ซูสือเยว่เฝ้าอยู่ข้างกายซิงเฉินทั้งวันแล้ว
ตอนพลบค่ำ ลั่วเยียนผลักรถเข็นที่ฉินหนานเซิงนั่งมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูสือเยว่เจอฉินหนานเซิงหลังจากที่กลับจากสตัฟฟ์มาถึงเมืองหรง
มองท่าทางทของผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น ซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “นาย…….”
“ก่อนหน้านั้นคุณอารองไปช่วยเย่เชียนจิ่ว ฉันห้ามเขาไว้ ก็เลยถูกเขาทำร้าย”
คำถามของซูสือเยว่ยังไม่ทันถามออกมา ก็ถูกฉินหนานเซิงแย่งตอบออกมาก่อนแล้ว
เขาถอนหายใจ แววตาเฉยชา “ถ้ารู้ผลสุดท้ายของเยว่เชียนจิ่วเป็นแบบนี้ ตอนนั้นคุณอารองจะช่วยเธอไปทำไมกันนะ?”
อยู่ที่นี่ถูกตระกูลฉินกักขัง อย่างมากก็แค่เสียความอิสระเท่านั้น
ถึงแม้จะตาย ก็ไม่ได้ตายไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีขนาดนี้
คำพูดของฉินหนานซิง ทำให้ซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เธอมองไปที่ขาของฉินหนานซิง “เขาตีขานายจนหักแล้ว นายยังเรียกเขาว่าคุณอารอง?”
ฉินหนานซิงชะงัก ยิ้ม “ชินแล้ว”
“อีกอย่าง คนก็ตายแล้ว……….ฉันจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาทำไม?”
“มันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปเอาศพของเขาออกมาแล้ว แล้วตีจนขาหักหรอกมั้ง?”
คำพูดของผู้ชาย ทำให้ซูสือเยว่ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาทันที
เธอถอนหายใจ สายตาหันไปมองซินเฉินที่ยังสลบอยู่บนเตียงผู้ป่วย “หมอบอกว่า สถานการณ์ปกติ เขาก็น่าจะฟื้นมานานแล้ว”
“แต่ว่าตอนนี้ก็ยังอยู่ในอาการสลบ…….”
“อีกอย่าง การตรวจสอบทุกขั้นตอนก็เสร็จหมดแล้ว พิสูจน์แล้วว่าร่างกายไม่ได้มีอะไรผิดปกติ…..”
“แต่แปลก”
ลั่วเยียนบิดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองซิงเฉินทีหนึ่ง สุดท้ายหันมามองซูสือเยว่แล้วพูดว่า “พูดสิ…….”
“ซิงเฉินจะเป็นเหมือนฉันเมื่อไหม?”
ซูสือเยว่ชะงัก ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีภาพของลั่วเยียนที่โคม่า สลบไม่ยอมฟื้นขึ้นมา
ลั่วเยียนในตอนนั้น ถูกคน…….
เธอกลัว เศร้าและสิ้นหวัง ดังนั้นจึงสลบไม่ยอมฟื้น
แต่ว่าซิงเฉิน……..
ผู้หญิงกัดริมฝีปากเงียบๆ “น่าจะ……..ไม่ใช่มั้ง?”
ซิงเฉินไม่ได้ถูกอะไรทำให้ตกใจ และไม่ได้สิ้นหวิงและโศกเศร้าอะไรทั้งนั้น
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?”
ฉินหนานเซินขมวดคิ้ว “ถ้าตามที่คุณอารองและซินหยุนพูด ซิงเฉินตามเยว่เชียนจิ่วออกไปหาของกิน……….”
“แล้วตอนที่เยว่เชียนจิ่วเกิดเรื่อง ซิงเฉินน่าจะอยู่ข้างกายเธอสิ”
“เขาที่เป็นเด็กเล็กขนาดนี้ ถ้าเห็นเสือกินคนจริงๆ ……..มันก็ตกใจ หวัดกลัวและสิ้นหวังจริงๆ นั้นแหละ”
ตัวของซูสือเยว่กระตุกแรงๆ ทีหนึ่ง
เมื่อก่อน เธอไม่เคยคิดความเป็นไปได้แบบนี้เลย
แต่ตอนนี้ ถูกลั่วเยียนและฉินหนานเซินพูดแบบนี้ อยู่ๆ เธอกรู้สึกว่าสมเหตุสมผลมาก
ไม่ว่ายังไง ตอนนั้นที่ลั่วเยียนสลบ สมรรถภาพของร่างกายเธอก็มั่นคงหมดทุกอย่าง ไม่ต่างไปจากคนปกติเลย
เพียงแต่สมองได้รับผลกระทบก็เลยไม่สามารถยอมรับสิ่งบางอย่าง ก็เลยกระตุ้นให้สลบ ท่าทางไม่ต่างไปจากคนโคม่าเลย
พอคิดแบบนี้ ซูสือเยว่ก็มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
หมอบอกแล้วว่า ที่ลั่วเยียนฟื้นขึ้นมาได้ นั้นเป็นปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์ทางการแพทย์แล้ว
ส่วนซิงเฉิน…….ยังจะเกิดปาฏิหาริย์อยู่ไหม?
เธอไม่กล้าคิด
ผู้หญิงหลับตาลง กดกริ่งบนหัวเตียงอย่างเงียบๆ
ไม่นาน หมอก็เข้ามา
หลังจากที่ได้ยินการสันนิษฐานของลั่วเยรยนและฉินหนานเซิงแล้ว หมอวัยกลางดันแว่นที่ใส่ไว้ “ไม่ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้แบบนี้”
“ถ้าเด็กปกติเห็นสัตว์ป่ากินคนจริงๆ อาจจะได้รับผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก สลบแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ”
ถอนหายใจ หมอตบไหล่ของซูสือเยว่เบาๆ “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นหวัง ขอแค่ครอบครัวของคุณดูแลเด็กคนนี้ดีๆ คุยกับเขาทุกวัน ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นเอง”
มหอพูดจบ ลั่วเยียนก็รีบพยักหน้า “ใช่แล้ว สือเยว่ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดฉันก็ผ่านมาแล้ว ซิงเฉินพึ่งจะอายุ 5 ขวบเอง เธอต้องเชื่อสิ ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
คำพูดของผู้หญิง ทำให้ซูสือเยว่พยักหน้าอย่างเร็ว
เธอเองก็ยอมเชื่อ ซิงเฉินต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน
ครั้งนี้ เธอไม่ดีเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการขัดแย้งของเธอกับฉินโม่หาน เธอก็จะไม่มีทางห่างจากซิงหยุนและซิงเฉินนานขนาดนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอปลอมตัวเป็นสวี่หรง ถ้าทำให้ฉินโม่หานอยากจะจีบเธออีกครั้งละก็………..
วันนั้นตอนที่อยู่บ้านฉินหลินยี่ไปบ้านตระกูลฉินเธอน่าจะอยู่บ้านกินข้าวกับเด็กทั้งสามคน
ถ้าเธออยู่ เธอไม่มีทางปล่อยให้ฉินหลินยี่พาซิงหยุนกับซิงเฉินไปแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะไม่เกิดเรื่องเยอะขนาดนี้แล้ว…….
เป็นความผิดของเธอทั้งหมด
เพราะว่าเธอเอาแต่ใจเกิดไป เลยทำให้ลูกของตัวเองมีอันตราย
มองหน้าที่ซีดขาวของซูสือเยว่ ฉินหนานเซิงกลับหัวเราะขึ้นมา “ฉันกับลั่วเยว่เป็นผู้ป่วยทั้งสอง ต่อไปที่บ้านก็มีซิงเฉินเพิ่มอีกหนึ่งคน ก็ไม่เยอะ”
“พวกเราที่เป็นคนป่วยทั้งสามคนสามารถกอดให้ความอบอุ่นต่อกัน”
“ใช่สิ”
ลั่วเยียนยิ้มมองซูสือเยว่ไว้ “ในเมื่อหนานเซิงสามารถปลุกฉันให้ฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่าได้ เขาต้องมีประสบการณ์มากแน่นอน”
“ต่อไปพวกเราจะคอยแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน ซิงเฉินก็ต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
มองท่าทางสองคนนี้ที่พยายามปลอบตัวเอง ซูสือเยว่ถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ขอบคุณ”
“เธอไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้วใช่ไหม?”
ฉินหนานเซินมองซูสือเยว่ทีหนึ่ง “คุณอารองและไป๋ลั่วไปดูกล้องวงจรปิดแล้ว ไม่มีใครมาเปลี่ยนเธอ”
“ฉันดูแลซิงเฉินอยู่ที่นี่สักพัก เธอออกไปกินข้าวกับลั่วเยียนเถอะ”
ซูสือเยว่ส่ายหน้า “ฉันไม่หิว”
“หิวไม่หิวก็ต้องกิน ถ้าเธอป่วยล้มลงแล้ว ซิงเฉินก็จะฟื้นขึ้นมาหรอ?”
คำพูดของผู้ชายทั้งเย็นชาและโหดร้าย
ซูสือเยว่เงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้า ออกไปพร้อมกับลั่วเยียน
“สือเยว่ หนานเซิงเขาหลังจากที่ขาหักแล้ว นิสัยก็เลยไม่ค่อยดี เธอไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ”
ทั้งสองคนพึ่งขึ้นลิฟต์ ลั่วเยียนก็จับมือของซูสือเยว่ไว้ แล้วปลอบเบาๆ
ที่เธอพูด ก็คือที่ฉินหนานเซิงพูดเมื่อกี้ คำพูดที่ว่าซูสือเยว่ล้มลงเพราะป่วยซิงเฉินก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้
“ไม่เป็นอะไร ที่เขาพูดเป็นความจริง”
ซูสือเยว่หายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง หันมายิ้มให้ลั่วเยียน “ฉันก็ว่าเขาพูดมันถูก”
“การที่จะทำให้ซิงเฉินฟื้นเป็นสงครามยึดยื้อ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ จะได้สามารถดูแลเขาในภายหลัง”
ลั่วเยียนตะลึงแต่ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ “เธอคิดได้แบบนี้…….ดีจริงๆ”
ผู้หญิงสองคนคุยไปด้วย เดินไปร้านอาหารตรงข้ามโรงพยาบาล
ลั่วเยียนสั่งกับข้าวตามความชอบของเธอมาเต็มโต๊ะ
ที่จริงซูสือเยว่กินไม่ลงจริงๆ ถึงจะไม่มีความอยาก เธอก็ยังบังคับให้ตัวเองกินต่อ
ขอแค่ร่างกายของตัวเองดคขึ้น ก็จะสามารถดูแลซิงเฉินได้อย่างดี!
“คุณหมอเจียงนี่เชิญยากจริงๆ อาจารย์ของพวกเราที่เมืองหรงเชิญเธอตั้งนาน ในที่สุดเธอก็ยอมตกลงที่จะมาเมืองหรงสักครั้ง”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปรับที่สนามบิน!คุณหมอเจียงเป็นไอดอลของฉัน!”
ซูสือเยว่กินข้าวไปด้วย ฟังนักศึกษาแพทย์ที่อยู่โต๊ะข้างๆ คุยกันเล่น:
“คุณหมอเจียงท่านนี้วิเศษแค่ไหนเนี่ย ทำไมพวกนายพอพูดถึงเธอ ก็เหมือนกับพูดถึงพระเจ้าเลย?”
“เธอไม่รู้……..หมอท่านนี้เป็นคนที่สุดยอดมากเลยนะ เธอสามารถเจาะจงอาการของผู้ป่วยโคม่า แล้ววางแผนที่เหมาะสมที่สุด ในการทำให้ผู้ป่วยที่ตกอยู่ในอาการโคม่าฟื้นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด”
“จริงหรอเนี่ย?ผู้ป่วยอาการโคม่าสามารถฟื้นขึ้นมาได้ง่ายขนาดนี้เลย?”
“แน่นอนสิ !ขอแค่อวัยวะและเส้นประสาทไม่ได้รับการเสียหาย คล้ายกับกระตุ้นประสาทของผู้ป่วยโคม่า สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
“เธออยู่เมืองนอก ได้รักษาหายสนิทหลายสิบคนแล้ว……”
………
คำพูดของนักศึกษาพวกนั้น ทำให้ตาของซูสือเยว่สว่างขึ้นมาทันตา
ลั่วเยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอเบะปาก “จะมีหมอที่วิเศษขนาดนั้นได้ยังไง?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากไว้ “มันจะดีกว่าไหมถ้าเชื่อในการสิ่นที่มีความเป็นไปได้”
“ถ้า……….สามารถรักษาซิงเฉินได้ล่ะ?”