เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นลั่วหยางเธอก็อดไม่ได้ที่จะจับมือของเจี่ยนซวงไว้แน่น เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วบีบจนเจ็บ รีบเหลือบไปมองเจี่ยนอี๋นั่วทันที จากนั้นก็มองตามแววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองไปที่ลั่วหยาง
ในขณะที่เจี่ยนซวงเห็นลั่วหยาง ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างทันที และเธอก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยเสียงเบา:“คุณแม่คะ คุณแม่คะ พี่ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีมากค่ะ เขาก็คือพี่ชายของซวงซวงใช่ไหมคะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วยังคงมองไปที่ลั่วหยางด้วยความตะลึง เวลาผ่านไปสักครู่เธอก็ได้สติคืนมา และพยักหน้าเล็กน้อยให้เจี่ยนซวง : “เขาน่าจะเป็นพี่ชายของซวงซวง”
เจี่ยนซวงรีบหัวเราะทันที: “ถ้าคุณแม่บอกซวงซวงตั้งแต่แรก ว่าพี่ชายของซวงซวงหน้าตาดีขนาดนี้ ซวงซวงต้องมาพบหน้าพี่ชายเร็วกว่านี้แน่นอนค่ะ”
ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ ก็ยิ้มและวิ่งไปหาลั่วหยาง: “พี่ชายคะ หนูเป็นน้องสาวของพี่ค่ะ หนูชื่อซวงซวง”
เจี่ยนซวงยิ้มและวิ่งไปที่ข้างๆลั่วหยาง ลั่วหยางเหลือบมองเธออย่างเย็นชา เจี่ยนซวงก้าวถอยหลังด้วยความตกใจหันกลับมาและวิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง กอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณแม่คะ พี่ชายน่ากลัวมากค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้าไปหาลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงกังวลเล็กน้อย เธอจับมือของเจี่ยนซวงเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายแค่ไม่คุ้นเคยกับพวกเราจ๊ะ รอคุ้นเคยแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอนจ๊ะ”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เดินไปหาลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่ว พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงรอยยิ้มที่ใจดีที่สุดออกมา: “สวัสดีจ๊ะลั่วหยาง ฉันชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว”
“คุณก็คือคุณแม่ของผมหรือครับ”?”ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่อย่างเย็นชา
เจี่ยนอี๋นั่วตาแดงก่ำขึ้นมาทันทีและพยักหน้า: “คาดไม่ถึงเลยว่าลูกจะโตขนาดนี้แล้ว”
“คุณน่าจะคิดได้” ลั่วหยางยกนิ้วของเขาชี้ไปทางเจี่ยนซวง : “เธอไม่ใช่น้องสาวฝาแฝดของผมหรือครับ? เธอโตขนาดนี้ และผมก็ต้องโตเท่ากับเธอไม่ใช่เหรอครับ ดังนั้น เดิมทีคุณเลือกที่เลี้ยงดูเธอ เป็นเพราะว่าเธอดูโง่มากกว่า เลยเลือกที่จะเลี้ยงดูเธอใช่ไหมครับ ?”
เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าคำพูดของลั่วหยางจะเย็นชาและโหดร้ายขนาดนี้ ทำให้เธออึ้งไปสักพัก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะรู้สึกตัว เจี่ยนซวงก็พุ่งไปหาลั่วหยาง และทับลงไปบนตัวลั่วหยาง และทั้งดึงผมของลั่วหยางไปด้วย อีกทั้งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง :“ซวงซวงไม่ได้เป็นคนโง่เง่า !ไอ้คนไม่มีเหตุผล!”
ลั่วหยางคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนซวงจะกล้าพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายตัวเล็กๆตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาต่อสู้ไม่เก่ง เขาถูกเจี่ยนซวงหยิกอย่างรุนแรงสองสามครั้ง และใบหน้าขาวๆของเขาก็ถูกับพื้นคอนกรีตตรงนั้น จนเกิดเป็นรอยแผลขึ้นมา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคิดว่าฉากการรวมตัวของครอบครัวที่อบอุ่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าและกลายเป็นสนามรบของเด็กสองคนระหว่างเจี่ยนซวงและลั่วหยาง
เจี่ยนอี๋นั่วดึงสติของตัวเองกลับมาได้ก่อน ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มเจี่ยนซวง และตะโกนเสียงดังใส่: “เจี่ยนซวง! นี่หนูกำลังทำอะไรคะ? ทำไมหนูต้องลงมือทำร้ายพี่ชายของหนูด้วยคะ?”
เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเบะปากทันที ร้องไห้แล้วพูดว่า: “คุณแม่คะ เขาบอกว่าหนูโง่! คุณแม่ยังมาดุหนูอีก คุณแม่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ !คุณแม่คิดว่าเขาหน้าตาดี คุณแม่ก็จะไม่เอาซวงซวงแล้วใช่ไหม!”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา: “หนูไม่สามารถลงมือทำร้ายคนอื่นแบบนี้นะคะ!”
“ เขารังแกหนูก่อน !” เจี่ยนซวงร้องไห้สะอื้นออกมาเสียงดัง
เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง แล้วเดินไปที่ข้างกายลั่วหยาง ยังไม่ทันที่เขาจะยืนมือออกไปพยุงลั่วหยาง ลั่วหยางก็ลุกขึ้นด้วยตัวเองเช็ดเลือดบนใบหน้าและพูดอย่างเย็นชาว่า: “คุณเหลิ่งครับ ผมคิดว่าคุณควรส่งผมกลับไปหาคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของผมนะครับ ผมไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสักเถอะ ไม่ต้องมาทะเลาะกันเพื่อแย่งคุณพ่อและคุณแม่ที่นี่” เจี่ยนซวงร้องไห้ไปด้วยพร้อมพูดไปด้วย
ลั่วหยางขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง กัดฟันของเขาและพูดว่า :“ยัยบ้า”
“เธอนั่นแหละที่เป็นคนบ้า คนบ้า คนไม่มีเหตุผล !”เจี่ยนซวงพูดไปด้วย และเอามือออกมาทำท่าเหมือนจะทำร้ายลั่วหยางอีก
เจี่ยนอี๋นั่วรีบขวางให้เจี่ยนซวงหยุดทันที ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจี่ยนซวง!”
เจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วเรียกชื่อเต็มของเธอแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นโกรธจริงๆแล้ว เจี่ยนซวงไม่กล้าที่จะลงมืออีกต่อไป เธอจึงทำได้เพียงแค่พิงอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง และเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ
ลั่วหยางก็ตาแดงก่ำ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้นว่า:“ผมอยากกลับบ้าน ผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับพวกคุณ ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะรวมครอบครัวที่แยกจากกันมานานในตอนนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คาดคิดว่ามันจะยากขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ และเธอก็ไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้หรือไม่
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า :“ไม่เป็นไร มันต้องค่อยๆใช้เวลานะคุณ”
จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับลั่วหยางว่า: “ถ้าหากลูกไม่ต้องการอยู่กับพวกเรา คุณพ่อจะแจ้งให้คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลูกมา แต่ก่อนที่คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลูกจะมา ลูกจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันกับพวกเราก่อน”
ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็ลดสายตาลงโดยไม่พูดไม่จาอีกเลย เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยาง จากนั้นหันไปมองเจี่ยนซวง และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ เขาเป็นพี่ชายของหนู หนูจำเป็นต้องยอมรับเขา หนูไม่มีทางเลือกใดๆ ต่อไปห้ามทำร้ายพี่เขาอีก ถ้าไม่เช่นนั้นหนูจะต้องโดนทำโทษ”
เจี่ยนซวงเฝ้าดูใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงที่พูดกับเธอ และไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมาอีก เธอแตะที่จมูกและไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว แม้ว่าก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วจะเข้มงวดกับเจี่ยนซวง แต่ในก้นบึ้งของหัวใจเจี่ยนซวงรู้ว่าที่การเจี่ยนอี๋นั่วดุเธอ ไม่ได้ต้องการลงโทษเธอจริงๆ ดังนั้นเจี่ยนซวงจึงไม่เคยกลัวเจี่ยนอี๋นั่วเลย แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ เจี่ยนซวงก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ คือคนที่เธอควรเรียกว่า “คุณพ่อ” ไม่ได้พูดล้อเล่นกับเธออย่างแน่นอน
เจี่ยนซวงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก และทำได้เพียงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น เด็กทั้งสองถูกเหลิ่งเซ่าถิงขู่ไว้ และในที่สุดสถานการณ์ก็กลับมาสงบอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างซาบซึ้ง
เมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยกมุมปากขึ้นและหัวเราะออกมาเบา ๆ
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นไปทานอาหารเย็นด้วยกันเถอะ พวกคุณอยากกินอะไรกันคะ?”
ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดอย่างเย็นชา:“ผมทานอาหารมาจากโรงแรมแล้วครับ ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องไปทานข้าวพร้อมกับพวกคุณแล้ว”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินลั่วหยางพูดแบบนี้ เธอก็รีบจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม และพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก: “คุณแม่คะ ซวงซวงอยากทานทุกอย่างเลยค่ะ โดยเฉพาะอาหารที่คุณแม่ทำค่ะ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“หนูเต็มใจที่จะพูดเรื่องโกหกเช่นนี้หรือคะ ถ้างั้นมื้อนี้คุณแม่ทำบะหมี่ให้กินดีไหมคะ”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นหันไปมองลั่วหยาง และถามอย่างระมัดระวัง: “ดีไหมจ๊ะ?”
ลั่วหยางไม่ได้มองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และพูดต่ออย่างเย็นชา:“ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่ใช่หรือครับ ?”
หลังจากที่ลั่วหยางพูดจบ เขาก็หันกลับไปทันที และเดินตรงไปที่ที่รถจอดอยู่ข้างๆ ลั่วหยางเดินไปที่รถ และคนขับที่ยืนอยู่ข้างประตูก็รีบเปิดประตู และปล่อยให้ลั่วหยางขึ้นไปนั่งรออยู่ในรถ
เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ซวงซวง พวกเรานั่งรถไปด้วยกันกับพี่ชายของหนู ดีไหมคะ?”
เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ซึ่งทำหน้ามุ่ยแล้วพูดตามคำพูดของลั่วหยาง และพูดอย่างเย็นชา: “หนูไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ใช่หรือคะ?”
หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ส่ายหัวและเดินไปที่รถ จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปบนรถด้วยตัวเอง และนั่งหลังเบาะของลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาและกุมหน้าผากของเธออย่างเคร่งเครียด: “ดูเหมือนว่ามันจะแย่ลง”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า: “ผมคิดว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้าหากทุกคนอยู่ด้วยกันแล้วไม่พูดคุยกันมันจะแย่กว่านี้และในตอนนี้อย่างน้อยเราก็รู้ว่า พวกเขาดูเหมือนจะไม่ชอบหน้ากันทั้งคู่ การมาของลั่วหยางทำให้ซวงซวงรู้สึกไม่ปลอดภัย และลั่วหยางก็ยังน้อยใจที่คุณเลือกซวงซวงไว้ข้างกายคุณ เขาน้อยใจ ก็เท่ากับว่าเขาแคร์คุณ ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งต้องอยู่ด้วยกัน ค่อยๆปรับเข้าหากัน และยังแยกจากกันไม่ได้”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว: “แต่คุณบอกว่าคุณพ่อและแม่บุญธรรมของลั่วหยางกำลังจะมา……”
“ มาแน่นอน แต่ว่าไม่ใช่มารับเขา แต่มาอยู่กับพวกเรา มันต้องมีกระบวนการของมันเสมอ ในปีสองปีนี้คุณและผมต้องลำบากหน่อยนะ ” เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมากมายขนาดนี้ เธอคิดว่าคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเด็กเลยสักนิด ดูเหมือนว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูออก ความคิดของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเบา ๆ : “ผมได้เรียนรู้วิธีการเป็นคุณพ่อคนหนึ่ง”
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ :“ขอบคุณคุณมากนะคะ ถ้าหากคุณเต็มใจที่จะพยายาม ถ้าอย่างนั้นมันจะง่ายกว่านี้มาก”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและส่ายหัว: “นี่มันเป็นสิ่งที่ผมควรต้องทำอยู่แล้ว คุณไม่ควรที่กล่าวคำขอบคุณกับผม”
เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงสักครู่หนึ่ง เหลิ่งเซ่าถิงถามอย่างประหม่าว่า “ทำไมคุณถึงมองผมแบบนี้?”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ฉันรู้สึกว่าเมื่อได้พบคุณอีกครั้ง คุณดูเหมือนเป็นคนที่ชอบหัวเราะมากขึ้น”
แม้ว่าสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงจะยังไม่ดีนัก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง จะช่วยบรรเทาผิวที่ดูเยือกเย็นบนใบหน้าของเขา และดูเหมือนว่าจะอ่อนโยนลงกว่าเดิม
เหลิ่งเซ่าถิงแสดงสีหน้าอย่างไม่คาดคิดบนใบหน้าของเขา หน้าขมวดคิ้ว: “ผมยิ้มแล้ว?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: “คุณหัวเราะตลอดเวลานี่ ฉันกลัวว่าเด็กทั้งสองจะทะเลาะกันอีกครั้ง ฉันขอตัวขึ้นรถก่อนแล้ว”
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยกมือขึ้นลูบมุมปากของเขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยหัวเราะเลย ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแค่ไหน เขาไม่เคยขยับที่มุมปากและแสดงความดีใจออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อกี้นี้เขาหัวเราะตลอดเลยเหรอ? เขาไม่ได้สังเกตเห็นมันด้วยซ้ำ
เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆวางมือลง ดูเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในรถ เสียงร้องไห้ของเจี่ยนซวงดังขึ้นในรถอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาให้เห็นอีกครั้ง แม้ว่าจะดูเหมือนว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่น่าพอใจ และมีปัญหามากมายที่ต้องเผชิญ แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทุกข์เหมือนเดิมอย่างนั้นอีกแล้ว และดูเหมือนว่าในที่สุดหัวใจของเขาก็สงบลง
เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่รถพร้อมไม้เท้า และได้รับความช่วยเหลือจากคนขับรถมาช่วยพยุงเขาขึ้นไปในรถ ทันทีที่เหลิ่องเซ่าถิงขึ้นมาบนรถ เดิมทีเจี่ยนซวงกำลังจะอ้าปากจะร้องไห้ออกมา ก็ค่อยๆปิดปากและหยุดร้องไห้ และไม่กล้าร้องไห้อีกต่อไป
ลั่วหยางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิง เห็นเจี่ยนอี๋นั่วนั่งข้างๆเจี่ยนซวง เขาก็เลยนั่งข้างๆลั่วหยาง พูดกับคนขับรถด้วยรอยยิ้ม: “ออกรถเถอะ กลับบ้านแล้ว”