป
จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็นอนต่อจนตื่นขึ้นมาเอง หลังจากที่ตื่น สมองของเธอรู้สึกปลอดโปร่งมากๆ เรื่องราวความโกลาหลมากมาย ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วหยิบรูปภาพออกมาจากกระเป๋า หน้าคิ้วขมวด ถ้าหากต้องการรู้ว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังนั้นคือใครแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรเริ่มลงมือวางแผนการได้แล้ว
เจี่ยนอี๋นั่วเอารูปถ่ายเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม จากนั้นก็จัดเก็บกระเป๋าอย่างลวกๆ ทำเหมือนตัวเองวุ่นวายจนไม่ได้นอนทั้งคืน เจี่ยนอี๋นั่วถือกระเป๋าหนังแล้วไปสถานีตำรวจ ติดต่อผ่านคนที่เคยรู้จัก จนเจี่ยนอี๋นั่วหาสถานที่ทำการตรวจสอบจนเจอ เธอนำรูปถ่ายให้พวกเขาช่วยตรวจสอบ รูปถ่ายเป็นของจริงไม่ได้ทำขึ้นมาแต่อย่างใด หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วทราบผลการตรวจ ด้วยท่าทางที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเดินออกจากสถานีตำรวจไป
ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วทายไม่ผิดแล้วล่ะก็ ข่าวที่เธอไปสถานที่ที่ตรวจสอบรูปถ่ายนั้น อีกไม่นานข่าวนี้ก็คงเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและข่าวคงแพร่ไปยันคนที่ต้องการใช้เธอเป็นเครื่องมือแน่นอน คนๆนั้นอาจจะเป็นคนในตระกูลเหลิ่ง คนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วจะมีค่าอะไร?แต่ว่าเมื่ออยู่ในฐานะผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เธอมีมูลค่าแน่นอน
ผู้หญิงคนหนึ่งที่เกลียดชังผู้ชายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเพราะฆ่าคุณพ่อของเธอ และในเวลาเดียวกันเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงรักและเอ็นดูมากๆ
เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับคุณพ่อ และเธอมีแนวโน้มที่แทงเหลิ่งเซ่าถิงจนตายก็อาจเป็นได้ มีคนวางแผนต้องการให้เธอกลายเป็นมีดที่แหลมคม เธอจะฆ่าคนที่ฆ่าพ่อของเธออย่างไม่ลังเล และยังวางแผนแผนการได้แนบเนียนขนาดนี้
อีกนิดเดียวเจี่ยนอี๋นั่วก็ติดกับดักแล้ว ถ้าหากเธอไม่คุ้นเคยพอกับเหลิ่งเซ่าถิงและคุณพ่อของเธอเองแล้วล่ะก็ และถ้าหากไม่มีความเชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงเพียงพอ และไม่ดูรูปถ่ายอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ เธอคงถูกอีกฝ่ายหลอกใช้อย่างแน่นอน
ฝ่ายตรงข้ามวางแผนได้แนบเนียนขนาดนี้ เวลานี้ก็ถึงเวลาที่ต้องจัดการเสียที ขอเพียงแค่มีใครเพียงสักคนที่เดินผ่านมา เดินถึงตรงหน้าเธอ สำหรับคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและต้องการจะล้างแค้นเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ขอแค่มีโอกาสได้ “ล้างแค้นให้คุณพ่อ”ก็พอแล้ว
“อ้าว นี่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ล่ะ?”เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว
เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยุดทันที จากนั้นค่อยๆหันหลังไปมองหน้าชายที่พิงอยู่บนรถเก่าๆคันหนึ่ง การปรากฏตัวของชายคนนั้น เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย และกำลังปรับอารมณ์ของตัวเองอยู่ ท่าทางของเขาดูขี้เล่นขี้อ้อนและขี้อ้อนมีเสน่ห์มาก เขาดูไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์เลยจริงๆ แต่ถ้าเขาเป็นผู้บงการทั้งหมดก็ไม่มีอะไรแปลก แล้วมันจะแปลกตรงไหนกัน
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก ค่อยๆยิ้มออกมา ยิ้มแล้วพูดกับชายคนนั้นว่า:“คุณเหลิ่งเซ่าถิงคะไม่พบกันนานเลยนะคะ”