“อาเล็ก”
หลังจากที่ฉินโม่หานและซูสือเยว่กลับมาถึงวิลล่า เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินหนานเซิง ทันทีที่เข้าประตูบ้าน
“คุณอารองโดนคนของจี้หนานเฟิงลักพาตัวไปแล้ว”
ฉินหนานเซิงถอนหายใจ “อาเล็กอาไปโน้มน้าวศัตรูตัวเองยังไงให้เขามาช่วยอาได้เนี่ย?”
ชายหนุ่มเกี่ยวยิ้มขึ้นเบาๆ หันหน้ามองไปยังเด็กหญิงที่ถือกระดานวาดรูปและกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนพรหมข้างๆโซฟา “ฝีมือของซิงกวางหน่ะ”
ฉินหนานเซิงชะงัก “จริงด้วย เมื่อกี้จี้หนานเฟิงให้ผมมาปรึกษากับอาว่า เขาจะพาเย่เชียนจิ่วกลับตระกูลจี้”
“เขาบอกว่าเขามีธุระนิดหน่อยเลยต้องกลับยุโรป กลัวว่าถ้าเย่เชียนจิ่วผมจะคุมไม่ไหว”
“เขาบอกอีกว่า……”
ฉินหนานเซิงเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆพูดออกมา “เขาบอกอีกว่า ให้อาไปหาตระกูลจี้ที่ยุโรป กลับไปยังต้นตระกูลเดิม”
มือของฉินโม่หานที่ถือโทรศัพท์ไว้กระตุก
“กลับต้นตระกูล?”
“ใช่”
ฉินหนานเซิงที่อยู่ปลายสายถอนหายใจออกมา “วันนี้คุณอารองกับปู่ทะเลาะกัน แล้วเขาดันเผลอพูดความจริงบางอย่างออกมา…… ”
“เขาบอกว่าเขากับพ่อผมได้เอาDNAของอาไปตรวจเมื่อนานมาแล้ว อาไม่ใช่ลูกแท้ๆของปู่”
“จี้หนานเฟิงอยู่ด้วยพอดี ปู่เลยคุยกับจี้หนานเฟิงเป็นการส่วนตัวต่อ”
“จากนั้นจี้หนานเฟิงก็บอกผมว่า ให้อากลับไปต้นตระกูล……”
ฉินโม่หานหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร
ฉินหนานเซิงก็รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรคุยกันผ่านโทรศัพท์ แต่ก็พูดมาขนาดนี้แล้ว เขาเลยต้องดึงดันที่จะคุยต่อ “อาเล็ก……อารู้มานานแล้วใช่ไหมว่าตัวเองไม่ใช่คนของตระกูลฉิน?”
ตั้งแต่เด็กฉินโม่หานก็สอนฉินหนานเซิงว่าให้บริหารธุรกิจให้ดี
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะเห็นด้วย และเขาก็ตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก แต่เขากลัวว่าถ้าวันหนึ่งเขาเก่งมากพอ ฉินโม่หานก็จะส่งมอบภาระอันหนักอึ้งของตระกูลฉินให้กับเขา
เขาเลยลอยนวลอยู่ในวงการบันเทิง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ฉินโม่หานรู้เห็นเป็นใจ กับการกระทำพวกนี้ของเขามาโดยตลอด เขามักจะพูดว่า ฉินหนานเซิงจะเที่ยวเล่นไปวันๆ ฉินซื่อกรุ๊ปในอนาคต ก็ยังคงต้องให้เขาเป็นคนรับช่วงบริหารต่ออยู่ดี
เมื่อก่อนฉินหนานเซิงไม่เข้าใจว่าทำไม ได้แต่รู้สึกว่าฉินโม่หานอยากสบายเป็นอิสระ
จนกระทั่งตอนนี้……
“เปล่า”
ฉินโม่หานปฏิเสธสิ่งที่เขาพูดอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มถือโทรศัพท์เอาไว้ แล้วค่อยๆยกขาก้าวขึ้นบันได “ฉันไม่เคยสงสัย ว่าตัวเองเป็นคนตระกูลฉินหรือเปล่า”
ฉินหนานเซิงฝั่งปลายสายถึงกับอึ้ง
“แต่……”
การกระทำก่อนหน้านี้ของฉินโม่หาน เขาเหมือนรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนนอก และเขาก็กำลังฝึกอบรมให้ผู้สืบทอดคนต่อไปอยู่!
“มีแต่พวกที่ขาดความอบอุ่น ขาดความรักจากพ่อแม่เท่านั้นแหละ ที่จะสงสัยว่าตัวเองเป็นลูกของพ่อแม่จริงหรือเปล่า”
“ส่วนปู่ของนาย ดีกับฉันมาก”
ฉินหนานเซิงนิ่งจนไร้เสียงตอบรับ
เสียงนิ่งๆของชายหนุ่มทางต้นสายพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ ที่ฉันฝึกอบรมนาย……ก็เพราะฉันแค่รู้สึกว่า ฉินซื่อกรุ๊ปอยู่มานานมากแล้ว ธุรกิจกับตลาดที่ต้องการมีจำกัด เลยขยายได้ไม่มาก”
“สำหรับเด็กขี้เกียจอย่างนายแล้ว เป็นที่ที่นายได้ใช้ชีวิตตอนแก่อย่างดีเลย”
“ปึก”
โทรศัพท์ของฉินหนานเซิงหล่นลงพื้น
ฉินซื่อกรุ๊ปคือบริษัทที่รวยที่สุดในเมืองหรง!
ในเมืองหรง หรือแม้แต่เมืองรอบๆ ฉินซื่อกรุ๊ปเป็นที่ที่คนอยากจะปีนป่ายขึ้นไป
สุดท้าย ฉินซื่อกรุ๊ปกลับโดนประธานคนปัจจุบันรังเกียจเสียเอง?
“เมื่อกี้นายบอกว่า จี้หนานเฟิงให้ฉันกลับต้นตระกูล?”
พอได้ยินเสียงจากต้นสายอีกครั้ง ฉินหนานเซิงรีบเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง “ความหมายของเขาคือ อาเล็กกับตระกูลจี้……”
“โอเค”
ชายหนุ่มเกี่ยวยิ้มมุมปาก “ฉันจะกลับไปแน่นอน”
พูดจบ เขาก็กดวางสาย
เมื่อสักครู่ตอนที่คุยโทรศัพท์ เขาก็ได้เดินมาถึงประตูหน้าห้องของซูสือเยว่แล้ว
ภายในห้องของหญิงสาวมีเสียงดนตรีดังออกมาอย่างเสียงดัง
ฉินโม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเคาะประตูห้อง
แต่ภายในห้องไร้เสียงตอบรับ
น่าจะเป็นเพราะ เสียงของดนตรีกลบเสียงเคาะประตูหล่ะมั้ง
ฉินโม่หานไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสียแต่อย่างใด
เขาหยิบกุญแจออกมา แล้วไขประตูเงียบๆ แล้วเดินเข้าไป
ภายในห้อง ซูสือเยว่กำลังออกกำลังกายตามคลิปอยู่
เธอสวมสปอร์ตบราและกางเกงขาสั้น ขาวเรียวยาวที่เนียนขาวละเอวบางของเธอนั้นเปลือยเปล่า หยดเหงื่อเม็ดเล็กค่อยๆไหลไปตามผิวของเธอ
ในวินาทีนี้ หญิงสาวตรงหน้าเขานั้น มีเสน่ห์เป็นบ้า
เพิ่งจะเข้าประตูมา ภาพตรงหน้าก็ทำให้ฉินโม่หานคอแห้งเสียแล้ว
เขายืนอยู่หน้าประตู หรี่ตามองแผ่นหลังของเธอที่กำลังเต้นไปตามเพลง ด้วยดวงตาที่คมลึก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดซูสือเยว่ก็กดปุ่มหยุดบนลำโพงตรงหน้าเธอพร้อมหอบหายใจ
พอหันหน้ากลับมา ก็ตกใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเธอ
เธอเลิกคิ้วขึ้น เปิดฝาขวดน้ำแล้วจิบก่อนหนึ่งคำ เงยหน้าขึ้นอย่างเย็นชาแล้วทำตาโตใส่เขา “ฉันจำได้ว่า ฉันล็อคประตูแล้ว”
“คุณจำผิดแล้ว”
ชายหนุ่มเดินเข้ามา พร้อมหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผากของเธอเบาๆ กับรอยยิ้มมุมปาก “ดูเหมือนว่าความจำเสื่อมก็มีข้อดีนะ”
“เมื่อก่อนคุณไม่เคยออกกำลังกายในบ้านแบบนี้เลย”
ซูสือเยว่มองบนใส่เขา “ก็ฉันรู้สึกเบื่อ”
“ถึงฉันจะความจำเสื่อม แต่ฉันก็รู้ว่า อาชีพหลักของฉันคือนักแสดง”
“ตอนนี้ทำงานก็ไม่ได้ และฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นด้วย”
“ผู้ดูแลบ้านเสิ่นให้ฉันเรียนการบริหารธุรกิจ ฉันก็เรียนไม่รู้เรื่อง”
พูดจบ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วนั่งลงบนพรหมด้วยท่านั่งที่สบาย พร้อมหยิบหมอนมาพิงหลัง “ไม่มีอะไรให้ทำ ก็เลยออกกำลังหาเรื่องให้ตัวเองมีอะไรทำหน่อย”
ฉินโม่หานเกี่ยวยิ้มขึ้นนิ่งๆ แล้วนั่งลงข้างๆเธอ “หานหยุนบอกว่า คุณแค่ลืมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผม แต่คุณน่าจำได้ ว่าความฝันก่อนหน้านี้ของคุณ”
“ความฝันของคุณคือแสดงละครแล้วก็เป็นดารา?”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วใช้ความคิด แล้วส่ายหัว
เธอถอนหายใจออกมา “เรียนการแสดง ก็เพราะว่ารู้จักเฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิง”
“พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งเป็นแฟนของฉัน คนหนึ่งคือเพื่อนสนิทของฉัน พวกเขาอยากเข้าวงการบันเทิงมาก ฉันก็เลยสอบเขานิเทศพร้อมกับพวกเขา เรียนการแสดง แล้วเป็นดารา”
“แต่น่าเสียดาย ระหว่างเราสามคน มีแค่ฉันที่สอบติด”
“ฉันก็เลยเรียนหนังสือไปด้วย แล้วเป็นครูสอนการแสดงให้พวกเขาไปด้วย……”
พูดจบ ซูสือเยว่ก็ส่ายหัว “ตอนนั้นฉันโง่จริงๆ”
“ถ้าสิ่งที่อยากเป็นจริงๆ……”
เธอเอียงหัวหันมาหาเขา “น่าจะอยากเป็นนักออกแบบเครื่องประดับแหละมั้ง”
“แต่ฉันไม่มีพื้นฐานศิลปะเลย เคยลองบ้าง แต่ก็ยอมแพ้ตลอด”
ฉินโม่หานหัวเราะ “พยายามตอนนี้ ก็ยังไม่สาย”
“สายไปแล้ว”
ซูสือเยว่มองบนใส่เขา “ฉันอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ถ้าต้องเรียนศิลปะตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เดี๋ยวก็โดนหัวเราะเยาะหรอก”
ชายหนุ่มเกี่ยวยิ้ม “ผมสอนคุณเอง ผมจะไม่หัวเราะคุณด้วย”
บรรยากาศภายในห้องเงียบลง
ซูสือเยว่ทำตาโตใส่เขา “ถ้าคุณสอนฉัน ฉันยิ่งไม่กล้าเรียนเลย”
“เมื่อกี้ไป๋ลั่วบอกฉันว่า คุณมีบริษัทเยอะมาก ไม่มีเวลาว่างสักวันเดียว แล้วในทุกๆนาทีก็มีเงินเพิ่มไม่ก็ลดหลักสิบล้านเลยด้วย……”
“ให้คุณมาสอนฉัน ค่าเรียนต้องแพงแน่ๆใช่ไหม?”
ฉินโม่หานยกยิ้มมุมปาก “ผมไม่เอาเงินคุณ”
“งั้นคุณจะเอาอะไร?”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปยังขาอ่อนของหญิงสาว “ค่อยบอกคุณวันหลัง”