เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนซีหนิงปีที่สาม จวนหย่งผิงโหวคึกคักกว่าแต่ก่อนไม่น้อย
เรื่องแรกคือสวีลิ่งอี๋ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครูไท่จื่อ กลายเป็นขุนนางใหญ่ของต้าโจว ต่อมาสวีลิ่งควนที่ดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์วังหลวงมานานเกือบยี่สิบปีเลื่อนตำแหน่เป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร ถึงแม้จะดูแลเรื่องทั่วไปแต่ก็เป็นขุนนางระดับสาม เมื่อถึงเทศกาลโคมไฟ สวีซื่อเซินก็ถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ขุนนางระดับสี่
หน้าประตูจวนสกุลสวีมีรถม้าที่ตกแต่งด้วยม่านสีฟ้าปักลายมังกร ไม่ก็ม่านสีขาวปักลายหัวสิงโตไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย
สวีซื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะเกาหัวตัวเอง “กลางเดือนสองแล้ว เหตุใดคนถึงเยอะขนาดนี้”
เขาสวมชุดคลุมเผาจื่อสีเขียวอมม่วง เนื่องจากเดินทางทั้งวันทั้งคืน เนื้อตัวเลยดูมอมแมม ถึงแม้เนื้อตัวจะเต็มไปด้วยคราบฝุ่น แต่ดวงตาของเขากลับดูสดใส สีหน้าของเขามีความน่าเกรงขาม แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป ยามที่เขาเดินเข้ามา ทุกคนล้วนต้องหันมามอง
“ได้ยินว่าท่านโหว คุณชายห้าและคุณชายน้อยเจ็ดเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่หรือขอรับ” เห็นประตูใหญ่ที่คุ้นเคย ฉังอานก็ยิ้มอย่างมีความสุข “คงจะเป็นผู้คนที่มาแสดงความยินดีขอรับ!”
เขาช่วยสวีซื่อจิ่นลากม้า ถึงแม้พวกเขาสองคนจะแต่งตัวเหมือนกัน รูปร่างสูงและสง่างามเหมือนกัน สีหน้าของสวีซื่อจิ่นดูผ่อนคลายและมั่นใจ แต่ท่าทีของเขากลับดูระมัดระวัง สายตาของทุกคนจึงมองมาที่สวีซื่อจิ่นเป็นคนแรก
ทันใดนั้นก็มีคนเห็นสวีซื่อจิ่น
“คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยหกขอรับ…” ผู้ดูแลที่อยู่หน้าประตูทิ้งบรรดาที่ปรึกษาและผู้ดูแลที่นำเทียบเชิญมาส่งแล้วยิ้มอย่างประจบสอพลออยู่ตรงนั้น จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามา “ไอ๊หยา คุณชายน้อยหกจริงๆ ด้วย!” ผู้ดูแลคนนั้นพูดพร้อมกับโค้งคำนับสวีซื่อจิ่น “คุณชายน้อยหก…” ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ตบปากตัวเองเบาๆ “ดูปากของบ่าวสิขอรับ คารวะท่านปั๋วขอรับ บ่าวพูดไม่เก่ง ตอนนี้เรียกท่านว่าคุณชายน้อยหกไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าอู่จิ้นปั๋วต่างหาก” พูดจบก็โค้งคำนับสวีซื่อจิ่นอีกครั้ง “สุขสันต์วันปีใหม่ขอรับ! ขอให้ท่านมีโชคลาภ เจริญก้าวหน้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ คนเฝ้าประตูที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็พากันวิ่งกรูเข้ามา
“ท่านปั๋ว บ่าวคือโก่งฝู สุขสันต์วันปีใหม่ขอรับ!”
“ท่านปั๋ว บ่าวคือจี๋เฉียง ท่านจำได้หรือไม่ พี่หญิงของบ่าวเป็นสาวใช้ของฮูหยินสี่ สุขสันต์วันปีใหม่ขอรับ!”
เสียงดังเอะอะโวยวาย ราวกับตลาดสดก็ไม่ปาน
สวีซื่อจิ่นหัวเราะ หันไปบอกฉังอาน “ตกรางวัลให้พวกเขา!”
ฉังอานยิ้มแล้วหยิบถุงเงินปักตัวอักษรสมพรปรารถนาที่ใช้มอบรางวัลให้บ่าวรับใช้โดยเฉพาะออกมา เจอหน้าใครก็ตกรางวัลให้พวกเขา
ทันใดนั้นก็มีคนพูดว่า “ไอ๊หยา พี่ฉังอาน บุตรชายผู้ดูแลว่านไม่ใช่หรือ เป็นคนของท่านปั๋ว หากเจอบนท้องถนน เกรงว่าคงจะไจำไม่ได้! “
ฉังอานยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
บรรดาที่ปรึกษาและผู้ดูแลที่มาส่งเทียบเชิญล้วนแต่เป็นคนฉลาด พวกเขาเดินเข้ามา เมื่อบ่าวรับใช้สกุลสวีเริ่มสงบลง พวกเขาก็จัดเสื้อผ้าตัวเองแล้วเดินเข้ามาคำนับสวีซื่อจิ่น
สวีซื่อจิ่นพูดคุยกับพวกเขาอย่างมีมารยาท
มีบ่าวรับใช้ที่ไหวพริบดีรีบวิ่งไปรายงานไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋
ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านไป๋ สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและคนอื่นๆ ก็ออกมาต้อนรับ
“น้องหก!” ใบหน้าของสวีซื่อจุนเต็มไปด้วยความงุนงง “บอกว่าจะกลับมาปลายเดือนสองไม่ใช่หรือ เหตุใดวันที่สิบเดือนหนึ่งก็กลับมาแล้วเล่า”
“รีบเดินทางขอรับ!” สวีซื่อจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม คำนับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็ชี้ไปที่รถม้าเจ็ดแปดคันที่อยู่ข้างหลัง “ข้างในล้วนแต่เป็นสิ่งของที่นำมาให้ทุกคน พี่สี่บอกให้คนมาเก็บเถิด ข้าไปหาท่านแม่กับท่านย่าก่อน!”
“คุณชายน้อยไปกันเถิด!” พ่อบ่านไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเอาใจใส่ “เรื่องที่นี่บ่าวกับฉังอานจัดการเองขอรับ!”
สวีซื่อจิ่นพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับฉังอานว่า “ให้พ่อบ่านไป๋จัดการ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด คนในครอบครัวคงคิดถึงเจ้าอยู่” พูดจบก็เดินไปลานหลังกับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย
“เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอยู่ที่กุ้ยโจวสบายดีหรือไม่” สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วถามเขา “ดูท่าทีของเจ้าแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว!”
“แน่นอนขอรับ” สวีซื่อจิ่นยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านเห็นข้าเป็นคนยอมเสียเปรียบอย่างนั้นหรือ”
เพิ่งจะพูดจบก็มีคนวิ่งเข้ามาสองคน “พี่หก พี่หก…”
พวกเขาคือสวีซื่อเซินกับสวีซื่อเฉิง
“น้องเจ็ด น้องแปด!” สวีซื่อจิ่นเดินเข้าไปโอบไหล่สวีซื่อเซินด้วยท่าทีสนิทสนม “ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะเดินทางไปเหอหนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังอยู่ที่จวน ได้ยินว่าเจ้าถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ ยินดีด้วย!” พูดจบ เขาก็ปล่อยมือแล้วมองสวีซื่อเซินตั้งแต่หัวจรดเท้า หยอกล้อเขา “ไม่เลวๆ ไม่เจอกันแค่ประเดี๋ยวเดียว เจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย” เขายิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ประเดี๋ยวข้าไปเลี้ยงยินดีให้เจ้าที่หอชุนซี” จากนั้นก็มองไปที่สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและสวีซื่อเฉิงที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถึงตอนนั้นทุกคนต้องไปด้วย เราจะดื่มกันให้เต็มที่” เขาพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม มีกลิ่นอายของการเป็นผู้บังคับบัญชา
น้องชายที่ยังต้องให้เขาดูแลเมื่อวันวาน ราวกับกลายเป็นผู้ใหญ่ในทันที ไม่เพียงแต่ทำให้ปีกที่กางออกมาของเขาดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ซ้ำยังราวกับว่าต้องให้เขาเป็นคนดูแลตัวเอง…การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันทำให้สวีซื่อจุนไม่คุ้นชิน เขามองน้องชายตัวเองด้วยสายตาที่สลับซับซ้อน ทันใดนั้นก็เงียบเสียงไป
สวีซื่อเฉิงมองสวีซื่อจิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ
หลังจากพี่หกเข้ามาสอบในเมืองหลวง เขาก็ต้องไปกุ้ยโจวกับพี่หก! พี่หกเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง เขาต้องเป็นเหมือนพี่หกให้ได้
“ยังจะมาดื่มให้เต็มที่อีก!” สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วตำหนิสวีซื่อจิ่น “ระวังท่านแม่รู้แล้วจะโกรธเจ้า!”
สวีซื่อจิ่นหัวเราะ
มีชายอายุราวสี่สิบปีสองคนที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางระดับสี่เดินเข้ามา โค้งคำนับพวกเขา “นี่คือท่านซื่อจื่อกับคุณชายน้อยเจ็ดไม่ใช่หรือ…” พอเหลือบไปเห็นสวีซื่อจิ่นพวกเขาก็ตกใจ จากนั้นก็รีบพูด “ใต้เท้าสวี คิดไม่ถึงว่าจะพบหน้ากันที่นี่ เพิ่งกลับมาจากกุ้ยโจวหรือ” เขารีบแนะนำตัวเอง “ข้ามี่นามว่าโจวจิ่ง รองผู้บัญชาการของค่ายใหญ่ซีซาน เมื่อก่อนเคยเป็นสหายร่วมงานกับใต้เท้าหลิน คนนี้คือสหายของข้า ซุนหมิง ผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครตอนเหนือ”
สวีซื่อจิ่นยิ้มแล้วพยักหน้า
โจวจิ่งรีบเชิญเขาอย่างเป็นมิตร “เชื้อเชิญไม่สู้พบกันโดยบังเอิญ เรามีวาสนากับใต้เท้าเช่นนี้ หากไม่รังเกียจ ข้ากับน้องซุนอยากเลี้ยงต้อนรับท่านที่หอชุนซี โปรดท่านไว้หน้าเราด้วย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เราล้วนแต่เคยเป็นคนขององครักษ์วังหลวง เป็นสหายกับคุณชายห้า ครั้งนี้จึงมาแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่ง!”
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถิด!” สวีซื่อจิ่นตอบกลับอย่างอ้อมค้อม “ข้ามีสอบกลางเดือนสาม ที่ข้ากลับมาก่อนล่วงหน้าก็เพราะอยากมารับใช้ผู้อาวุโสสักสองสามวัน!” ไม่สูญเสียความเป็นมิตรต่อสหายร่วมงาน แล้วยังมีความสง่างามของผู้บังคับบัญชา
“ย่อมได้แน่นอน!” พวกเขาสองคนรีบพูดด้วยความเคารพ แต่ในสายตากลับมีความผิดหวัง
มีคนเดินเข้ามาช้าๆ แล้วยังสวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดง คนที่อยู่ข้างๆ เหมือนจะเป็นสวีลิ่งควน
สวีซื่อจิ่นรู้สึกแปลกใจ
ชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดง อย่างน้อยก็ต้องเป็นขุนนางระดับสาม มีสวีลิ่งควนอยู่ข้างๆ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจแน่นอน หากเจอเขา เกรงว่าคงต้องทักทายกันอีกนาน
เขาอยากไปหาท่านแม่เร็วๆ!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีซื่อจิ่นขยิบตาให้สวีซื่อจุน บอกให้เขาช่วยตัวเองต้อนรับโจวจิ่งกับซุนหมิง จากนั้นก็พูดกับพวกเขาสองคน “ใต้เท้าทั้งสองท่าน ข้าเพิ่งมาถึง ยังไม่ได้ไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ ข้าขอตัวก่อนขอรับ!”
สองคนนั้นเป็นคนฉลาด ไม่รอให้สวีซื่อจุนพูดอะไร เขาก็พูดว่า “ใต้เท้าสวีเชิญเถิด เราก็กำลังจะขอตัวลาพอดี!”
เห็นคนที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดงเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สวีซื่อจิ่นรีบตอบรับ จากนั้นก็ทิ้งพี่ชายกับน้องชายอยู่ตรงนั้น ตัวเองรีบเดินไปที่ลานหลัก
สวีซื่อจุนและคนอื่นๆ ตกใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของสวีลิ่งควน “คนเมื่อครู่ดูเหมือนจิ่นเกอ…”
พี่น้องสองสามคนรีบหันไปตอบ “ขอรับ” ส่วนสวีซื่อจิ่นเข้าไปในประตูฉุนฮวาแล้ว เขารีบเดินเข้าไปจนเกือบจะชนเข้ากับป้าซ่งที่กำลังออกมาสืบข่าว
“ไอ๊หยา!” ป้าซ่งจับตัวสวีซื่อจิ่นด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินกำลังคิดถึงท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ…”
ทางที่ดีต้องรีบไปหาท่านแม่ ประเดี๋ยวจะถูกเรียกเอาได้!
“ข้ารู้แล้ว!” สวีซื่อจิ่นไม่รอให้นางพูดจบ รีบเดินไปทางเรือนหลักทันที
ป้าซ่งยิ้มแล้วเดินตามเขาไป
ถึงแม้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศที่เยี่ยนจิงยังหนาวเย็น ดอกไห่ถังและเถาวัลย์องุ่นก็ยังไม่เบ่งบาน พลอยทำให้ดูว่างเปล่า แต่ในสายตาของสวีซื่อจิ่น เขากลับรู้สึกอบอุ่น
สาวใช้รีบตะโกนขึ้นว่า “คุณชายน้อยหกกลับมาแล้ว” จากนั้นก็ช่วยเปิดม่านให้เขา
สืออีเหนียงรีบเดินออกมาทันที
“จิ่นเกอ!” นางน้ำตาคลอเบ้า
“ท่านแม่!” สวีซื่อจิ่นโอบกอดนาง “ท่านสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี ข้าสบายดี!” สืออีเหนียงกอดบุตรชายตัวเอง
มีเสียงกระแอมเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง
“ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็เข้ามานั่งข้างในเถิด!”
สวีซื่อจิ่นมองออกไปก็เห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่กลับมีความปิติของบิดา
“ท่านพ่อขอรับ!” เขาเดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในห้อง
ท่านพ่อยังคงเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะดีใจแค่ไหน ก็ต้องทำหน้าเคร่งขรึมตลอด
สวีซื่อจิ่นลอบกลอกตาให้มารดา
สืออีเหนียงเบิกตาใส่เขา
เขาเบะปากแล้วเดินเข้าไปข้างในกับบิดา
สองพ่อลูกนั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องปีกทิศตะวันตก สืออีเหนียงชงชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง
“ข้าเองขอรับ!” สวีซื่อจิ่นรีบลุกขึ้นรับถ้วยชามาจากมารดา พลางจับจ้องใบหน้าของนาง ก็เห็นว่านางดูอวบอิ่มและดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่เขาออกไปเสียอีก
เขากำลังจะหยอกล้อมารดา ในห้องก็มีเสียงเด็กทารกร้องราวกับเสียงแมวดังขึ้นมา
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเขินอาย จากนั้นก็พูดเบาๆ “น้องสาวของเจ้า!” จากนั้นนางก็รีบเดินเข้าไปห้องข้างใน
สวีซื่อจิ่นอึ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “น้องสาว?”
เหตุใดถึงไม่เคยมีใครบอกตน
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “อืม” อย่างไม่เป็นตัวเอง
สวีซื่อจิ่นกระโดดขึ้นมาราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง “ท่านพ่อ ท่านรับอนุภรรยาตั้งแต่เมื่อไร!” เขามองบิดาตาโต
สวีลิ่งอี๋พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
สวีซื่อจิ่นพูดขึ้น “ไม่เช่นนั้น ข้าจะมีน้องสาวได้เช่นไรขอรับ”
“พูดจาอะไรเหลวไหล” สืออีเหนียงอุ้มบุตรสาวที่อายุเพียงสี่สิบสองวันออกมา นางพูดอย่างแผ่วเบา “น้องสาวที่มีมารดาคนเดียวกันกับเจ้า!”
ใบหน้าสวีซื่อจิ่นเต็มไปด้วยความตกตะลึง ชี้ไปที่สืออีเหนียง “ท่าน…ท่านคลอดน้องสาวตั้งแต่เมื่อไร ทำไม…ทำไมข้าถึงไม่รู้” ขณะที่พูดก็อดหันไปมองทารกน้อยที่อยู่ในห่อผ้าไหมสีแดงในอ้อมแขนของสืออีเหนียงไม่ได้
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนั้นเจ้ากำลังต่อสู้กับเผ่าตาดมองโกลอยู่ไม่ใช่หรือ” นางอุ้มบุตรสาวให้บุตรชายดู “เจ้ากลับมาพักที่เรือนสองวันก็ไปแล้ว จึงไม่มีโอกาสบอกเจ้าเลย…”
สวีซื่อจิ่นบุ้ยปากด้วยความไม่พอใจ
โอกาสเป็นสิ่งที่คนหาเองได้ ไม่ใช่สิ่งที่สวรรค์ให้มา…แต่จากการที่สืออีเหนียงเข้ามาใกล้ สายตาของเขาได้จ้องมองไปที่ใบหน้าของเด็กทารกในผ้าอ้อมที่กำลังมองเขาด้วยดวงตาดำกลมโต
นางตัวเล็กมาก
คาดว่าใบหน้าคงไม่ใหญ่เท่าฝ่ามือของเขา
ผมสีดำขลับเหมือนท้องฟ้ายามราตรี ริมฝีปากแดงเหมือนผลอิงเถา ผิวขาวละมุน งดงามราวกับหิมะแรกก็ไม่ปาน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมาที่เขา อาจเป็นเพราะพึ่งร้องไห้ไปเมื่อครู่ ยังคงมีคราบน้ำตาอยู่เล็กน้อย ใสสะอาดดั่งน้ำพุที่ผุดจากลำธาร พลอยทำให้ใจคนรู้สึกผ่องใส
นี่ คือน้องสาวของเขา…น้องสาวร่วมท้อง…
สวีซื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปแตะที่แก้มของนาง
แต่หากปลายนิ้วที่หยาบกร้านไปสัมผัสอาจทำให้ผิวบอบบางของนางเป็นรอยเอาได้
เขาดึงมือกลับ
กลัวว่านางจะถูกตัวเองทำให้ได้รับบาดเจ็บ กลัวว่าตัวเองจะทำลายผิวที่เนียนละเอียดของนาง เป็นครั้งแรกที่สวีซื่อจิ่นต้องเผชิญหน้ากับเด็กทารกที่ไม่รู้เรื่องอะไร จึงทำให้รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มกว้าง
สองคนพ่อลูกช่างเหมือนกันเสียจริง!
จนถึงวันนี้สวีลิ่งอี๋ยังคงไม่ค่อยกล้าอุ้มบุตรสาว ราวกับกลัวว่าหากไม่ทันระวังจะทำนางหล่นมือ ไม่เหมือนตอนที่อุ้มจิ่นเกอที่กล้าโยนขึ้นไปกลางอากาศ…
นางยื่นบุตรสาวให้บุตรชาย “เจ้าอยากลองอุ้มดูหรือไม่”
“ไม่เอา ไม่เอาขอรับ!” สวีซื่อจิ่นก้าวถอยหลังไปสองก้าว รู้สึกราวกับว่ามีเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
สวีลิ่งอี๋ที่รู้สึกแบบเดียวกัน รีบพูดช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้บุตรชาย “เอาล่ะ เจ้าพึ่งกลับมา ทั้งเนื้อตัวมีแต่คราบฝุ่น ไปอาบน้ำก่อนเถิด แล้วพวกเราค่อยไปพบท่านย่าของเจ้าด้วยกัน”
สวีซื่อจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหลือบมองน้องสาวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับอย่างนอบน้อม
เกิดเสียงดังขึ้นอยู่ด้านนอก
คนในห้องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เรือนหลักเข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงห้ามรางๆ ว่า “เจ้าเข้าไปไม่ได้”
สืออีเหนียงขมวดคิ้วมุ่น
มีคนเปิดม่านแล้วเดินเข้ามา
“สวีซื่อจิ่น เจ้ารับปากข้าว่าจะพาข้ามาเล่นที่จวนเจ้า แต่เหตุใดเจ้าจึงได้ทิ้งข้าไว้กับผู้ดูแลเหล่านั้น!”
เด็กสาวอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปียืนอยู่ตรงหน้าสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋กับภรรยาตกตะลึง
แม้ว่าเด็กสาวผู้นั้นจะยังเด็ก แต่หน้าตางดงาม ดวงตาสดใส เกล้าผมขึ้นสองข้าง สวมเสื้อกั๊กยาวสีน้ำเงินปักลายดอกท้อ สวมสร้อยคอเขาวัวที่ทำจากเงิน แม้ว่าจะสวยงามมากแต่ดูไม่เรียบร้อย
แต่ทั้งคู่ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขารู้ได้ทันทีว่าสร้อยคอทรงเขาวัวนั้นคือเครื่องประดับของชนเผ่าเหมียว
เด็กสาวผู้นี้เกรงว่าจะเป็นชาวเหมียว
ทั้งสองคนอดมองหน้ากันไม่ได้ จากนั้นก็มองไปที่สวีซื่อจิ่น
สีหน้าสวีซื่อจิ่นดูคาดไม่ถึง แต่กลับมีท่าทางสงบ “อามู่ ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้ารออยู่ข้างนอก พอข้ารายงานท่านพ่อกับท่านแม่แล้วย่อมต้องแนะนำเจ้าอย่างแน่นอน นี่คือเยี่ยนจิงไม่ใช่กุ้ยโจว เจ้าเองก็สัญญากับข้าแล้วว่าเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
เด็กสาวที่สวีซื่อจิ่นเรียกว่าอามู่มีสีหน้ารู้สึกผิดทันที นางก้มหน้าพูดพึมพำว่า “ก็ผู้ดูแลจวนพวกเจ้าบอกว่าข้าเข้าจวนของพวกเจ้าไม่ได้ รออยู่ที่ห้องครัวก็ไม่ได้ จะให้ข้าไปอยู่เรือนอื่นที่เรียกว่าตรอกจินอวี๋…” นางพูดพลางเงยหน้าขึ้น มองไปที่สวีซื่อจิ่นด้วยน้ำตาคลอ “ข้า ข้ากลัว!”
ให้ไปอยู่เรือนของท่านแม่…นี่เป็นความคิดงี่เง่าของใครกัน!
สวีซื่อจิ่นขมวดคิ้ว แววตาเผยให้เห็นความโกรธอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็มีท่าทางเหมือนกลัวว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายกับท่านแม่ว่า “ท่านแม่ นี่คือแม่นางอามู่ บุตรสาวของหัวหน้าเผ่าซาเป่าในซือหนาน ข้าอยู่ที่กุ้ยโจว ได้รับการดูแลจากเผ่าซาเป่ามากมาย เข้าเมืองหลวงครั้งนี้ อามู่เลยงอแงอยากจะมาเที่ยวที่เยี่ยนจิง ข้าจึงพานางมาด้วย… ”
ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงพูดอะไร อามู่ก็รีบเข้าไปคำนับด้วยท่าทางแปลกๆ “อาปั๋ว อาหมู่”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกโกรธเล็กน้อยแต่ยังคงฝืนพยักหน้าให้อามู่ สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสม แต่นึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวผู้นี้ติดตามบุตรชายตัวเองมาไกลหลายพันลี้จนถึงเยี่ยนจิง สวีลิ่งอี๋ก็สีหน้าดูไม่ดี หากตัวเองยังมีท่าทางเย็นชาแข็งกระด้าง จะทำให้ดูเฉยชาเกินไป และดูจากท่าทางของบุตรชายแล้ว ไม่เหมือนคนที่มีความสัมพันธ์เกินเลยกับเด็กสาวผู้นี้…
“เมื่อมาแล้วก็คือแขก!” สืออีเหนียงยิ้มพลางกำชับหู่พั่ว “เจ้าไปทำความสะอาดเรือนที่จิ่นเกอเคยอยู่ให้แม่นางอามู่พักผ่อน”
อามู่ได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มตาหยีจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวทันที พูดกับสืออีเหนียงว่า “อาหมู่ ท่านช่างดีจริงๆ!” จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความกล้าพลางสำรวจดูเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง “นี่คือน้องสาวของใต้เท้าสวีหรือ หน้าตางดงามยิ่งนัก! แต่ว่าไม่เหมือนกับใต้เท้าสวีเลย” นางพูดพลางสังเกตสืออีเหนียงอย่างละเอียด “เหมือนอาหมู่ โตขึ้นจะต้องเป็นหญิงงามอย่างแน่นอน!”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินคนชมบุตรสาวก็อดยิ้มไม่ได้ พูดขึ้นมาว่า “อามู่ก็เป็นหญิงงามเช่นกัน”
“จริงหรือ” อามู่จับหน้าตัวเองด้วยความประหลาดใจและดีใจ “อาหมู่ก็คิดว่าข้าสวยหรือ ท่านพ่อก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ใต้เท้าสวีบอกว่าหน้าตาอย่างข้าหาได้ทั่วไปในบ้านเกิดของเขา” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความแง่งอนเล็กน้อย
สืออีเหนียงอดมองบุตรชายด้วยรอยยิ้มไม่ได้
สวีซื่อจิ่นพลันรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก จ้องอามู่ด้วยสายตาดุเดือด “ท่านแม่ข้าให้เจ้าไปพักผ่อน เจ้าไม่เข้าใจหรือ เหตุใดถึงได้พูดมากแบบนี้!”
อามู่ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ทำหน้าตาล้อเลียนใส่สวีซื่อจิ่น พูดกับสืออีเหนียงว่า “อาหมู่ พอข้าอาบน้ำเสร็จแล้วจะมาช่วยท่านเลี้ยงน้องสาว ข้ามีหลานสาวเจ็ดคน ข้าเลี้ยงเด็กเป็นอยู่แล้ว” จากนั้นก็เดินตามหู่พั่วที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลไป
สวีซื่อจุนรีบเดินเข้ามาทันที “ท่านแม่ อาลักษณ์ลู่มาเยี่ยมท่านอาห้า เมื่อได้ยินว่าน้องหกกลับมาแล้วจึงอยากขอพบน้องหก!”
“ถูกเขารู้เข้าจนได้!” สวีซื่อจิ่นพูดพึมพำเบาๆ พลางคำนับบดามารดา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไปครู่เดียว ประเดี๋ยวกลับมาขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอามู่ ตอบเพียง “อืม” ด้วยใบหน้าเย็นชา
สวีซื่อจุนรีบลากสวีซื่อจิ่นออกไป
“เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้พาหญิงสาวชาวเหมียวกลับมาด้วย” เขาเดินตามสวีซื่อจุนออกมาพลางพูดเสียงเบาว่า “ท่าทางนางดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเจ้า ทำเอาบรรดาผู้ดูแลจะขวางก็ไม่ได้ ไม่ขวางก็ไม่ได้ รีบไปรายงานข้า แต่ก็ยังคงช้าไปหนึ่งก้าว…ท่านพ่อไม่มีทางยอมให้เจ้าแต่งงานกับหญิงสาวชาวเหมียวแน่นอน”
“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับนาง!” สวีซื่อจิ่นท่าทางน้อยใจ “ตอนที่ข้าออกจากกุ้ยโจวมาแล้วจึงได้พบว่าอามู่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าของข้าแล้ว ซ้ำตอนที่นางถูกคนพบเห็นนั้นนางยังไม่ได้ทานอะไรมาห้าวันห้าคืน ร่างกายอ่อนแรง ข้าจะให้คนส่งนางกลับไป นางก็ขู่ข้าว่าจะฆ่าตัวตาย นางเป็นคนฉลาด คนธรรมดาทั่วไปเอานางไม่อยู่หรอก ข้าก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางจริงๆ…หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าจะอธิบายกับบิดาของนางอย่างไร!” ขณะที่พูดเขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก รีบดึงแขนเสื้อสวีซื่อจุน “พี่สี่ ท่านคุ้นเคยกับสกุลใหญ่ในเยี่ยนจิงหรือไม่”
“โดยทั่วไปก็คุ้นเคย!” สวีซื่อจุนมองน้องชาย ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าจะทำอะไร”
“เปล่า ไม่มีอะไรขอรับ!” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “คือว่า…คือว่าตอนที่ข้าเข้าเมืองมา เห็นคนเข้าไปในเมืองเซียงหุย…ฟังจากในรถม้า ได้ยินเสียงที่ไพเราะ…” ปรากฏใบหน้าสีแดงที่ทำให้คนรู้สึกสงสัย “จึงบุกเข้าไปในรถม้าของนาง…”
สวีซื่อจุนตกตะลึง “เจ้า เจ้าคงไม่…”
หลังจากที่พูดออกมา สวีซื่อจิ่นก็รู้สึกโล่งใจเหมือนว่า ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว’ เขายิ้มพลางจับไหล่สวีซื่อจุน “พี่สี่ ตอนนี้ข้าอยู่ในพื้นที่ชนบทที่กุ้ยโจว ไม่เหมือนท่าน เกิดที่เยี่ยนจิง โตที่เยี่ยนจิง คนในเยี่ยนจิงท่านล้วนรู้จักทั้งหมด ท่านช่วยข้าหน่อยเถิด! เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะซื้อโคมไฟจากชาวเหมียวในกุ้ยโจวให้ท่านสักสองสามอัน รับรองว่าไม่เหมือนกับโคมไฟในเยี่ยนจิงแน่นอน!”
เมื่อสวีซื่อจุนได้ยินเรื่องโคมไฟก็ใจเต้น แต่ไม่นานก็แสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมา “ไม่ได้ คำสั่งของท่านพ่อกับท่านแม่ พ่อสื่อแม่สื่อไม่ควรกระทำโดยพลการเช่นนี้”
“ไอ๊หยา ก็ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว” สวีซื่อจิ่นเกลี้ยกล่อมสวีซื่อจุน “ท่านเป็นพี่ชายข้า หากเรื่องแค่นี้ก็ยังไม่ช่วยข้า แล้วจะยังมีใครช่วยข้าอีก อีกอย่างข้าก็ใช่ว่าหมั้นหมายแล้วจะทำการยกเลิกการหมั้นหมาย อีกทั้งคุณหนูสกุลหวังก็ยังไม่มีคู่หมาย”
“คุณหนูสกุลหวัง?” สวีซื่อจุนจับไต๋ของสวีซื่อจิ่น “คุณหนูสกุลหวังไหน หรือว่าเจ้าไปสืบมาชัดเจนนานแล้ว”
สวีซื่อจิ่นหัวเราะเบาๆ “เป็นน้องสาวของหวังอวิ่นสหายรักของท่าน! บุตรสาวคนโตของใต้เท้าหวัง!”
“ไม่ได้!” สวีซื่อจุนส่ายหน้าระรัวราวกับกลองป๋องแป๋งก็ไม่ปาน “ท่านพ่อบอกแล้วว่าจะหาบุตรสาวแม่ทัพให้เจ้า สกุลพวกเขาเป็นขุนนางพลเรือน อีกอย่างใต้เท้าหวังเกิดในพื้นเพที่ต่ำต้อย มีเพียงหนึ่งบุตรชายกับอีกหนึ่งบุตรสาว มีคนในสกุลไม่มาก อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีทางตกลง!”
“ท่านไม่ตกลงหรือ…” สวีซื่อจิ่นกอดอกแล้วพูดช้าๆ ว่า “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงไปที่จวนเองแล้ว!”
“เจ้า เจ้า…” สวีซื่อจุนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ข่มอารมณ์อยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว เป็นขุนนางชั้นสูงระดับสาม ไม่ใช่เซินเกอ เฉิงเกอ ที่เวลาเกิดเรื่องแล้วทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะพวกเขายังเด็กจึงไม่รู้ความ หากเจ้าทำเรื่องขายหน้าขึ้นมา แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ช่วยข้าเถิด!” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “มิเช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าควรจะทำอย่างไร”
เจ้าน้องชายผู้นี้ ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ใจหวังตลอด หากเขาดึงดันขึ้นมา ไม่แน่อาจจะบุกไปเสนอตัวถึงจวนสกุลหวังจริงๆ ก็ได้…สวีซื่อจุนพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ สวีซื่อจิ่นถูกท่านแม่ปล่อยให้ตากลมตากฝนอยู่ข้างนอกสองชั่วยามก็ยังไม่ขอความเมตตา เพียงแค่คิดก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “เจ้าให้ข้าคิดดูก่อน ให้ข้าคิดดูอย่างละเอียดก่อน!” น้ำเสียงอ่อนลงไม่น้อย
แววตาสวีซื่อจิ่นเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์อยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มพลางโอบไหล่สวีซื่อจุน “ได้เลยขอรับ ข้าจะได้แต่งงานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว!”
ทันใดนั้นใบหน้าเคร่งขรึมของบิดาก็ปรากฏขึ้นในหัวของสวีซื่อจุน
เขาอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
ทางด้านสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงกำลังกลุ้มใจเรื่องอามู่
“หากบุตรชายชอบ ข้าก็ชอบ” สืออีเหนียงตบก้นบุตรสาวเบาๆ “แต่อามู่จะเต็มใจจากกุ้ยโจวหรือไม่ จิ่นเกอคงไม่สามารถอยู่กุ้ยโจวได้ตลอดชีวิตหรอกกระมัง” ท่าทางกังวลใจเล็กน้อย
บุตรชายกับบุตรสาวนั้นนิสัยแตกต่างกัน คนหนึ่งดื้อรั้น คนหนึ่งเชื่อฟัง
สวีลิ่งอี๋เอามือไขว้หลังเดินไปมาอยู่ในห้อง “แค่เขาชอบก็พอแล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร เขาอายุยังน้อย จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือชอบ อะไรคือไม่ชอบ เรื่องนี้จะตามใจเขาไม่ได้ จะสู่ขอชาวเหมียวมาเป็นสะใภ้ ข้าไม่เห็นด้วยเด็ดขาด…”
“คนเราเกิดมามีอายุเพียงไม่กี่สิบปี ยากนักที่จะได้พบคนที่ใจตรงกัน หากจิ่นเกอชอบ ข้าย่อมตกลงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงไม่สนใจความโกรธของเขา อุ้มบุตรสาวที่กำลังหลับอยู่เข้าไปในห้องชั้นในอย่างช้าๆ “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าจิ่นเกอจะแต่งกับใครล้วนให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ”
สวีลิ่งอี๋มองแผ่นหลังของภรรยา เงียบไปอยู่พักใหญ่ ในใจคิดหาวิธีที่จะทำให้ภรรยาเปลี่ยนใจ โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้สวีซื่อจุนกำลังเจอกับปัญหาอะไร…