ซูสือเยว่เม้มปาก รู้สึกว่าคำพูดของฉินโม่หานมีเหตุผล
หญิงสาวเม้มปาก พลางกอดเอวอันแข็งแกร่งของฉินโม่หานเอาไว้ “ฉันเชื่อคุณค่ะ”
“อีกอย่าง…..”
ซูสือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันก็รู้สึกจริงๆ ว่า ฉันน่าจะเป็นลูกสาวของหลิวหรูเยียน”
ไม่รู้ทำไม
ตอนที่พบกับหลิวหรูเยียนครั้งแรก เธอก็อยากร้องไห้มาก
เหมือนกับมีเสียงหนึ่งกำลังบอกเธออยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือแม่ที่เธอทั้งรักทั้งแค้น ที่คิดถึงมานานแสนนาน
แต่เธอกลายเป็นคนที่นอนเป็นผักไปแล้ว
นอกจากเธอจะช่วยเฝ้ารักษารากฐานของตระกูลเจี่ยนรอจนเธอฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้
คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉินโม่หาน “ตอนนี้แม้ว่าตระกูลเจี่ยนจะไม่ยอมรับว่าฉันเป็นคนตระกูลเจี่ยนแล้วก็ตาม”
“แต่ฉันคิดว่า เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางธุรกิจของตระกูลเจี่ยน….”
พอเธอเอ่ยปาก ฉินโม่หานก็รู้ว่าเธออยากพูดอะไร
ชายหนุ่มกระตุกริมฝีปากยิ้มบางๆ เพลางกอดเธอเอาไว้แน่น “วางใจเถอะ ผมจะให้ชวงซิงกรุ๊ปช่วยตระกูลเจี่ยนข้ามผ่านความยากลำบากนี้ไปให้ได้”
พูดจบ ชายหนุ่มตบแผ่นหลังเธอเบาๆ “คุณแค่ทำงานของคุณอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
ซูสือเยว่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ผ่านไปพักใหญ่ เธอก็เงยหน้าขึ้น ฉวยจังหวะที่ชายหนุ่มไม่ทันระวังตัว จุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากเขาหนึ่งที
“คุณสามี คุณดีที่สุดเลย!”
จูบที่แผ่วเบาเหมือนกับแมลงปอบินไปแตะผิวน้ำ กลับรู้สึกราวกับถูกไฟดูดอย่างนั้น จากริมฝีปากของฉินโม่หานลามไปทั่วทั้งแขนขาของเขา
ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็มองเธออย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ยัยตัวแสบ รู้จักจู่โจมแล้วเหรอ”
หน้าซูสือเยว่แดงเป็นตูดลิง
เธอเอาหน้าซุกเข้าไปในหน้าอกเขา “ฉันก็อยากจะขอบคุณ คุณนี่”
“เช้าวันนี้ฉันถูกพวกเขากระทำจนไม่พอใจอย่างมาก….ดังนั้นจึงไปซื้อ….จึงไปทำของอร่อยมาหาคุณ”
“ฉันไม่ได้อยากให้คุณมาปลอบโยนฉัน ฉันไม่ได้มีญาติพี่น้อง เวลาเจอเรื่องที่เสียใจ คนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือคุณ”
“คิดไม่ถึงเลย คุณไม่เพียงทำให้ฉันไม่ต้องเสียใจอีก แล้วยังทำให้ฉันมีกำลังใจมากขึ้นด้วย”
พูดจบ หญิงสาวเงยหน้าดวงตาที่สว่างไสวระยิบระยับคู่นั้นมองไปที่เขา “ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ฉันให้เพื่อตอบแทนคุณ”
มองดวงดาวที่ระยิบระยับในดวงตาเธอ ฉินโม่หานกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางๆ “ของเล็กน้อยแค่นี้ ก็คิดจะส่าสามารถตอบแทนผมได้หมดแล้วเหรอ”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ซูสือเยว่อึ้งตะลึงไปทันที
เธอมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขา
“ผมบอกว่า อยากขอบคุณผม ใช้ของเล็กน้อยแบบนี้ ดูไม่มีความจริงใจเลย”
ซูสือเยว่อึ้งชะงักไป
เธอมองเขาด้วยความเขินอายและละอายใจเล็กน้อย “งั้น…คุณสามีคุณว่า ฉันจะทำยังไงถึงจะเรียกว่ามีความจริงใจล่ะค่ะ”
“ขอแค่คุณบอกมา ฉันก็จะ…อื้อ….”
หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของชายหนุ่มก็จูบลงมาอย่างดุดัน
ฉินโม่หานล็อกท้ายทอยเธอเอาไว้ พลันจูบอย่างดุเดือดและยังบ้าอำนาจ
ตอนแรกเริ่ม ซูสือเยว่ยังขัดขืนตามสัญชาตญาณอยู่บ้าง
ต่อมา เธอก็ไม่ได้ขัดขืนอีกเลย
มือของหญิงสาวจับอยู่ที่เอวของชายหนุ่ม พลางทำให้การจุมพิตนี้ยิ่งดูดดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินโม่หานหรี่ตา ดวงตาค่อยๆ มืดมัวลง
ยัยบ๊องนี่
เมื่อครู่ที่เขาบอกว่าของที่ตอบแทนเขายังไม่เพียงพอนั้น ก็เพราะถูกเธอยั่วจนเกิดอารมณ์ขึ้นมา
แต่ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่
จงใจเป็นฝ่ายรุกก่อน เพื่อแสดงความจริงใจเหรอ
ทั้งสองคนจูบกันอยู่
ตอนแรก เพราะฉินโม่หานไม่พอใจการจูบที่ดูผิวเผินไม่จริงใจเหมือนแมลงปอที่เกาะบนผิวน้ำ จึงอยากจะจูบเธอแรงๆ เท่านั้น
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า เธอจะเข้าใจเขาผิด คิดว่าเขาบอกว่าเธอยังเป็นฝ่ายรุกไม่มากพอ
ถึงขนาดตอนที่กำลังจูบก็จงใจงัดฟันของเขาให้เปิดออก
การจูบอย่างอ่อนโยนในตอนแรก ถูกการจู่โจมของซูสือเยว่ จนเปลี่ยนเป็นการจูบที่ทั้งเร่าร้อนทั้งยั่วยวน
ทั้งสองจูบกันนานมากๆ
จนกระทั่งประตูถูกคนผลักเปิด
กู้ถิงเซิงที่อยู่ด้านนอกเคาะประตูอยู่นานมาก คิดว่าที่ฉินโม่หานไม่เปิดประตูเพราะนอนหลับไปแล้ว ดังนั้นจึงเปิดประตูทันที
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า พอเปิดประตูก็จะเห็นภาพแบบนี้
เสียงเปิดประตูของชายหนุ่ม ทำให้ฉินโม่หานเลิกคิ้ว ปล่อยมือจากซูสือเยว่เงียบๆ เอาเธอมากอดไว้ในอ้อมอก
เขาเงยหน้าขึ้นมา แววตาเยือกเย็นเหลือบมองกู้ถิงเซิง “มีเรื่องอะไร”
กู้ถิงเซิงถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจจนพูดไม่ออก
ผ่านครู่หนึ่ง เขาจึงกระแอมเบาๆ “ก็ต้องมีธุระแน่นอนถึงได้มาหานาย”
ชายหนุ่มยักคิ้ว “ไปรอข้างนอกก่อน อีกเดี๋ยวให้นายเข้ามาได้ค่อยเข้ามา”
“ได้ครับ เจ้านายฉิน”
พูดจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไป
ตอนที่ปิดประตู กู้ถิงเซิงยังแอบกลอกตามองบนอย่างเงียบๆ
เห็นชัดว่าเขาสองคนจู๋จี๋กันในห้องทำงานตอนกลางวันแสกๆ เลยถูกเขาจับได้ แต่ทำไมท่าทางของฉินโม่หาน ทำเหมือนกับว่าเขากู้ถิงเซิงทำอะไรผิดอย่างนั้น
มองทะลุบานกระจกที่กั้นห้องทำงาน เขาเห็นสองคนที่อยู่ด้านในแยกกันแล้ว ฉินโม่หานยังคงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
เขาเลิกคิ้ว
หรือว่าคนข้างในนั้น ก็คือภรรยาที่ความจำเสื่อมของเขาคนนั้น
กู้ถิงเซิงถอนหายใจ พลางหาที่นั่งนั่งลง
เขาคือผู้รับผิดชอบของชวงซิงกรุ๊ป
ห้าปีก่อน ตอนที่ฉินโม่หานเริ่มงานที่ธุรกิจด้านการเงินของยุโรป เขาเป็นเพื่อนและคู่หูในการทำงานที่ดีที่สุดของฉินโม่หาน
ต่อมางานของทั้งสองทำงานมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ ฉินโม่หานก็บอกเขาว่ามีลูกสองคน ต้องกลับประเทศแล้ว
ผลปรากฏว่าครั้งนี้พอเขาไป ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
หลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังชวงซิงกรุ๊ปจะเป็นฉินโม่หานคนเดียวมาตลอด แต่ในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุดของฉินโม่หาน กู้ถิงเซิงคือประธานกรรมการของชวงซิงกรุ๊ปที่ทุกคนให้การยอมรับ
จนถึงปัจจุบันก็ห้าปีผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ที่ฉินโม่หานมาเมืองสตัฟฟ์ ตอนแรกกู้ถิงเซิงยกชวงซิงกรุ๊ปคืนให้เขา
ผลปรากฏว่าฉินโม่หานกลับแสดงท่าทีว่า ต้องการจะปกปิดเรื่องที่เขาเป็นประธานบริหารที่แท้จริงของชวงซิงกรุ๊ปต่อไป และให้เขาผู้ที่เป็นตัวแทนนี้ทำงานต่อไป
คิดถึงเรื่องพวกนี้ กู้ถิงเซิงก็กลัดกลุ้มใจมากเป็นพิเศษ
แต่ว่า เขาได้แอบยินคนอื่นพูดกันว่า ที่ฉินโม่หานต้องการจะปิดบังสถานะตัวเองต่อไป ก็เพื่อภรรยาตัวน้อยของเขา
ซึ่งก็คือคนที่อยู่ข้างในนั้น
คิดมาถึงตรงนี้ กู้ถิงเซิงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูสือเยว่หลายครั้ง
ไม่นาน ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเปิด
ซูสือเยว่เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เมื่อเดินมาถึงประตู หญิงสาวก็เหลือบมองกู้ถิงเซิงอย่างเขินอาย “สา..สามีฉันให้คุณเข้าไปได้แล้วค่ะ”
พูดจบ เธอก็ซอยเท้าถี่ๆ วิ่งราวกับหนีตายอย่างนั้น
กู้ถิงเซิงมองด้านหลังของเธอ อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ แล้วจึงผลักประตูเข้าไปข้างใน
ในห้องทำงาน ชายหนุ่มที่เมื่อครู่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยจูบกับหญิงสาวได้จัดการเสื้อผ้าเข้าที่เรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายๆ มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “คราวหน้าก่อนจะเข้ามาเคาะประตูก่อนนะจำไว้”
กู้ถิงเซิงกลอกตามองบน “ฉันคิดว่านายเหนื่อยจนเป็นลมอยู่ข้างในซะอีก ใครจะไปคิดว่านายจะทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงข้างในนั้นเล่า”
ฉินโม่หานมองบนใส่เขา “ถ้าไม่ใช่เพราะนาย เธอก็ยังจะอยู่ที่นี่ได้นานอีกหน่อย”
“ดังนั้นจะบอกว่า ถ้าฉันไม่มา พวกแกสองคนก็ยังทำเรื่อง18+นั่นต่อไปใช่มั้ย”
ฉินโม่หานกระตุกริมฝีปากเบาๆ “ทำไม ไม่ได้เหรอ”
“เธอเป็นภรรยาฉัน”
“พวกเราจะทำอะไรก็สมเหตุสมผลทั้งนั้น”
พูดจบ เขาเงยหน้ามองกู้ถิงเซิง “คนโสดอย่างนายคงไม่มีทางเข้าใจ”