เย่เชียนจิ่วงุนงงออกมา
เธอได้ยินเสียงตัวเองผิดแปลกไปเล็กน้อย “พี่รอง พี่รองพี่…กำลังพูดอะไรอยู่?”
“ฉันว่า”
ฉินหลิงยี่ย่นคิ้วถลึงตาจ้องมองเธอ “เธอคิดว่าการตายของเหลียงเยี่ยนมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆงั้นเหรอ?”
“ปากของผู้หญิงคนนั้นจะแข็งแค่ไหน ฉินโม่หานก็มีวิธีแงะออกมาได้!”
เย่เชียนจิ่วถอยออกไปข้างหลังทันที “งั้นการตายของพี่เหลียง…”
“ฉันเป็นคนทำเอง”
ฉินหลิงยี่กวาดสายตามองเย่เชียนจิ่วไปอย่างเย็นชา “บอกกับพี่ตั้งหลายรอบแล้วว่าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องฉินโม่หานกับซูสือเยว่อีก”
“ที่จริงเมื่อตอนนั้นฉันมีวิธีที่จะทำให้เธอกับฉินโม่หานได้คู่กันแล้ว แต่หลายปีผ่านไป เธอก็ควรจะเข้าใจได้แล้วว่าเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้เลย!”
“สิ่งที่เธอทำไปเมื่อตอนนั้นเธอลืมมันไปหมดแล้ว?”
“เธอเกือบจะฆ่าพวกเขาสามแม่ลูกไปหมด!”
“เธอพูดถึงเฉินเชี่ยนที่ไม่มีอยู่จริงคนนั้นขึ้นมาต่อหน้าซูสือเยว่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่ออยากให้เธอเข้าใจให้ชัดเจน ตัวเธอเป็นเฉินเชี่ยนหรือไง?”
“หรือว่า…”
ฉินหลิงยี่มองไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เธอคิดว่าชีวิตตอนนี้ของฉันมันว่างเกินไป เลยตั้งใจจะหาเรื่องที่มันไม่น่าอภิรมย์มาให้ฉัน?”
เย่เชียนจิ่วกัดริมฝีปาก พร้อมกับก้มหน้าลง “ฉัน…”
“ฉันก็แค่ไม่อาจทนดูซูสือเยว่มันอยู่ข้างๆฉินโม่หานตลอดเวลาได้ และก็ไม่อาจทนเห็นว่าภายในใจของฉินโม่หานมีแต่ซูสือเยว่มาโดยตลอดได้เหมือนกัน…”
ฉินหลิงยี่ยิ้มขมขื่นออกมา “งั้นถ้าฉันไม่อาจทนเห็นว่าภายในใจของเธอมีแต่ฉินโม่หานอยู่ตลอดได้ล่ะ?”
“ฉันควรจะเรียนรู้มาจากเธอโดยการใช้กำลังแย่งชิงมาใช่มั้ย?”
เย่เชียนจิ่วตกตะลึงออกมาทันที
เธอเงยหน้าขึ้นไป ริมฝีปากสีชมพูขยับออกมาเล็กน้อย
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ กว่าเธอจะฝืนกัดฟันพูดออกไป “พี่รอง…พี่แก่กว่าฉันสิบกว่าปีนะ”
“พี่เป็นเพื่อนร่วมรบกับพ่อของฉัน”
“ฉันเห็นพี่เป็น…พี่ชายมาโดยตลอด”
คำพูดของหญิงสาวทำให้ฉินหลิงยี่ได้ยิ้มขมขื่นออกมาโดยไม่รู้ตัว “ก็แค่ล้อเธอเล่นเท่านั้นเอง”
“ฉันสามารถปกป้องเธอครั้งนี้ได้ แต่ไม่มีทางจะปกป้องเธอไปทุกครั้งได้”
“ฉันเคยรับปากพ่อของเธอ จะต้องเป็นที่พึ่งในอนาคตให้กับเธอ แต่ที่พึ่งนี้ มันก็ไม่ได้มีผลไปตลอดเวลาหรอกนะ”
ชายหนุ่มลุกยืนขึ้น หันหลังให้กับเย่เชียนจิ่ว “เธอจะต้องจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง”
พูดจบ เขาก็เปิดประตูเดินออกไป
แสงอาทิตย์ส่องลงมาตรงทางเดินของคฤหาสน์ แสบตาอย่างมาก
ในภวังค์ เขาเหมือนราวกับว่าได้เห็นเชียนจิ่วพ่อของเย่เชียนจิ่ว
เขานอนอยู่บนเตียงด้วยร่างที่เต็มไปด้วยเลือด จับมือของเขาเอาไว้ “หลิงยี่ ฉันรู้ว่านายฐานะทางบ้านดี ตัวนายเองก็หนักแน่นมั่นคง”
“ยังไงฉันมันก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว ภาระหน้าที่ในภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว นายก็โยนมาที่ฉันเอาก็ได้”
“ฉันขอแค่เพียงอย่างเดียว…”
“นายแต่งลูกสาวฉันเข้าบ้านไปได้หรือเปล่า?”
ในเวลานั้น เขาได้ทอดถอนหายใจออกมา “แต่ว่าฉันแก่กว่าเธอเป็นสิบกว่าปี”
“งั้นนายก็ช่วยฉันปกป้องเธอ ดูแลเธอ จนเธอแต่งงานได้หรือเปล่า?”
“ได้ครับ..”
ฉินหลิงยี่หลับตาลง
ตอนนั้นเชียนจิ่วช่วยเขาแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เอง
เขาสามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาได้ ได้รับคุณงามความดี กลายเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลฉิน ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเชียนจิ่ว
เขาไม่อาจขัดต่อคำสัญญาที่มีต่อเขาได้
……
หลังจากที่ฉินหลิงยี่เดินออกไป เย่เชียนจิ่วเหม่อลอยอยู่ภายในห้องตลอดทั้งเช้า
ตอนเที่ยง เธอก็ได้ติดต่อกับหยางชิงโยวไปอีกที ทั้งสองคนนั่งกันอยู่ในร้านกาแฟทบทวนเรื่องเมื่อวานกันอีกครั้ง
พวกเธอทั้งสองคนไม่ว่ายังไงก็นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าเมื่อวานทั้งๆที่ซูสือเยว่เป็นคนที่ไม่มีอะไรดี เป็นคนที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม
แต่เธอกลับพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ทำให้พวกเธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบแทน
ถ้าไม่เพราะฉินหลิงยี่มีการตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว เรื่องเมื่อตอนนั้นวันนี้มันก็เกือบจะเปิดเผยออกมาแล้ว!
เย่เชียนจิ่วยังคงช็อกตกใจ และก็นึกกลัวขึ้นมาเป็นช่วงๆ
“ทำยังไงดี?”
เมื่อก่อนหน้านี้เธอพูดข้อมูลเกี่ยวกับเฉินเชี่ยนออกไปเยอะเกินไป แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่จะเป็นเรื่องที่เธอแต่งมาทั้งนั้น
ถ้าซูสือเยว่กับฉินโม่หานสืบต่อไป…
ในตอนที่เย่เชียนจิ่วกำลังร้อนรนจนเหมือนกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน โทรศัพท์ของหยางชิงโยวก็ได้ดังขึ้นมา
“สวัสดีครับ พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่จากศูนย์นิติเวชวิทยาของเมืองหรง ตัวอย่างเส้นผมสองชุดที่คุณส่งมาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผลการชันสูตรได้ออกมาแล้ว…”
“เดี๋ยวฉันจะไปเอา”
หลังจากที่วางสายไป เย่เชียนจิ่วก็ย่นคิ้วออกมา “เป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร”
หยางชิงโยวยักไหล่ออกมา “จี้หนานเฟิงมีลูกสาวบุญธรรมอยู่คนนึง เธอรู้หรือเปล่า?”
เย่เชียนจิ่วพยักหน้าตอบออกมาเล็กน้อย
ลูกสาวบุญธรรมคนนั้นของจี้หนานเฟิงเมื่อก่อนหน้านี้เธอก็เคยบังเอิญเจอมาแล้วบ้าง
หน้าตา…เหมือนกับซูสือเยว่มาก
เธอรู้สึกไม่ดีมาโดยตลอด
“เด็กคนนี้เป็นเด็กที่จี้หนานเฟิงรับมาเลี้ยงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองหรงเมื่อก่อนหน้านี้”
“อายุของเธอก็ประมาณลูกชายของฉินโม่หานด้วยเหมือนกัน”
หยางชิงโยวลุกยืนขึ้น “บวกกับที่เธอกับซูสือเยว่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น…”
เย่เชียนจิ่วเบิกตากว้างออกมาทันที “ดังนั้นแล้วเธอก็เลยสงสัยว่า…”
“ฉันเดาว่าบางทีเธออาจจะเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ถูกเธอทิ้งไปเมื่อตอนนั้นก็ได้”
“ฉันก็เลยแอบเอาผมของเด็กผู้หญิงคนนั้น กับผมของซูสือเยว่ส่งไปตรวจดูความเข้ากันทางพันธุกรรม”
“เมื่อกี้นี้ผลก็ออกมาแล้ว อยากจะไปดูด้วยกันสักหน่อยมั้ย?”
เย่เชียนจิ่วลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ไป!”
ผลการชันสูตรก็เป็นไปอย่างที่หยางชิงโยวคาดเดาไว้ไม่มีผิด
จี้ซิงกวง ก็คือลูกสาวของซูสือเยว่จริงๆ
“ตอนนี้มันก็น่าสนใจขึ้นมาแล้ว…”
หยางชิงโยวกำหนังสือการชันสูตรชุดนั้นเอาไว้ มุมปากแสยะยิ้มเยือกเย็นออกมา “ลูกสาวบุญธรรมของจี้หนานเฟิง เป็นลูกสาวแท้ๆของซูสือเยว่…”
เย่เชียนจิ่วกัดริมฝีปากออกมา ในหัวมันมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าฉินโม่หานจะไม่แคร์เรื่องที่ว่าซูสือเยว่เคยมีลูกมาก่อนเรื่องนี้แค่ไหน แต่ถ้าเขารู้ว่า…ซูสือเยว่มีลูกสาวกับศัตรูหัวใจของตัวเองล่ะ?
จี้หนานเฟิงถึงแม้ว่าจะประกาศออกสู่สาธารณะไปว่าซิงกวงเป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา
แต่ก็มีหลายสื่อที่คาดเดากันว่าลูกสาวบุญธรรมเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวที่ไม่อยากจะทำลายวิถีคนโสดไปอย่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง
และมันก็มีหลายคนที่เชื่อกันว่าเด็กที่เรียกว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมคนนี้เป็นลูกสาวที่แท้จริงของเขา
ดังนั้นแล้ว…
“เรื่องนี้อย่าเพิ่งหลุดออกไปก่อน”
ในตอนที่เย่เชียนจิ่วเกิดความคิดหลากหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย หยางชิงโยวก็ได้ย่นคิ้วออกมาจางๆ เอาหนังสือการชันสูตรชุดนั้นใส่ในกระเป๋าไป
“พูดออกไปในโอกาสที่ไม่เหมาะสม มันรังแต่จะทำให้พวกเขาพบพิรุธกัน เราต้องค่อยๆวางแผนกันให้ดีๆเสียก่อน”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เย่เชียนจิ่วพยักหน้าตอบรับออกมา ทันทีที่อยากจะพูดอะไรออกไป โทรศัพท์ของหยางชิงโยวก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นสายที่คนทางบ้านเร่งให้เธอไปร่วมงานศพของเหลียงเยี่ยน
เธอถูกบ่นจนเกิดความรำคาญขึ้นมา จึงตรงไปหาแท็กซี่เดินทางไปโดยทันที
เย่เชียนจิ่วลังเลอยู่ในศูนย์ชันสูตรอยู่นาน สุดท้ายแล้วก็ได้เปิดประตูเดินเข้าไป “หนังสือผลการชันสูตรชุดนั้นที่หยางชิงโยวเอาไปเมื่อสักครู่ สามารถเอาชุดสำเนาให้ฉันอีกสักชุดได้มั้ยคะ?”
“ฉันรู้ว่าพวกคุณที่นี่จะต้องมีการสำรองข้อมูลเอาไว้แน่ๆ”
“เท่าไหร่ฉันก็จ่าย”
……
ตอนที่ฉินโม่หานรับสายของเย่เชียนจิ่ว ทั้งครอบครัวก็กำลังกินมื้อเย็นกันอยู่
ซิงหยุนกับซิงเฉินเด็กน้อยทั้งสองคนกำลังคีบอาหารใส่ชามของซูสือเยว่กันไปอย่างไม่หยุดหย่อน
“หม่ามี๊ หม่ามี๊กินอันนี้!”
“หม่ามี๊ หม่ามี๊ลองอันนี้!”
เผชิญกับเด็กน้อยทั้งสองคนที่กระตือรือร้นกันออกมา ซูสือเยว่ทำได้เพียงต้องเงยหน้าขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากฉินโม่หานไปอย่างจนใจ
ชายหนุ่มยิ้มออกมาจางๆ ทันทีที่คิดจะพูดอะไรออกไป โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา
เป็นเบอร์ของทางบ้านใหญ่
เขาย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย แล้วกดรับไป
“พี่สาม ฉันเอง เชียนจิ่ว”
“พี่อย่าเพิ่งวางนะ”
เย่เชียนจิ่วที่อยู่ทางปลายสายสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันมีเรื่องที่สำคัญมากจะบอกพี่”
“เกี่ยวกับ…เกี่ยวกับเรื่องลูกสาวของซูสือเยว่”