ยาที่เจียงหลีสั่งยาให้ซิงเฉินซับซ้อนมาก ต้องการคนไปอยู่ข้างๆคอยเฝ้าหม้อที่ในครัว ตุ๋นห้าชั่วโมง
ตอนแรกฉินโม่หานคิดจะทำด้วยมือของตนเอง
แต่เขาไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องการทำครัวมาแต่ไหนแต่ไร วันแรกที่ต้มยาให้ซิงเฉิน ก็เกือบจะเผาห้องครัวอยู่แล้ว
ซูสือเยว่จึงได้แต่ไล่เขาออกไปจากห้องครัว ลงมือด้วยตนเอง
สามวันต่อเนื่องกัน ทุกวันเธอต้องอยู่ในห้องครัวมากกว่าเจ็ดชั่วโมง
ฉินโม่หานได้แต่ยืนมองเธอที่ประตูห้องครัวอย่างสงสาร “ผมคิดว่าห้องครัวถึงจะเป็นสามีคุณ”
ซูสือเยว่กลอกตามองบนใส่เขา ตุ๋นยาที่อยู่ในหม้อต่อไป “นี่คือหม้อสุดท้ายแล้ว”
“ตามที่เจียงหลีบอก ยาวันนี้หลังจากที่ซิงเฉินดื่มแล้วก็จะฟื้นขึ้นมา”
พูดจบ หญิงสาวก็ถอนหายใจ “หวังว่าจะใช้ได้จริงๆ”
ในเมื่อฉินโม่หานก็เซ็นข้อตกลงไปแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ซูสือเยว่ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้บ่นฉินโม่หานประโยคหนึ่งว่า “แม้ว่าซิงเฉินจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ข้อตกลงนั้นของคุณกับเจียงหลีก็ทำให้คนเจ็บปวดมากพอแล้ว”
ให้ซิงเฉินจากเธอไป ตลอดเวลาหนึ่งปีเต็ม!
อีกทั้งเวลาหนึ่งปีนี้ โอกาสที่จะไปเยี่ยมลูกสักครั้งก็ไม่มี
หนึ่งเธอเป็นห่วงว่าซิงเฉินอยู่ที่ศูนย์อะไรนั่นจะได้รับอันตราย อีกอย่าง รู้สึกว่าหนึ่งปีตนเองจะไม่ได้เจอซิงเฉิน ต้องทรมานอย่างมากแน่นอน
แม้ว่าซิงเฉินและซิงหยุนจะหน้าตาคล้ายคลึงกันเหมือนใช้หน้าเดียวกัน แต่ซิงเฉินก็คือซิงเฉิน ซิงหยุนก็คือซิงหยุน!
นึกถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ซูสือเยว่ก็รู้สึกแปลกใจมาก
คงเป็นเพราะอ่านความคิดภายในใจของหญิงสาวออก ฉินโม่หานกระตุกริมฝีปากหัวเราะเบาๆ “การเซ็นสัญญาข้อตกลงก็เป็นแค่การยื้อเวลาเท่านั้น”
“ท่าทีของเจียงหลีนั้นชัดเจนมาก ถ้าพวกเราไม่เซ็นข้อตกลง เธอก็ไม่รักษาซิงเฉินเด็ดขาด”
ความจริงแล้วฉินโม่หานก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่า ซิงเฉินไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแน่นอน
ที่ตอนนี้เขาหมดสติไม่ฟื้นขึ้นมา น่าจะฝีมือขององค์กรKคนนั้น
ซิงเฉินเพิ่งจะหมดสติไปได้ไม่นาน เจียงหลีก็มา และยังดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ถึงขั้นว่าเตรียมข้อตกลงเอาไว้แล้วเรียบร้อย เธอต้องมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรKแน่นอน
ดังนั้นก็เท่ากับว่า ซิงเฉินถูกคนขององค์กรKวางยา มีแค่คนขององค์กรKเท่านั้นที่มียาถอนพิษ จึงจะช่วยเขาให้ฟื้นขึ้นมาจากสภาวะหมดสติ
และก็ด้วยเหตุนี้ หลังจากเจียงหลีมาที่เมือหรงแล้ว ฉินโม่หานก็ไม่ได้ไปตาหาหมอที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆอีกเลย
เพราะเขารู้ ว่านอกจากเจียงหลีแล้ว ไม่ใครคนอื่นที่จะช่วยรักษาซิงเฉินให้ฟื้นขึ้นมาได้
ที่เขาเซ็นข้อตกลง รับปากเจียงหลี ซิงเฉินก็มีความหวังที่จะฟื้นขึ้นมา
ถ้าไม่เซ็นข้อตกลง ไม่รับปากเจียงหลี อย่างนั้นซิงเฉินจะต้องหมดสติไปอีกนานแค่ไหน
ก็ไม่มีใครกล้าบอกได้อย่างชัดเจน
คิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “หวังว่าวันนี้เขาจะฟื้นขึ้นมา”
ถ้าลูกตื่นขึ้นมา เขาค่อยดำเนินการตามแผนที่วางไว้กับซิงหยุนก่อนหน้านี้แล้ว
ซูสือเยว่ถอนหายใจ
ความจริงเธอก็เข้าใจเหตุผลดี
แต่พอนึกถึงว่าซิงเฉินจะต้องจากเธอไปหนึ่งปีเต็ม เธอก็รู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งตัว
ไม่นาน ก็ต้มยาเสร็จ
สองสามีภรรยานำยาไปที่โรงพยาบาล เพิ่งจะออกมาจากลิฟต์ ยังไม่ทันเดินมาถึงห้องของซิงเฉิน พยาบาลก็วิ่งออกมาอย่างรีบร้อน
“ท่านชายฉิน! คุณนายฉิน!”
“ช่างดีเหลือเกินค่ะ”
“คุณชายน้อยเขาฟื้นแล้วค่ะ!”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว มองไปที่กระบอกเก็บอุณหภูมิที่ถืออยู่ในมือตนเองโดยไม่รู้ตัว
นี่คือยาที่เธอเตรียมให้ซิงเฉินเป็นวันสุดท้าย
ตามที่เจียงหลีบอก หลังจากดื่มยามครับสามวันแล้ว ซิงเฉินก็จะตื่นขึ้นมา
แต่ถึงตอนนี้ ซิงเฉินเพิ่งจะดื่มไปได้แค่สองครั้ง ทำไมถึงตื่นขึ้นมาได้
ซูสือเยว่อึ้งตาค้าง ฉินโม่หานพุ่งตัวไปแล้ว ก้าวไปผลักประตูห้องผู้ป่วยเปิด
เป็นเรื่องจริง
บนเตียงผู้ป่วย เด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาเกือบหนึ่งสัปดาห์กำลังกะพริบตาคู่โตที่ดำขลับนั้น มองหน้าฉินโม่หานอย่างเงียบๆ
“คุณพ่อ”
“ลูกตื่นแล้ว!”
ซูสือเยว่ที่พุ่งตามเข้ามาด้านหลังวางยาในมือลงอย่างตื่นเต้น พุ่งตัวไปหาซิงเฉิน
“ซิงเฉิน!”
“หม่ามี๊เป็นห่วงลูกแทบตาย!”
“ขอบคุณครับหม่ามี๊”
ซิงเฉินเพิ่งตื่นขึ้นมา สีหน้ายังขาวซีด
เห็นซูสือเยว่พุ่งเข้าหาอ้อมกอดตนเองด้วยความตื่นเต้นดีใจขนาดนี้ เด็กน้อยรู้สึกภูมิใจทั้งยังอบอุ่นหัวใจ “ทำให้หม่ามี๊เป็นห่วงเลย”
แม่ลูกกอดกันอยู่นาน ในที่สุดซูสือเยว่ก็ปล่อยซิงเฉิน
“ทำไมถึงฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้”
ทันใดนั้น เสียงที่แฝงด้วยรอยยิ้มของเจียงหลีก็ดังมาจากประตู
ซูสือเยว่หันไปมองเธอตามสัญชาตญาณ ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่พูดขอบคุณกันเลยเหรอ”
เจียงหลีขมวดคิ้วก้าวเข้าไปในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ ไขว่ห้างมองหน้าซูสือเยว่ “ทำไม แค้นฉัน คิดว่าฉันจะแย่งลูกชายคุณไปเหรอคะ”
“ถ้าลูกชายคุณไม่ได้ถูกฉันช่วยชีวิตไว้ ฉันก็ไม่สนใจเขาหรอกนะคะ!”
พูดจบ หญิงสาวก็หันไปมองซิงเฉิน “รู้สึกยังไงบ้าง”
“ก็……ก็ดีครับ”
ซิงเฉินจ้องหน้า หดตัวถอยไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ
เด็กน้อยหลบที่ด้านหลังของซูสือเยว่ มือเล็กๆจับไหล่ของซูสือเยว่แน่น “หม่ามี๊ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครครับ”
เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้อันตรายอย่างมาก
“คือคุณหมอเจ้าของไข้ของลูก เธอชื่อว่าเจียงหลี”
ซูสือเยว่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นเบาๆเอาซิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอด
แม้ลูกของเธอจะฉลาดรู้เรื่องดีมาก จิตใจเป็นผู้ใหญ่มากว่าเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน แต่ซิงเฉินและซิงหยุน ทั้งสองคนนี้ก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่โตเท่านั้น
“ต่อไปลูกก็ต้องตามคุณหมอเจียงหลีคนนี้ไปด้วย ไปพักอยู่ที่ศูนย์ของเธอเป็นเวลาหนึ่งปีนะลูก”
“คุณหมอเจียงบอกว่า นี่ทำเพื่อร่างกายที่ดีของลูก สะดวกต่อเธอจะได้ดูแลสังเกตอาการของลูกได้ตลอดเวลา”
“ผมไม่เอา!”
แทบจะเป็นแรงสะท้อนกลับ ซิงเฉินส่ายหน้าจนเป็นเหมือนป๋องแป๋ง “ผมไม่อยากไปกับเธอ และก็ไม่อยากจากแด๊ดดี้กับหม่ามี๊ไป!”
คำพูดของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของซูสือเยว่เจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอย่างนั้น
เธอจะคิดจากซิงเฉินไปได้อย่างไรอีก
ซิงเฉินลูกคนนี้เพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ก็จะถูกผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเอาตัวไป และยังไม่สามารถติดต่อได้เป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เจอหน้า……
พอเธอนึกถึง ก็รู้สึกหายใจไม่ออก
“แต่พ่อของเธอได้เซ็นข้อตกลงกับฉันแล้ว เธอก็ต้องไปกับฉัน”
เจียงหลีย่อตัวลง มองใบหน้าของซิงเฉินอย่างเยาะเย้ย “ไปกับฉันเถอะ ฉันจะเอาใจใส่เธอให้มากกว่าแม่ของเธอแน่นอน จะได้ดูแลเธออย่างดี”
“อีกอย่าง หนึ่งปีให้หลัง เธอก็ยังสามารถพบเจอกับพ่อแม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก ถูกมั้ย”
ซิงเฉินกัดฟัน สายตาจับจ้องผู้หญิงตรงหน้า “คุณนามสกุลเจียง คุณหมอเจียงเหรอครับ”
เจียงหลีพยักหน้า “แน่นอนว่าคือฉัน
รูม่านตาของเด็กน้อยหดลงทันที
เขายังจำภาพก่อนที่ตนเองจะหมดสติไปได้
มีผู้ชายคนหนึ่งกดเขาเอาไว้ในป่า จากนั้นก็หันไปทางชายป่าตะโกนเรียกชื่อใครคนหนึ่ง “คุณหมอเจียง ผมจับไอ้ตัวเล็กนี่ได้แล้ว คุณรีบมาเร็ว!”