มองท่าทางที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นของเจี่ยนเฉิงและเจี่ยนหมิงจงซูสือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ วางโทรศัพท์มือถือลง “หนูรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ”
“ขงเนี่ยนโหรว ลู่เนี่ยนโหรว จี้ว่านเชิ่ง”
“เรื่องราวของพวกเขา พ่อของฉินโม่หานบอกหนูแล้วค่ะ”
พอเธอพูดจบ เจี่ยนหมิงจงขมวดคิ้วสบตากับเจี่ยนเฉิง
ชายวัยกลางคนสองคนกลอกตามองบนพร้อมกัน “ไอ้แก่ปากมาก”
พูดจบ เจี่ยนหมิงจงก็ถอนหายใจ เงยหน้ามองซูสือเยว่ “เขาบอกเรื่องพวกนี้กับลูกทำไม”
“ก็แค่พูดถึงตอนที่คุยกันเรื่องของฉินหลิงยี่”
ซูสือเยว่สูดหายใจลึกๆ “เมื่อก่อนหนูเคยได้ยินว่า ผู้นำขององค์กรที่สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือฉินหลิงยี่ให้ฉินหลิงยี่ลงมือกับตระกูลเจี่ยนคนนั้น ชื่อว่า K”
“ส่วนนามสกุลของขงเนี่ยนโหรวขึ้นต้นตัวอักษรตัวแรก ก็คือK”
เธอมองเจี่ยนหมิงจงและเจี่ยนเฉิงด้วยแววตาที่จริงจัง “หนูหวังว่าพวกคุณจะบอกฉันอย่างกระจ่างชัดว่า Kผู้นำขององค์กรนั้น ใช่ขงเนี่ยนโหรวหรือไม่”
เจี่ยนหมิงจงยิ้มอย่างขมขื่น “ลูกก็รู้อยู่แล้ว จะยังมาถามพวกเราทำไม”
พูดจบ ชายวัยกลางคนก็หาวอย่างเกียจคร้าน “หลายปีมานี้ ขงเนี่ยนโหรวไม่เคยที่จะยอมรามือกับตระกูลเจี่ยน”
“ความจริงแล้วพ่อก็รู้สึกแปลกใจมากมาตลอด จี้ว่านเชิ่งและลู่เนี่ยนโหรวต่างก็ตายไปแล้ว ทำไมขงเนี่ยนโหรวจะต้องตามราวีตระกูลเจี่ยนไม่เลิก”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วแน่น “หรือว่า คุณพ่อเคยทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อขงเนี่ยนโหรว ดังนั้นเธอจึงยังคอยตามระรานตระกูลเจี่ยนมานานหลายปีขนาดนี้”
เจี่ยนหมิงจงกลอกตามองบน “พ่อไม่ได้มีงานอดิเรกที่แปลกพิสดารแบบนั้น”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นมา เดินไปที่ข้างหน้าต่าง มองต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีนอกหน้าต่าง “ที่ขงเนี่ยนโหรวเคียดแค้นตระกูลเจี่ยนขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะว่ามีครั้งหนึ่ง……”
“เธอวางยาจี้ว่านเชิ่ง ตอนแรกก็เกือบจะสำเร็จแล้ว แต่แม่ของลูกหลิวหรูเยียนไปทำลายแผนการของเธอ”
“ตอนนั้นแม่ของลูกยังอายุน้อย ทั้งยังเป็นเพื่อนรักกับลู่เนี่ยนโหรวน้องสาวของพ่อ ดังนั้นพอรู้ว่าเกิดเรื่องกับจี้ว่านเชิ่ง ก็พาลู่เนี่ยนโหรวพุ่งตัวไปทันที”
“เธออายุน้อยมีพละกำลังแข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาศิลปะป้องกันตัวจากปรมาจารย์ของพ่อเองกับมือ จึงเก่งกล้าสามารถมาก”
“สุดท้ายแม่ของลูกก็ทำลายการป้องกันของขงเนี่ยนโหรวได้อย่างง่ายดาย ในตอนนั้นการโจมตีขนาบประสานกันกับลู่เนี่ยนโหรวก็ได้ช่วยชีวิตของจี้ว่านเชิ่งที่หมดสติไปด้วยฤทธิ์ของยาพิษไว้ได้”
“แต่จี้ว่านเชิ่งในตอนนั้นที่อยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ สุดท้ายเขากับลู่เนี่ยนโหรว ที่อยู่ภายในห้องของขงเนี่ยนโหรว……”
เสียงของชายวัยกลางคนค่อยๆชะงัก พูดสองคำนั้นต่อหน้าลูกสาวอย่างยากลำบาก “ทำกันแล้ว”
“หลังจากครั้งนั้น ลู่เนี่ยนโหรวก็ตั้งท้องลูกของจี้ว่านเชิ่ง”
“ขงเนี่ยนโหรวตามฆ่าลู่เนี่ยนโหรวไปทั่วทุกที่ด้วยความโกรธ อยากจะฆ่าลูกในท้องของเธอ”
“อีกทั้ง เธอเอาความผิดทุกอย่างมาลงที่แม่ของลูก”
“เธอคิดว่า ถ้าไม่ใช่แม่ของลูกมาขัดขวางเธอไว้ในคืนวันนั้น ทำให้ลู่เนี่ยนโหรวประสบความสำเร็จ ไม่อย่างนั้นคนที่ตั้งท้องลูกของจี้ว่านเชิ่งต้องเป็นเธอแน่นอน”
“เธอยังคิดว่า ถ้าเธอตั้งท้องลูกของจี้ว่านเชิ่ง แม้ว่าจี้ว่านเชิ่งกับลู่เนี่ยนโหรวจะมีการหมั้นหมายกัน เขาก็จะเห็นแก่หน้าลูก แยกทางกับลู่เนี่ยนโหรว มาอยู่กับเธอขงเนี่ยนโหรว”
“ดังนั้น เธอจึงโกรธแค้นตระกูลเจี่ยน ยิ่งโกรธแค้นแม่ของลูก”
พูดจบ เจี่ยนหมิงจงยังถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมจี้ว่านเชิ่งและลู่เนี่ยนโหรวต่างก็ตายไปนายแล้ว เธอก็ยังระรานตระกูลเจี่ยน ยังไม่ยอมปล่อยวางเรื่องนี้……”
“เป็นไปได้มากว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมั้ง”
ได้ยินคำพูดของเจี่ยนหมิงจง ซูสือเยว่ก็อึ้งไปเลย
“แม่ของฉัน……ตอนสาวๆเก่งกาจขนาดนี้เลยเหรอ”
ตอนที่อยู่เมืองสตัฟฟ์ เธอไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลหลายครั้ง
แต่ทุกครั้ง แม่ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มักจะทำให้เธอรู้สึก อ่อนโยน สุขสงบ เฉลียวฉลาด
ความสง่างามเยือกเย็นและความเฉลียวฉลาดของหญิงสาวสะพรั่งที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ
ซูสือเยว่ยากที่จะเชื่อมโยงไปถึงหญิงสาวที่ทรงพลังผู้พาลู่เนี่ยนโหรวพุ่งเข้าไปที่ห้องของขงเนี่ยนโหรว ทำลายทุกอุปสรรคคนนั้นที่เจี่ยนหมิงจงพูด
“ใช่”
เจี่ยนเฉิงกระตุกยิ้มอ่อนๆที่มุมปาก เปลี่ยนเป็นท่าพิงบนโซฟาอย่างสบาย “พ่อกับแม่ของเธอต่างก็เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉัน”
“แต่ในด้านความก้าวหน้าของทักษะศิลปะป้องกันตัวของแม่เธอนั้นตั้งแต่เด็ก ก็แข็งแกร่งกว่าพ่อเธอมากมายหลายเท่านัก”
“ความจริงแล้วพรสวรรค์ทางศิลปะป้องกันตัวของเธอ ไม่ได้มาจากพ่อของเธอ แต่มาจากแม่ของเธอต่างหาก”
ซูสือเยว่ตกใจจนพูดไม่ออก
เธอไม่รู้ว่าตนเองควรจะใช้น้ำเสียงและโทนเสียงแบบไหน ไปบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ดี
หลังจากผ่านไปนานพักใหญ่ เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดึงความคิดกลับมา “ตอนนี้หนูสงสัย เกี่ยวกับเรื่องที่ซิงเฉินหมดสติ ว่าน่าจะเป็นฝีมือของ Kส่วนเจียงหลี ก็คือหมากที่Kส่งมา”
“มองภายนอก พวกเขาอยากจะสร้างความร้าวฉานระหว่างฉันกับฉินโม่หาน ให้ตระกูลเจี่ยนสูญเสียการปกป้องคุ้มครองจากตระกูลฉินและตระกูลจี้”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาต้องการจะขโมยตัวซิงเฉินไป”
เจี่ยนหมิงจงพยักหน้า “พ่อก็คิดว่าใช่”
“แต่ว่า”
เจี่ยนเฉิงขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมามองซูสือเยว่ แล้วก็มองไปที่เจี่ยนหมิงจงอีก “พวกเขาจะจับตัวซิงเฉินไปทำอะไร”
“ที่ตัวซิงเฉิน มีอะไรคุ้มค่ามากพอให้พวกเขาต้องลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เหรอ”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก “ต้องมีแน่นอน”
“แค่ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เท่านั้น”
“งั้นลูกคิดจะ……”
“ทำให้พวกเขาสมปรารถนา”
ซูสือเยว่กระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็น “ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร ตอนนี้ฉันก็รับปากหมดทุกอย่าง”
“ขอแค่ซิงเฉินฟื้นขึ้นมา ทั้งหมดก็คุยกันได้ง่ายๆ”
เจี่ยนหมิงจงขมวดคิ้ว หันไปสบตากับเจี่ยนเฉิง ทั้งสองถอนหายใจพร้อมกัน ไม่ได้พูดอะไรอีก
โรงพยาบาล
หลังจากฉินโม่หานประคองเจียงหลีมานั่งบนเตียงอย่างอ่อนโยน หยิบกระดาษกับปากกาจากด้านข้างออกมาส่งให้เธอ “ให้”
เจียงหลีถูกเขาทำให้หลงจนมึนๆงงๆเล็กน้อยไปทั้งตัว เห็นชายหนุ่มส่งกระดาษกับปากกามาให้เธอ เธอก็ขมวดคิ้ว เหลือบมองเขาอย่างไม่เข้าใจ“ทำอะไรคะ”
“ก่อนหน้านี้คุณหมอเจียงไม่ได้บอกว่า ถ้าคุณรักษาซิงเฉินหายได้ จะให้ผมตกลงรับข้อเสนอของคุณข้อหนึ่งเหรอครับ”
“ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา คุณหมอเจียงคงไม่เต็มใจที่จะรับคำสัญญาเพียงลมปาก แล้วก็ช่วยรักษาลูกชายของผมหรอกนะครับ”
เจียงหลีชะงักงันไปทั้งร่างอย่างแรง
เธอเงยหน้าขึ้นมา มองไปในดวงตาของฉินโม่หานอย่างเหลือเชื่อ “คุณไม่ได้บอกว่าไม่อยากรับปากฉันหรอกหรือคะ”
“ผมแค่บอกว่าต้องคิดดูก่อนเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มมองเธอ ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ผมคิดดีแล้ว ผมเต็มใจ”
“หรือว่าคุณหมอเจียงไม่อยากจะเขียนเป็นหลักฐานครับ”
เจียงหลีปลาบปลื้มดีใจ
“หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรต้องการแน่นอนค่ะ แต่ฉันเตรียมเอาไว้เรียบร้อยนานแล้ว!”
หญิงสาวหยิบกระดาษที่พับไว้อย่างดีออกมาจากในกระเป๋าด้วยความตื่นเต้นยินดี ส่งให้ฉินโม่หาน “คุณลองอ่านข้อความบนกระดาษ ถ้าไม่มีข้อโต้แย้ง พวกเราก็จะเซ็นสัญญาทำข้อตกลงร่วมกันตอนนี้เลย”
“คุณเซ็นเสร็จตอนนี้ ฉันก็จะไปช่วยตรวจอาการของซิงเฉินตอนนี้เลย!”