ตอนที่ฉินโม่หานกับซูสือเยว่ออกมาจากห้องผู้ป่วยนั้น ด้านนอกนั้นก็ไร้เงาของผู้ดูแลบ้านเสิ่น
ผู้คุ้มกันยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสายตาที่เย็นชา “ผู้ดูแลบ้านเสิ่นบอกว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ ก็เลยไปสนามบินแล้วครับ”
เขามองซูสือเยว่อย่าดูถูก “ก่อนผู้ดูแลบ้านเสิ่นจะไปนั้นได้ให้ฝากบอกว่า ว่าถ้าเกิดว่าคุณหนูไม่อยากจะกลับตระกูลเจี่ยนกับพวกเราล่ะก็ ก็อยู่กับคุณฉินต่อไปก็ได้ครับ”
“คุณไม่อยากจะแยกจากลูกทั้งสามคนของคุณ เขาเองก็เข้าใจ”
พอพูดจบ ผู้คุ้มกันก็เดินออกไป
ซูสือเยว่ยื่นอึ้งอยู่กับที่ แล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นคนนี้ ตอนที่เธออยู่ที่ตระกูลเจี่ยนนั้น เขาทำทุกวิถีทางเพื่อหาคนมาเฝ้าเธอ ไม่อนุญาตให้เธอหนีออกไปได้
หลังจากนั้นพอเธอถูกฉินโม่หานพาตัวมา เขาก็รีบตามมาเพื่อต้องการให้เธอกลับไปที่ตระกูลเจี่ยน
แล้วทำไมแค่เธอเข้าไปเยี่ยมหลิวหรูเยียน ใช้เวลาก็ไม่นานเท่าไหร่นัก นิสัยเขาถึงเปลี่ยนไปได้ล่ะ?
ไม่ใช่แค่ไม่สนใจเรื่องที่เธอไม่กลับบ้าน แถมผู้คุ้มกันด้านนอกก็ไปหมดแล้ว เหลือแค่ผู้คุ้มกันคนเดียวที่เอาไว้ให้รายงานเรื่องนี้กับพวกเขาเนี่ยนะ?
“ไปกันเถอะ”
เสียงที่อบอุ่นของฉินโม่หานดังขึ้นด้านหลังของเธอ
ชายหนุ่มโอบเธอไว้ พร้อมกับยิ้มและเดินไปด้านหน้า “หายากนะกว่าผู้ดูแลบ้านเสิ่นจะหาจิตสำนึกเจอ แล้วก็ปล่อยให้เธอกับฉันได้อยู่ด้วยกันดีๆ ”
พอพูดจบ เขาก็คลี่ยิ้มออก “ตอนเย็นอยากกินอะไร? ”
ความคิดของซูสือเยว่ถูกดึงกลับมาด้วยคำพูดของเขา
เธอเม้มปาก “อยากกินปลา”
ฉินโม่หานชะงักไป
“โอเค”
เขายังจำได้ว่า ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ นั้น เธอถามผู้ดูแลบ้านว่าเขาชอบกินอะไร
ผู้ดูแลบ้านก็บอกเธอว่าเขาชอบกินปลา
ถึงแม้ว่าเธอจะถูกโจมตีในกองถ่าย และได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าเธอก็จะไปตลาดเพื่อซื้อปลามาให้เขากิน
แต่ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรเขายังไม่เคยถามเลยว่า เธอชอบกินอะไร
พอคิดได้แบบนี้แล้ว เขาก็ค่อยๆ พูดออกมา “ที่แท้แล้วเธอชอบกินปลาเหรอ? ”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แล้วก็พยายามคิดอย่างละเอียด “เมื่อก่อนฉันก็น่าจะไม่ได้ชอบกินเท่าไหร่นะ”
“แต่ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาชอบตอนไหน”
“พอนายถามว่าฉันชอบกินอะไร สิ่งเดียวที่ขึ้นมาในหัวของฉันก็คือปลา”
พอพูดจบ เธอก็ยักไหล่ “บางทีอาจจะชอบตอนที่ฉันสูญเสียความทรงจำไปก็ได้”
ฉินโม่หานโอบแขนของเธอไว้ และก็ชะงักไปเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะเบาๆ “น่าจะใช่”
“พอเธอได้ความทรงจำกลับมาเมื่อไหร่ก็จำได้เองแหละ”
หลังจากทั้งสองคนออกจากโรงพยาบาลแล้วนั้น ฉินโม่หานก็ให้ไป๋ลั่วขับรถไปตลาดของสด
เขาเลือกปลาไม่เป็น
ซูสือเยว่หัวเราะเยาะเขา แล้วก็เลือกซื้อปลาไปอย่างตั้งใจ
ฉินโม่หานยืนอยู่ข้างๆ เธอ พร้อมกับมองดูท่าทางที่จริงจังของเธอ แล้วเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“สือเยว่”
“เธอ……ความจำเสื่อมจริงๆ เหรอ? ”
ตอนที่เขาได้พบเธออีกครั้งนั้น นิสัยของเธอช่างไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เลย
แต่ว่าพอได้อยู่ด้วยกันวันหนึ่ง เขากลับพบว่า……
เธอในตอนนี้กับเธอในเมื่อก่อนนั้น ยิ่งเหมือนกันขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทางของเธอในตอนนี้ ถ้าบอกว่าเธอไม่ได้ความจำเสื่อม นิสัยไม่ได้เปลี่ยนไป เขาก็เชื่ออย่างหมดใจ
“แน่นอนสิ ไม่งั้นฉันจะเสแสร้งให้นายดูรึไงกัน? ”
ซูสือเยว่เลือกปลาส่งให้เจ้าของร้านจัดการให้พร้อมกับกลอกตาใส่เขา “คุณผู้ชาย ฉันไม่ได้มีอารมณ์สนุกสนานอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
ฉินโม่หานมองเธอแล้วก็ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
พอออกมาจากตลาดสด หญิงสาวก็พิงเบาะหลังอย่างเหนื่อยล้า หลับตาลงแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย นายแค่ถามว่าฉันยินยอมจะช่วยตระกูลเจี่ยนรึเปล่า”
“แต่ว่านายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่า นายกะจะช่วยตระกูลเจี่ยนยังไง? ”
ฉินโม่หานหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ แล้วก็พูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “รู้ไหมว่าศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเจี่ยนคือใคร? ”
ซูสือเยว่เบะปาก “LYกรุ๊ปไง ผู้ดูแลบ้านเสิ่นพูดกรอกหูจนฉันเอียนไปหมดแล้ว”
“เขาบอกว่าLYกรุ๊ปพยายามโจมตีตระกูลเจี่ยน”
“เมื่อหกปีก่อนหลังจากที่บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้น ก็เป็นคู่แข่งกับตระกูลเจี่ยนมาโดยตลอด แม้แต่ยอมสูญเสียทางฝั่งของตัวเองได้เหมือนกัน”
“ฉันยังเคยถามผู้ดูแลบ้านเสิ่นอยู่เลย ว่าLYกรุ๊ปเป็นของศัตรูพ่อกับแม่ฉันในเมื่อก่อนรึเปล่า แต่ว่าผู้ดูแลบ้านเสิ่นบอกว่าไม่ใช่”
“ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่ของฉันจะเคยทำเรื่องที่ไร้คุณธรรม แต่ว่าอีกฝ่ายก็มีชื่อมีนามสกุล มีร่องรอยให้ติดตามได้”
“แต่ว่าเจ้าของของLYกรุ๊ปนั้น ได้ยินมาว่าลึกลับมาก ที่อยู่นั้นไม่แน่ชัด”
“เบาะแสเดียว เหมือนกับว่าเจ้าของคนนี้น่าจะเป็นทหารผ่านศึกมั้ง? ”
ฉินโม่หานคลี่ยิ้มจางๆ “ฉันรู้จักคนคนหนึ่ง เขาก็เป็นทหารผ่านศึกเหมือนกัน”
“ชื่อย่อของเขา คือLY”
ที่จริงแล้ว เกี่ยวกับLYกรุ๊ปของฉินหลิงยี่นั้น ฉินโม่หานรู้ตั้งนานแล้ว
LYกรุ๊ปกับชวงซิงกรุ๊ปก็กำลังเจรจาเรื่องธุรกิจอยู่ในยุโรปเหมือนกัน ความเป็นศัตรูหรือความสนิสนมในวงการการค้านั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องมีอยู่แล้ว
ตั้งแต่ครั้งแรกที่LYกรุ๊ปแย่งกิจการของตระกูลเจี่ยนครั้งแรกนั้น ฉินโม่หานก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของบริษัทนี้ แล้วก็ได้รู้ชื่อของเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังด้วย
ดังนั้นหลายปีมานี้ เขาก็เลยให้ชวงซิงกรุ๊ปในต่างประเทศถ้าต้องเจอกับLYกรุ๊ปนั้น หลีกได้ก็หลีก หลบได้ก็หลบ
เพราะว่าตอนนั้นฉินโม่หานคิดว่า พี่รองก็คงเหมือนกับเขา แค่ชอบการทำธุรกิจแค่นั้นเอง
จงใจแข่งขันทางด้านธุรกิจของตระกูลอันดับสองของยุโรป ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีการแข่งขันที่สมเหตุสมผล เขาไม่อยากเปิดเผยตัวเอง แล้วก็ไม่อยากยุ่งด้วย
และเพราะว่าการที่ชวงซิงกรุ๊ปปล่อยLYกรุ๊ปไป เลยทำให้ในเวลาสั้นๆ ห้าปีนี้ LYกรุ๊ปได้พัฒนากลายมาเป็นบริษัททางด้านการเงินอันดับสองรองจากชวงซิงกรุ๊ป
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แล้วก็หันไปมองฉินโม่หาน “นายหมายความว่ายังไง? ”
“นายรู้จักเจ้าของของLYกรุ๊ปเหรอ? ”
“ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
เรื่องของเย่เชียนจิ่วในครั้งนี้ ในที่สุดฉินโม่หานก็เข้าใจ……
ฉินหลิงยี่ที่เดิมทีที่โอ๋เขามาตั้งแต่เด็กจนโต และมอบความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวจากตระกูลฉินให้กับเขานั้น ที่จริงแล้วก็เหมือนกับพี่ใหญ่นั่นแหละ ไม่ชอบเขา ดูถูกเขา
พี่ใหญ่ฉินเจี้ยนอานไม่ชอบเขา มันเขียนอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน
แต่ว่าพี่รองฉินหลิงยี่ กลับเผยให้เห็นท่าทางเหมือนคนดีเสมอ
ที่จริงแล้วเจตนาร้ายที่เห็นได้ชัดของฉินเจี้ยนอาน ยังดูจริงใจกว่าความจอมปลอมของฉินหลิงยี่เยอะเลย
ฉินโม่หานหลับตาลง
สิ่งที่เย่เชียนจิ่วทำกับซูสือเยว่ทั้งหมดนั้น ก็เพราะว่ามีฉินหลิงยี่คอยให้ท้าย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่เย่เชียนจิ่วทำให้ซูสือเยว่ต้องได้รับบาดเจ็บนั้น ต้องมีฉินหลิงยี่เกี่ยวข้องด้วย
เมื่อก่อนเขาก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าตอนนี้……
ในเมื่อซูสือเยว่คือลูกของตระกูลเจี่ยน แล้วเธอก็ต้องการช่วยให้ตระกูลเจี่ยนเอาชนะความยากลำบากนี้
เขาก็ไม่ได้จำเป็นต้องไว้หน้าฉินหลิงยี่อีกแล้ว
ตอนที่เขากำลังรู้สึกทอดถอนใจอยู่นั้น โทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
ฉินหนานเซิงโทรมา
“อาเล็ก”
น้ำเสียงของฉินหนานเซิงที่อยู่ปลายสายนั้นร้อนรนมาก “อารองหาที่ที่ขังเย่เชียนจิ่วไว้เจอแล้ว แถมยังยัดเงินให้พ่อกับแม่ผมอีก ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังพาคนมาวุ่นวายที่นี่ จะให้ปล่อยเย่เชียนจิ่วออกไป”
“ทำยังไงดี ผมจะยื้อไม่ไหวแล้ว!”
คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันอย่างรุนแรง
สถานที่ที่ขังเย่เชียนจิ่วไว้นั้นปกปิดอย่างแน่นหนามาก
แต่ยังไงฉินหลิงยี่ก็เคยเป็นทหารมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ห่างไกลความเจริญแค่ไหนก็หาเจอ
“พวกเขาพาคนมาเท่าไหร่?”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้ว “หลายสิบคนเลย”
“ทำยังไงดี?”
“อย่าพึ่งตื่นตระหนก”
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะส่งกำลังเสริมไปให้”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้ว “อาเล็ก อาพาคนของอาไปตามหาสือเยว่หมดแล้ว แล้วจะไปหากำลังเสริมมาจากไหนกันเล่า? ”
“คนรู้จักของผมอาก็รู้จัก ส่วนใหญ่ก็เอาแต่ฟังพ่อของผม มีเพียงไม่กี่คนที่หรอกที่จะคอยปกป้องผมน่ะ…”
“วางใจเถอะ”
พอพูดสองคำนี้เสร็จ ชายหนุ่มก็ตัดสาย แล้วก็โทรออกหาซิงกวง
“ช่วยอะไรแด๊ดดี้หน่อยสิ””