ชอวอน ในพื่นที่ซึ่งไกลออกไปราวๆ 300 เมตรจากรอยแยก เป็นค่ายชั่วคราวที่ได้ถูกสร้างขึ้น
ไม่เหมือนกับดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวในคราวที่แล้วซึ่งการติดต่อสื่อสารส่วนใหญ่ด้านในเป็นไปไม่ได้แต่ในครั้งนี้พวกเขาสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับภายในรอยแยกได้ทำให้มันเป็นไปได้ที่จะบันทึกวิดีโอฟุตเทจกลับมายังค่ายนี้ทำให้พวกเขาสามารถที่จะตรวจสอบสถานะโดยปัจจุบันของแต่ละทีมและทำการวางกลยุทธ์ตามนั้น
ณ เวลาปัจจุบันในตอนนี้ภายในค่ายนี้นั้นเต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์ที่มากกว่า 50 เครื่อง
แต่ละทีมจากทั้งหมด 12 ทีมจะต้องทำการมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ทั้ง 12 แห่ง
ตำแหน่งที่นั่งภายในค่ายนั้นจะถูกส่งไปยังหน่วยทางการทหารและผู้จัดการกิลด์ต่างๆในขณะเดียวกันคนพวกนี้ก็ได้ตรวจเช็คไปอย่างบางสิ่งที่อยู่ในแท็บเล็ตของพวกเขาอย่างต่อเนื่องด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า
“ปัญหาก็คือพายุนี้…”
พายุขนาดมหึมาที่ความเร็วสุงสุดได้พุ่งขึ้นไปสูงถึง 45 เมตรต่อวินาทีแล้วซึ่งมันมีความรุนแรงมากพอที่จะถอนต้นไม้ที่ยังรากลึกลงไปได้เล็กน้อยเลยหละ
โชคยังดีที่เหล่ายอดมนุษย์นั้นสามารถที่จะรับมือกับเรื่องนี้ได้พอควร…
‘พายุลูกนี้นั้นประกอบไปบางสิ่งที่ระบุไม่ได้คล้ายกับว่าเป็นพลังงานที่แปลกประหลาด’
จากอดีตรองผู้อำนวยการของสมาคมฮันเตอร์เกาหลีและเป็นเลขานุการคนปัจจุบันของกิลด์ ‘โอลี่ลูเมอร์’ พัคซึงโฮ ได้ย่นใบหน้าของเขา
ด้วยขอบเขตที่ครอบคลุมของพลังงานแปลกๆพวกนี้นั้นที่ได้ทำการแทรกแซงอีเทอร์ของเหล่ายอดมนุษย์ในเรื่องของการปล่อยปล่อยและการควบคุมพลัง
เมื่อรวมเข้ากับพายุนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาเสียสมาธิมากขึ้นไปอีก ภายในสภาวะที่เลวร้ายเช่นนี้ถ้าหากว่ามีมอนสเตอร์ได้ปรากฎตัวขึ้นมามันอาจจะนำไปสู่ปัญหาได้
‘ทำไมรอยแยกมักเป็นแบบนี้เสมอเลยนะ…’
สำหรับบางสิ่งบางอย่างเช่นรอยแยกลึกลับที่พวกเขาได้เจอกับมันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มันไม่เคยมีสักครั้งเลยที่จะเป็นเรื่องง่าย
อย่างไรก็ตามมันมันยังมีสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าพายุนี้อีก
ตัวอย่างเช่นรอยแยกที่ได้ปรากฏตัวขึ้นในแอฟริกาใต้เมื่อ 18 ปีก่อนนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมากและเป็นผลให้ไม่สามารถที่จะทำการเคลียร์มันได้สำเร็จ
‘หืม?’
ในขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ เขาได้เห็นเหล่าฮันเตอร์ที่ติดอยู่ท่ามกลางพายุได้ร่วมมือกับรับมือกับพายุลูกนี้
บางกิลด์ที่มีทุนทรัพย์หนาหน่อยก็ใช้ ‘ตัวปล่อยบาเรียอีเทอร์’ ซึ่งเป็นเครื่องจักรล้ำสมัยที่สามารถปลดปล่อยโล่พลังงานทรงครึ่งวงกลมที่มีรัศมี 50 เมตรได้
มันเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากที่ว่ามันสามารถที่จะขับได้เหมือนกับว่าเป็นรถยนตร์เลย…
‘…แต่ว่าสิ่งนี้นั้นมีประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานที่ย่ำแย่เป็นอย่างมากและด้วยของที่แพงเช่นนี้แล้วเจ้าสิ่งนี้มันจะสามารถใช้ในการต่อสู้ได้งั้นเหรอ?’
มองไปทางทีมอีนๆ
ลีอาห์ มิเชล ผู้บัญชาการของทีมที่ 3 และเป็นผู้มีพลังจิตแรงค์ S
ไม่นับเรื่องที่ว่าเธอมีตำแหน่งที่มั่นคงด้วยการที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเท่านั้น เธอยังเป็นลูกศิษย์ของผู้มีพลังจิตแรงค์ SS ‘ชุง’ ตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียงแค่ 20 ปีและได้รับการคาดหวังไว้ว่าจะได้เป็นยอดมนุษย์แรงค์ SS คนที่ 38 อีกด้วย
‘เธอกำลังป้องกันพายุนี้ด้วยการใช้พลังจิตของเธอ ผลลัพธ์ก็ยอดเยี่ยมอยู่นะ…แต่ว่ามันจะทนไปได้นานสักเท่าไหรกันเชี่ยว?’
ไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องกล่าวเพิ่มหากว่ามันเป็น ‘ชุง’ แต่ว่าผู้มีพลังจิตแรงค์ S ที่ได้เพียงแค่ได้เรียนรู้ทักษะมาจากชุงนั้นไม่มีทางที่จะหยุดพายุลูกนี้ได้นานเป็นวันแน่
แต่ต้องขอบคุณลีอาห์ที่ทำให้ทีมของเธอสามารถที่จะดำเนินการต่างๆได้อย่างราบรื่นและกำลังรีบนำทางไปยังหุบเขาให้ได้รวดเร็วที่สุดแต่ว่า…
ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะถึงขีดจำกัดของตัวเองและไม่สามารถที่จะใช้ความสามารถของตัวเธอเองได้ในจังหวะสำคัญของการต่อสู้ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้
มันยังคงเป็นความจริงที่กิลด์อื่นๆเองนั้นก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเช่นกัน
พัคซึงโฮได้ทำการตรวจดูไปที่จอมอนิเตอร์อย่างรวดเร็วในขณะที่ทำลังมองดูวิธีการรับมือของแต่ละทีมเมื่อมีใครสักคนได้แตะไปที่ไหล่ของเขาทำให้เขาได้หันหน้าของตนเองไปมอง
“จางโฮจุน?”
พัคซึงโฮรู้สึกดีใจขึ้นมาเมื่อได้เห็นคนๆนี้
ด้วยเครื่องแบบทางการที่ดูเหมาะสมและดาวหนึ่งดวงบนหมวกเบเร่ต์ซึ่งแสดงถึงตำแหน่งนายพลชั้นพลจัตวาของเขา
จางโฮจุนยิ้มกลับไปที่พัคซึงโฮ
“ซึงโฮไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฉันคิดไม่เคยเลยนะว่าจะได้เจอกับนายที่นี้”
“เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างนะแหละ”
ด้วยการที่พวกเขาได้รวมกันต่อสู้บนสนามรบต่อกรกับเหล่ามอนสเตอร์ตั้งแต่ที่พวกเขายังเป็นเด็ก คนหนึ่งได้เลือกเส้นทางของการเป็นฮันเตอร์ในขณะที่อีกคนได้เลือกเส้นทางของการเป็นทหาร
คนหนึ่งเป็นฮันเตอร์แรงค์ F ก่อนที่จะมาลงหลักปักฐานที่สมาคมฮันเตอร์ในขณะที่อีกคนได้ทะยานขึ้นไปจนถึงตำแหน่งของนายพล
“…ยังไงก็เถอะนาย นายยังไม่ได้รับดาวเพิ่มอีกดวงสินะ?”
มันก็เป็นเวลาสามปีมาแล้วนับตั้งแต่ที่ข่าวลือเช่นนั้นได้แพร่กระจายออกไป
ในตอนนี้ที่ได้เจอเขาอีกครั้งหลังจากเวลาอันยาวนานเช่นนั้นแล้วอะไรบ้างที่ที่ทำให้เขายังคงอยู่ที่นี่กันนะ?
จางโฮจุนได้ตอบกับไปด้วยใบหน้าที่ขมขื่น
“มันเป็นเรื่องราวในอดีตไปแล้วนะ ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้วกลับการทหารคนหนึ่งซึ่งเก่งในเรื่องการเมืองสามารถที่จะกลายมาเป็นนายพลได้นะ”
มันก็ตั้งกว่า 31 ปีมาแล้ว
“มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับในตอนนี้…หากว่าปราศจากพลังที่แท้จริงแล้วหละก็ฉันไม่สามารถที่จะปีนสูงขึ้นไปมากกว่านี้ได้หรอก”
ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตามมันก็นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากพออยู่แล้วที่จางโฮจุนซึ่งเป็นเพียงแค่คนธรรมดาสามารถที่จะได้รับตำแหน่งนายพลหนึ่งดาวมาได้
ทั้งๆที่เหล่านายพลดั้งเดิมคนก่อนๆต่างพากันก้าวลงจากตำแหน่งและเป็นเหล่ายอดมนุษย์ที่ได้ขึ้นมารับตำแหน่งพวกนั้นแทน
เหล่ายอดมนุษย์นั้นได้เข้ามาและทำการครอบครองลำดับขั้นทางการทหารไว้หมดแล้ว
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วมันยังจะมีอะไรที่เลวร้ายไปมากกว่านี้อีกหละ?
“…ฉันเข้าใจแล้วคิดๆดูแล้วฉันเคยก็เคยได้ยินมาด้วยเหมือนกันว่ามีคนที่ปลุกพลังแรงค์ S ได้กลายมาเป็นพันเอกเมื่อไม่นานมานี้ด้วยนิ”
“อ่าหะ มันก็เป็นซะแบบนี้แหละนะ”
มองไปที่การแสดงออกอันขมขื่นของจางโฮจุน พักซึงโฮหน้าแข็งค้างไปเลย
มันไม่ใช่เพียงแค่ข่างลือสินะ
ตัวของพัคซึงโฮเองก็ถูกเตะออกจากสมาคมฮันเตอร์ด้วยการที่ตัวเขาไม่มีพลังพิเศษใดๆเหมือนกัน
หากปราศจากพลังพิเศษแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็จะถูกปฏิบัติเช่นนี้ในโลกใบนี้
‘มันเป็นความจริงซึ่งไม่ว่าใครก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้…’
คิดเช่นนั้นแล้วพัคซึงโฮและจางโฮจุนได้หันหน้าของพวกเขาไปยังจอมอนิเตอร์
แล้วพวกเขาก็ได้เห็นทีมบางทีมซึ่งโดดเด่นออกมาจากทีมอื่น
“หะ?”
มันเป็นทีมที่ 7
ทีมที่มีเรื่องราวต่างๆมากมายวนเวียนอยู่รอบพวกเขาเพราะว่าผู้บัญชาการของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่แรงค์ F
แม้ว่าจะต้องเจอกับพายุที่รุนแรงเช่นนี้แล้วแต่ด้วยเหตุผลที่น่ามหัศจรรย์อะไรก็ตาม ผู้บัญชาการคนนี้ ยูซอดัมกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยที่ปราศจากแรงต้านใดๆราวกับว่าเขาไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
และสมาชิกในทีมของเขา ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่ากับยูซอดัมก็ตามแต่พวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะพบเจอกับมอนสเตอร์เป็นครั้งคราวก็ตามมันก็ยังเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะใช้พลังพิเศษของตนในเมื่อมันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยจากพลังงานที่แปลกประหลาดของพายุลูกนี้
“นั้นอะไรหนะ? ทีมนี้มัน”
“พวกเขาใช้ตัวปล่อยอีเทอร์อะไรกันนะ?”
“ฉันไม่เห็นว่าจะมีเครื่องแบบนั้นเลยนะ…”
“งั้นแสงพวกนั้นมันคืออะไรกันหละ?”
บนพื้นซึ่งได้ล้อมรอบทีมนี้ไว้นั้นมีวงกลมสีขาวที่กำลังเคลื่อนที่ตามพวกเขาไปแต่สองคนนี้ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามันคืออะไร
นอกจากนี้แล้ว
“…แล้วทีมนี้ พวกเขากำลังจะไปที่ไหนกันแน่เนี่ย?”
ไม่เหมือนกันทีมอื่นๆทีมที่ 7 กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แปลกออกไปและพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมเช่นกัน
เหล่าฮันเตอร์แก่ๆซึ่งกำลังมองดูจอมอนิเตอร์อยู่นั้นได้เดาะลิ้นของตนเอง
“เหอะ เชื่อการตัดสินใจของแรงค์ F อย่างนั้นนะเหรอ พวกเขาถึงคราวพินาศแล้วหละ”
“ฉันหละไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเขากำลังทำอะไรอยู่…ฮันเตอร์แรงค์ F ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีจะไปมีความสามารถในการตัดสินใจที่ดีกว่าคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?”
เหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายก็รู้ถึงความจริงที่ว่าฮันเตอร์แรงค์ F คนนี้ได้เอาชีวิตรอดมามากกว่า 10 ปีแล้วเช่นกัน
และพูดตามตรงเลยว่าการวิพากวิจารณ์อย่างโหดร้ายของพวกเขานั้นทำเอาคนอื่นๆถึงกับพูดไม่ออก
แต่ไรก็ตามมันก็แค่เพราะว่าพวกเขาก็แค่ไม่ได้เข้าใจถึงการกระทำของซอดัม
เช่นเดียวกันกับพัคซึงโฮและจางโฮจุนเอง…
‘…มันจะต้องมีเหตุผลอยู่แน่ สำหรับตอนนี้แล้วแต่รอและดูต่อไปจะดีกว่า’
พวกเขาตัดสินใจที่จะหยุดลิ้นของตนเองเอาไว้ก่อน
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
[เหนื่อยยย…]
“ไว้ฉันจะซื้อให้เธอดื่มอีกหลังจากนี้”
[ดีเลย…]
หลังจากที่ได้กลับมาจากเกาะแห่งความฝัน ฉันก็ได้รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถสั่งการเจ้ากระถางดอกไม้ที่ไม่สนใจที่จะฟังฉันนี้ได้แล้ว
แค่ต้องหลอกล่อมันด้วยแอลกอฮอล์
ในอดีตนั้นฉันไม่สนใจเธอเลยในตอนที่เธอขอร้องที่จะดื่มอย่างดื้อรั้นแต่ว่าในท้ายที่สุดฉันก็ได้ยอมจำนนและให้มันกับเธอ
สิ่งพวกนี้มันได้กลายเป็นเหมือนอาหารมื้อสำคัญสำหรับจิตวิญญาณสีเงินนี้ไปแล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์อะไรขวดไหนก็ได้นะ
มันจะต้องเป็นแอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์ราวกับของที่เหล่าแฟรี่ดื่มกันซึ่งนั้นมันก็สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดายด้วยเวทมนตร์
[สกิล ห้องสมุดของแม่มดขาวได้ถูกเปิดใช้งาน]
ในตอนนี้ มีเวทมนตร์มากถึงหกชนิดที่กำลังรอบรอบฉันและทีมอยู่
ม่านกำบังลม,รักษาสมดุล,ช่วงเวลาแห่งสายลม,ลม…และอื่นๆ
แน่นอนว่าฉันไม่ได้เรียนเวทมนตร์เหล่านี้มาหรอก
มันทั้งหมดนี้ได้ถูกร่ายผ่านเจ้ากระถางดอกไม้จากการใช้ห้องสมุดของแม่มดขาว
ห้องสมุดนี้สามารถที่จะค้นหาเวทมนตร์และแทรกแซงเวทมนตร์ได้ และเจ้ากระถางดอกไม้นี้ก็สามารถที่จะใช้เวทมนตร์พวกนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยตัวมันเอง
นี้หมายความว่าฉันไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนเวทมนตร์ทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว
เจ้ากระถางดอกไม้ยังคงอยู่ในช่องเก็บของแต่ว่ามันสามารถที่จะเห็นโลกภายนอกได้ผ่านสายตาของฉันและใช้เวทมนตร์ที่ส่งผลกระทบกับโลกภายนอกได้
แค่ตอนนี้มันก็สามารถที่จะทำแบบนี้ได้แล้วถ้างั้นอะไรจะเกิดขึ้นหละหากว่ามันบานเต็มที่และกลายมาเป็นจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์กัน?
“หัวหน้าทีมครับ…นี้มันอะไรกันครับเนี่ย?”
“มันเป็นบางอย่างที่คล้ายกับพลังพิเศษนะ ไว้ผมจะอธิบายมันทีหลังนะ”
เวทมนตร์ระดับต่ำเหล่านี้นั้นไม่ได้มีพวกเกราะป้องกันรวมอยู่ด้วยดังนั้นพายุนี้ยังคงทำให้พวกเขาหายใจได้อย่างยากลำบาก,บดบังมุมมองของพวกเขา และยังทำให้พวกเขาก้าวเท้าได้อย่างยากลำบาก
มันเพียงแค่ทำให้พวกเขามีแรงเหลือมากเพียงพอที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
ในขณะเดียวกันกับที่ฉันกำลังนำทีมในพายุลูกนี้ราวกับว่ามันใช่เรื่องที่ต้องสนใจและระมัดระวังเหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดทำให้สมาชิกทีมที่เหลือมองมาที่ฉันด้วยความประหลาดใจ
ฉันได้อธิบายให้กับพวกเขาไปหลายครั้งแล้วว่ามันเป็น ‘พลังแฝง’ และไม่ใช่พลังพิเศษแต่ว่ามันยังไม่ได้ถึงเป็นคำอธิบายที่ดีพอดังนั้นมันไม่สามารถที่จะช่วยให้พวกเขาหายสงสัยได้
นอกจากนี้แล้วพายุนี้ก็ยังนับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับฉันเอง
ด้วยผลกระทบจากสกิลของฉันทำให้ฉันสามารถที่จะ ‘ขี่สายลม’ ได้ซึ่งมันก็หมายความว่าฉันสามารถที่จะขี่พายุลูกนี้ได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ดูดกลืนทักษะการร่อนเพื่อที่จะทำให้บินได้ในสายลมเหมือนกับที่บนเกาะแห่งความฝันอันเงียบสงบก็ตามมันก็ยังเป็นโชคดีพอแล้วที่จะได้รับสกิลที่เกี่ยวกับการไหลของสายลมเช่นนี้มา
วิ้ง-งง!!
แตะ!
ฉันยันเบาๆด้วยขาของฉันในขณะที่กระโดดออกจากพื้นและพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ
แล้วทำการโจมตีไปที่คอของยักษ์ที่มีหกตาสี่แขนซึ่งมีความสูงเกินกว่า 8 เมตร กระทืบไปที่คอของมันและกระโดดออกไปยังด้านข้างซึ่งมีค้างคาวสิบแขนรออยู่จากนั้นก็แท่งไปที่หลังของมัน
ในขณะที่ร่างของค้างคาวตัวนี้กำลังตกลงไป ฉันก็ได้กระโดดไปยังหน้าผาด้านข้างและสไลด์ลงมา
มันไม่มีทางที่ค่าสถานของแรงค์ D จะสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้
ที่มันเป็นแบบนี้ได้ต้องยกความดีความชอบให้กับพายุลูกนี้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติเช่นนี้
อีกทั้ง…ยังเป็นเพราะว่าพายุลูกนี้นั้นมัน ‘คงที่’ เป็นอย่างมากอีกด้วย
“น-นี่มันน่าเหลือเชื่อชะมัดเลย”
‘นี่มันยังเป็นความสามารถของแรงค์ F ที่พวกเรารู้จักกันอยู่หรือเนี่ย?’
ฉันสามารถที่จะได้ยินเสียงกระซิบเหล่านั้นจากด้านหลังผ่านสายลม
ด้วยการที่สามารถจะได้ยินเสียงที่ชัดเจนที่อยู่ไกลออกไปในพายุเช่นนี้นั้นถือได้ว่าทักษะนี้เป็นทักษะชั้นยอดมากกว่าที่ฉันได้คิดไว้เสียอีก
“…นอกจากนี้แล้ว พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อหละ?”
ด้วยคำถามของพวกเขานั้นเอง ฉันได้เงยหน้าขึ้น
โดยปกติแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเดินไปตามหุบเขา
พร้อมกับฟังไปที่วิทยุของทีมอื่น นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำกัน
แต่ว่าวิธีแบบนั้นมันใช้เวลานานเกินไปและจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
<พายุแดงนี้เป็นบททดสอบแรกของยักษ์แดง ซึ่งเป็นการทดสอบ ‘สายตาที่หลักแหลม’ และ ‘การประเมิน’>
ซึ่งในตอนนี้นั้นเป็นอีกหลายพันปีให้หลังมาแล้ว พายุลูกนี้นั้นอ่อนแอลงเป็นอย่างมากแต่ในอดีตนั้นมันทรงพลังเป็นอย่างมากจนถึงขนาดที่ว่าแม้แต่เหล่ายักษ์แรกเองก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ยากจะต้านทาน
นี้มันเป็นการทดสอบสายตาที่เฉียบแหลมและการประเมินไม่ว่าใช่การทดสองความแข็งแกร่งและพลังใจแน่ใช่ไหม?
แล้วการที่จะหยุดพายุลูกนี้นั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเงื่อนไขในการผ่านบททดสอบนี้
‘มีรายละเอียดอื่นอีกไหม?’
<ฉันเพียงแค่มีความรู้ของ ‘พล็อต’ เท่านั้นค่ะ>
ฉันไม่สามารถที่จะหารายละเอียดที่แน่นอนกว่านี้ได้
แต่ก็เป็นเพราะว่าสกิลนี้ที่ทำให้ทางเลือกของฉันกว้างขึ้นเล็กน้อย
ในปัจจุบัน ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสำรวจครั้งนี้ได้ปฏิบัติราวกับว่าพายุลูกนี้นั้นเป็นภัยพิบัติ
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้ความจริงที่มันเป็นเพียงแค่บททดสอบ
ความแตกต่างระหว่างรู้กับไม่รู้นั้นช่างมากมายมหาศาล
เพราะว่าภัยพิบัตินั้นไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ในขณที่บททดสอบนั้นสามารถที่จะทำได้
เหล่ายักษ์แดงน่าจะสามารถคาดเดาได้ถึงทางที่จะเอาชนะพายุลูกนี้ได้ผ่านทักษะบางอย่างที่มีเพียงพวกเขาที่มีมัน
แต่ว่าฉันเป็นมนุษย์
ดังนั้นฉันจะต้องใช้พลังของวิทยาศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่ามนุษย์แทน
ปี๊บ! ปี๊บ!
แสงอันเบาบางได้ส่องประกายออกมาจากเครื่องตรวจสอบพลังงาน
ต้นกำเนิดของพายุลูกนี้ซึ่งเหล่ายักษ์แดงต้องผ่านการคิดวิเคราะห์ด้วยหลักการของพวกเขาเพียวๆนั้นได้รับการค้นพบด้วยพลังของวิทยาศาสตร์
“…จริงหรือเนี่ย ผมไม่รู้เลยว่านะครับเนี่ยว่าพายุลูกนี้นั้นมีกลไกการควบคุมอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อพวกเราพบมันเราสามารถที่จะทำลายมันได้ใช่ไหมครับ?”
“ผมก็คิดว่างั้นแหละ”
ด้วยหลักฐานที่ชัดเจนต่อหน้าพวกเขาแม้แต่เหล่าสมาชิกทีมก็ยังรู้สึกว่าแนวคิดนี้มันน่าเชื่อถือ
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
ภายนอกของรอยแยกในค่ายสั่งกายของค่ายชั่วคราวแห่งนี้
“…ทีม 7 หยุดพายุในหุบเขาได้แล้วครับ”
เมื่อพูดจบลงทุกคนในค่ายนี้ตกอยู่ในความเงียบ
ไม่ใช่พายุทั้งหมดที่ได้หยุดลง
มีเพียงแค่พายุในหุบเขาของทีมที่ 7 เท่านั้นที่ได้หยุดลง
แต่ความสำคัญของเรื่องนี้ก็ยังส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพายุนี้จะมีกลไกอยู่ภายใน…”
ทีม 7 ได้ตรงไปยังสถานที่ซึ่งทีมอื่นไม่ได้ไปราวกับว่าพวกเขากำลังหลงทาง
ในตอนแรกทุกคนต่างสงสัยว่าพวกเขากำลังทำบ้าอะไรกันอยู่และรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากทั้งยังมีเหล่าฮันเตอร์ฮันเตอร์เก่าแก่หลายคนในห้องสั่งการที่แม้แต่พ่นถ้อยคำหยาบคายไปยังผู้บัญชาการของทีม 7…
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อผลลัพธ์ได้เปิดเผยตัวมันเองออกมาแล้ว คนเหล่านั้นทั้งหมดหุบปากลง
พัคซึงโฮไม่ได้ชอบพวกคนปากเสียพวกนั้นที่ด่าฮันเตอร์แรงค์ F คนนั้นซึ่งเหมือนกับเขาอยู่แล้วดังนั้นเขาเลยมีความรู้สึกที่สะใจเล็กน้อย
“มันเป็นแค่ปัญหาทั่วไป ค้นหาต้นกำเนิดของพายุและจัดการกับแหล่งพลังงานของมัน…”
ด้วยวิธีการง่ายๆเช่นนี้
ไม่ว่าใครก็สามารถที่จะทำมันได้ด้วยเครื่องมือพื้นฐานทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยแนวความคิดของมันเองทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่นๆ
“โปรดทำการติดต่อไปยังทีมอื่นๆในตอนนี้และกระจายวิธีการที่ทีมที่ 7 ใช้งานออกไปด้วย”
“ได้เลยครับ พวกเรากำลังทำการติดต่อครับ”
เนื่องจากพลังงานซึ่งมีคลื่นความยาวที่เป็นเอกลักษณ์ของรอยแยกลึกลับนี้ทำให้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับทีมอื่นที่จะใช้วิทยุติดต่อสื่อสารกับภายนอก
ดังนั้นมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการใช้ยอดมนุษย์ที่มีความสามารถ ‘เทเลพาที’ ในห้องสั่งการให้ทำการติดต่อกับทั้ง 12 ทีม
“และก็…”
ทุกคนได้มองไปยังจอมอนิเตอร์ของทีม 7 ที่กำลังผ่านหุบเขาไปพร้อมกับฟังเสียงของเหล่ามอนสเตอร์ที่กำลังถูกฆ่า
ผู้บัญชาการยูซอดัม
เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาแรงค์ F ไม่ผิดแน่แต่ว่าด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้
เขากำลังทำการกวาดล้างเหล่ามอนสเตอร์ทุกชนิดด้วยการใช้วิธีซึ่ง ‘แปลกและเป็นเอกลักษณ์’ ของเพลงดาบซึ่งเคยถูกแสดงโดยเซเลสเต้ คอสแตนตีนิในวันก่อน
คนธรรมดาที่ปลุกพลังขึ้นมาได้ยังเหรอ?
นั้นไม่ใช่คำถามที่จะตอบได้ง่ายๆเลย
ทุกคนที่อยู่ที่นี้นั้นถือได้ว่าเป็นคนที่ได้เห็นผู้คนพร้อมกับพลังพิเศษมานับไม่ถ้วนแล้ว
และนี้มันไม่ใช่พลังพิเศษพวกนั้น…
“…มันดูคล้ายกับ ‘วูกง’ ที่ถูกใช้โดยเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติพวกนั้นนะ”
แต่ว่าเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติพวกนั้นไม่เคยที่จะใช้วูกงของพวกเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เพราะว่ามีใคร ‘บางคน’ ที่ได้ตั้งข้อห้ามกับพวกเขาทั้งหมดจากการใช้พลังของตนเอง
นอกจากนี้เหล่าผู้หวนคืนต่างมิติยังอ้างอิงถือเหล่าคนที่ได้หายสาบสูญไปเมื่อ 31 ปีก่อนและได้ย้อนกลับคืนมา
ยูซอดัมไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนั้นใช่ไหมนะ?
ทีม 7 นั้นได้ทำการแซงทีมอื่นไปอย่างง่ายดายเมื่อพายุได้หยุดลง
ในตอนนี้ที่พายุนั้นได้สงบลงแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ขัดขวางเหล่ายอดมนุษย์จากการใช้พลังพิเศษของพวกเขาอีกทำให้เหล่ามอนสเตอร์ทั้งหลายถูกตัดเป็นชิ้นๆด้วยความสิ้นหวัง
ถ้าหากว่าพายุยังคงทำงานอยู่หละก็ สถานการณ์ในตอนนี้คงค่อนข้างที่จะเป็นอันตรายเมื่อมอนสเตอร์ได้ปรากฏตัวออกมาจากทุกทิศทางแต่ว่าเมื่อไม่มีพายุแล้ว มันทำให้เหล่าฮันเตอร์ทุกคนสามารถที่จะแสดงพลังของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่สมกับฐานะของฮันเตอร์มากประสบการณ์
แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่การเคลื่อนที่ไปข้างหน้ายังคงไม่ใช่เรื่องง่าย
มีอยู่จุดหนึ่งที่หุบเขานี้ได้พยายามที่จะขัดขวางเหล่าฮันเตอร์จากการเคลื่อนที่ไปด้านหน้าด้วยหมอกสีแดงและก้อนหินจำนวนมากที่ถูกโปรยลงมา
ในบางครั้ง แขนของโกเลมยักษ์ก็ได้โผล่ขึ้นมาจากพื้นเพื่อพยายามที่จะคว้าตัวพวกเขาไปซึ่งทำให้คนที่ได้เห็นมันนั้นหน้าซีดไปตามกัน
แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ผู้บัญชาการของทีมที่ 7 ก็ยังสามารถที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นการใช้วิธีแบบง่ายๆ มันก็ยังถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมากเมื่อพิจารณาถึงตัวแปรหลายอย่างๆที่มีในสถานการณ์พวกนั้น
อีกทั้งเมื่อทีมที่ 7 นั้นคาดเดาได้ถึงวิธีการจัดการกับดักพวกนั้นได้แล้ว เหล่ายอดมนุษย์สายเทเลพาทีก็ได้ทำการกระจายวิธีการเหล่านั้นไปยังทีมอื่นๆและรับรองว่าทุกคนจะผ่านกับดับนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
อัตราการรอดชีวิตของอีกทั้ง 11 ทีมนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในขณะที่ทีมที่ 7 ได้นำทางไปทีมที่เหลือและทำการคาดเดาวิธีการต่างๆที่ใช้สำหรับก้าวผ่านกับดับที่พวกเขาเผชิญ
ถ้าหากว่ามีทีมอื่นที่ตามทันทีมที่ 7 และพยายามที่จะแซงไปแล้วหละก็ ทางห้องสั่งการจะทำการห้ามปราบพวกเขาโดยการบอกให้พวกเขานั้นรอทีมที่ 7 จะดีกว่า
แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่ด้วยความภาคภูมิใจของพวกเขาแล้วมันไม่ใช่ว่าทุกทีมจะทำตามนี้ทั้งหมด
[อะไรนะ? นี่คุณต้องการที่จะให้ผมรอทีม 7 แก้ปัญหานี้งั้นเหรอ?]
คนที่ได้ถามออกไปคือรยูดงคยุน ฮันเตอร์แรงค์ S และยังเป็นผู้บัญชาการของทีมที่ 6
เสียงที่ดังออกมาจากวิทยุนั้นราวกับว่าเขากำลังหัวร้อน บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าเขากำลังโดนดูถูกความสามารถอยู่
“ใช่แล้วครับ ความสามารถในการตัดสินใจจากผู้บัญชาการของทีม 7 นั้น…”
[นี่คุณกำลังล้อผมเล่นอยู่หรือไงพูดอะไรที่มันเข้าใจได้หน่อยสิ! พวกเราสามารถที่จะรับมือกับมันได้ด้วยตัวพวกเราเองครับ!]
แท็ต
เมื่อตัดสัญญาณวิทยุไปแล้ว ทีมที่ 6 ได้มุ่งหน้าต่อไปในขณะที่ทุกๆคนที่นั่งอยู่ในห้องสั่งการนั้นถอนหายใจออกมา