My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 54 ความกังวลของลีฟา

My Death Flags Show No Sign of Ending

[ เดี่ยวสิ! นายทำอะไรกับเอลล์ ?! ] – ลีฟา

 

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะเอลล์และฮาโรลด์

ลีฟา ผู้ที่พึ่งเก็บชิ้นส่วนตัวอย่างของมังกรไฮดร้าเสร็จ กำลังมุ่งตรงมายังพวกเขาพร้อมกับชุดคลุมสีขาวที่มีรอยคราบแดงๆเปื้อนอยู่ตามชุดหลายต่อหลายจุด ในสายตาของเธอ มันคือภาพของฮาโรลด์ที่กำลังรังแกเอลล์อยู่

ฮาโรลด์หยุดลีฟาด้วยมือขวาของเขาเพียงข้างเดียว เขาคว้าไปที่หัวเล็กๆของเธอ ด้วยท่าที่เรียกว่ากรงเล็บพิฆาต

 

[ เมี๊ยวว !? ] – ลีฟา

 

ลีฟาเผลอส่งเสียงร้องแปลกๆออกมา เพราะความตกใจและความเจ็บปวดที่จู่ๆเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

การได้เห็นมนุษย์ที่เปียกโชกไปด้วยเลือดกำลังเดินเข้ามาหามันทำให้ฮาโรลด์รู้สึกขยะแขยง แม้ว่าตัวเขาเองก็ชุ่มไปด้วยเลือดของไฮดร้าที่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้เหมือนกันก็เถอะ

ไม่มีประโยชน์ที่จะหยุดลีฟาต่อไป แม้ว่าเธอยังพยายามต่อต้านก็ไม่มีปัญหา ดังนั้นเขาจึงปล่อยเธอเป็นอิสระ และลีฟาที่ตอนนี้หลุดจากท่ากรงเล็บพิฆาตของฮาโรลด์ เธอทิ้งระยะห่างออกมา และขู่เขาฟ่อๆ

นี่มันแมวชัดๆ

ฮาโรลด์เลิกสนใจเธอ และปิด “สวิตช์” ของเขา ทำให้ความกระหายในการต่อสู้ของเขาค่อยๆลดลง

ฮาโรลด์เรียกมันว่าสวิชต์เพื่อความสะดวกเฉยๆ จริงแล้วมันเป็นอะไรคล้ายๆกับการเปลี่ยนจิตสำนึกของเขาไปเป็นจิตสำนึกดั้งเดิมของฮาโรลด์เพื่อให้เขามีความสามารถในการต่อสู้เช่นเดียวกับฮาโรลด์ในเกมส์

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าจิตสำนึกของ ฮิราซาวะ คาซุกิ จะถูกตัดขาด เขาคิดว่ามันเป็นเทคนิคควบคุมจิตใจวิธีหนึ่งที่สามารถนำจิตสำนึกดั้งเดิมของฮาโรลด์มาใช้งานได้ จริงๆแล้วเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจและไม่รู้รายละเอียดวิธีใช้ที่ชัดเจนหรอกนะ

จากที่เขาเดา เขาเชื่อว่าตัวตนของฮาโรลด์คนก่อนยังคงหลับไหลอยู่ภายร่างกายหรือจิตใจของร่างนี้ด้วยกฎอะไรบางอย่างของโลกนี้ 

เขาเริ่มเอะใจสงสัยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆเช่น การที่ร่างกายหรือปากของเขาตอบสนองไปเอง ใครกันเป็นคนควบคุมร่างกายและปากนี้ ?

และอีกครั้งตอนที่เขากำลังต่อสู้กับริทเซลท์ จิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาจากส่วนลึกภายในจิตใจของเขาเป็นของใครกัน ?

ข้อสรุปต่างๆที่ค่อยๆประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างและได้คำตอบว่า 

 

 {ตัวตนดั้งเดิมของฮาโรลด์อยู่ภายในร่างกายนี้ }

 

เพื่อยืนยันสมมุติฐาน ฮาโรลด์ลองหลากหลายวิธีนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้ง เขาพาตัวเองไปกลางสนามรบที่มีอันตรายถึงชีวิต บางครั้งเขาพยายามลบจิตสำนึกของตัวเอง บางครั้งเขาพยายามนั่งสมาธิเพื่อปล่อยจิตให้ว่างและตัดขาดจากสติสัมปชัญญะของตัวเอง

เขาคิดว่าในไม่ช้าพลังนี้จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้ต่อกรกับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ผลก็คือ ฮาโรลด์เรียนรู้ทักษะใหม่ที่ชื่อ “สวิชต์”  เขาเองก็ไม่รู้ว่าสมมุติฐานที่ฮาโรลด์ยังคงหลับอยู่ในร่างนั้นถูกต้องหรือเป็นเพราะการควบคุมจิตใจของตัวเองของเขาเลเวลอัพกันแน่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชัดเจนคือ หากเขาใช้ “สวิชต์” มันจะเปลี่ยนความกลัวที่เกิดจากการต่อสู้ของเขาไปเป็นสัญชาตญาณในการต่อสู้แทน มันทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ในการต่อสู้ที่เรียกได้ว่ามีชีวิตเป็นเดิมพันเขาเองก็ไม่สะดุ้งหรือตื่นกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ ทั้งร่างกายและทักษะในการต่อสู้ของเขาเหนือกว่าฮาโรลด์ในเนื้อเรื่องของเกมส์ไปแล้ว เขามีความรู้และความเข้าใจในรูปแบบการต่อสู้ของตัวเองเป็นอย่างดี และยังมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ของฮาโรลด์แบบในเกมส์มาลบจุดอ่อนอีกด้วย

ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่ง เขาเกือบจะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดที่ ฮาโรลด์ สโตร์กคนนี้จะไปถึงขีดจำกัดได้แล้ว และหากพูดถึงราคาที่ต้องจ่ายจากการใช้ทักษะ “สวิชต์”มันก็มีเพียงที่ว่าคำพูดและคำถากถางของเขาจะรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องจากจำเป็นต้องการหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ปากของเขาจะทำให้สถานการณ์ต่างๆเลวร้ายลงกว่าเดิม เขาจึงมักจะใช้โหมดสวิชต์โดยพยายามที่จะไม่ยุ่งกับใครเท่าที่จะเป็นไปได้

 

[ ใจเย็นก่อนลีฟา เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอกนะ ] – เอลล์

 

เอลล์กล่าวออกมาแก่ลีฟาอย่างใจเย็น ผู้ที่ยังไม่เลิกขู่ฟ่อๆซักที

 

[ แล้วทำไมเธอถึงกำลังคุกเข่าอยู่ล่ะ ?! ] – ลีฟา

[ อ้อ ตอนนี้ฉันกลายเป็นลูกน้องของเขา-..ไม่สิ ลูกน้องของท่านฮาโรลด์แล้ว ] – เอลล์

[ เอ๊ะ ? ] – ลีฟา

 

จากคำพูดของเอลล์ ลีฟาถึงกับเผลอส่งเสียงร้องออกมา ฮาโรลด์เองก็เผลอส่งเสียงร้องออกมาภายในหัวเช่นกัน

เอลล์กล่าวว่าที่เธอคุกเข่านั้นเพราะเธอกลายเป็นลูกน้องของฮาโรลด์ ซึ่งมันก็ฟังดูเมคเซนต์ดี แต่อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจจริงๆของฮาโรลด์คือความสัมพันธ์แบบมีประโยชน์ร่วมกัน โดยเขาจะให้ความช่วยเหลือกับตระกูลกิฟเฟลต์เพื่อตามหา {บันทึกของดวงดาว} แลกกับความช่วยเหลือของเอลล์

หากลองกลับไปคิดดูดีๆเกี่ยวกับการเจรจาก่อนหน้านี้ มันก็เป็นจริงที่ว่าคำพูดของฮาโรลด์ฟังดูเหมือนต้องการแบบนั้น แม้ว่าจริงๆเขาไม่ได้ต้องการให้กลายเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้อง บางที นี่อาจเป็นเพราะเขาเผลอเปิดสวิชต์ทิ้งไว้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงแรงกดดันมากกว่าปกติ

เพราะมัวแต่รู้สึกตื่นเต้นจากการต่อสู้กับมังกรไฮดร้ามากเกินไปจนเผลอมองข้ามเรื่องนี้ มันจึงทำให้เขาก็รู้สึกแย่ที่เอลล์เติมคำเรียกเขาว่า “ท่าน” ในชื่อของเขา

 

( เดี่ยวสิ แล้วทำไมเอลล์ถึงยอมเป็นลูกน้องล่ะเนี้ย ? ปกติแล้วเธอจะต้องปฎิเสธการเป็นลูกน้องของผมหรืออะไรทำนองนั้นไม่ใช่หรอ ? ) – ฮาโรลด์

 

ในตอนนี้ เขาอุส่าคิดว่าได้พรรคพวก แต่กลับกลายเป็นได้ลูกน้องแทน ฮาโรลด์ไม่เคยคิดที่จะอยู่เหนือกว่ากิฟเฟลต์แต่อย่างใด เพราะอย่างแรกเลย เขาเองก็ไม่คิดว่าจะสามารถรับมือกับเอลล์ที่เป็น 1 ในตระกูลกิฟเฟลต์ไหว แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็ตาม

 

[ อย่าเข้าใจผิด ทั้งหมดที่ชั้นหมายถึงคือจะให้เธอมาทำงานให้ก็เท่านั้น,งี่เง่า ] – ฮาโรลด์

[ ฉันเข้าดีว่าตอนนี้ตัวของฉันไม่สมควรที่จะได้รับความไว้วางใจจากนายท่าน แต่ว่า ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองคู่ควรด้วยการกระทำจากนี้ต่อไป ] – เอลล์

 

ชิบหาย เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮาโรลด์อยากจะสื่อเลยซักนิด

ทั้งภาษาที่เธอใช้พูดด้วยความเคารพกับเขาที่หาฟังไม่ได้แม้แต่ในเกมส์ อีกทั้งบุคลิคก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันเกินกว่าคำว่าแปลกประหลาด นี่มันยิ่งกว่าน่าขนลุก

 

[ ทะ- เธอหมายความว่าไงกับคำว่า “ลูกน้อง” ? อย่าบอกนะว่าเธอถูกหมอนั้นข่มขู่- ] – ลีฟา

[ ไม่ใช่หรอก มันเป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง ] – เอลล์

 

แม้ว่าลีฟาจะพยายามเค้นเอาความจริงกับเอลล์ แต่เอลล์กลับปฎิเสธออกมาตรงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำพูดของเอลล์ผิดไป ดังนั้นฮาโรลด์จึงไม่มีความผิดอะไร

ในตอนแรกหลังจากเห็นภาพนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ลีฟาจะสงสัยฮาโรลด์ จึงเป็นปกติที่เธอจะแสดงปฎิกิริยาเป็นปฎิปักต่อเขาอย่างชัดเจน ตอนนั้นเธอคิดว่าเจ้าหมอนี่มันช่างยิ่งกว่าขยะเสียจริง

อาจเพราะเธอปักใจเชื่อไปกว่าครึ่งแล้วเกี่ยวกับข่าวลือเสียๆหายๆของฮาโรลด์ ซึ่งฮาโรลด์ก็รู้สึกแย่เช่นกันที่มันมำให้ลีฟาจะต้องรู้สึกไม่ดีหรือถึงขั้นเกลียดเขาโดยที่ไม่จำเป็นเลยซักนิด เอาเถอะ หลังจากนี้ทั้งลีฟาและเอริกะจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนนั้นก็หวังว่าเอริกะจะช่วยไขความเข้าใจผิดในตัวของฮาโรลด์ให้ลีฟาเข้าใจเอง คงไม่เสียหายอะไร ตอนนี้คงทำได้แค่ปล่อยให้มันกวนใจเขาไปก่อน

 

[ หากเธออยากให้ชั้นเชื่อใจ อย่างแรก หยุดไอ้บุคลิคแปลกๆนั้นซะ ] – ฮาโรลด์

[ เอ๋ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ? ฉันอุส่าคิดว่าเป็นการแสดงบทบาทผู้ภักดีที่สมบูรณ์แบบแท้ๆ ] – เอลล์

[ ใช่ มันทำให้ชั้นขนลุก ] – ฮาโรลด์

[ เข้าใจล่ะว่าฉันแสดงได้อย่างล้มเหลว ] – เอลล์

 

ฮ่าๆๆ เอลล์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกับสู่บุคลิคปกติอย่างรวดเร็ว 

บางที ที่เธอแสดงกิริยาเช่นนั้นอาจเพราะแค่อยากจะล้อเลียนเขาเฉยๆ ? ไม่ก็เป็นเพราะข้อมูล {บันทึกของดวงดาว} ล่ะมั้งที่ทำให้เธอวางตัวเกินความจำเป็น ?

ไม่ว่าจะจริงจังหรือล้อเล่นก็เถอะ ฮาโรลด์ก็อยากจะแก้ไขเรื่องที่เธอเป็นลูกน้องของเขา แต่พักเรื่องนั้นไว้ก่อน สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการลงจากภูเขา แม้ว่าอากาศตอนนี้จะแจ่มใส หรือเรียกได้ว่าแดดแรงเลยล่ะ แต่อุณหภูมิกลับค่อนข้างต่ำ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเลขหลักเดียวเลยล่ะมั้ง

อีกทั้งลีฟาเธอยังสวมแค่กระโปรงสั้น เอลล์เองก็สวมแค่ชุดเอี้ยมหลวมๆ เสื้อด้านในก็ไม่ได้สวมอะไรนอกจากมีผ้าพันๆรอบอกเท่านั้น “นี่พวกเธอไม่หนาวรึไง ?”

เอาเถอะ ในเกมส์เองเอริกะก็ขึ้นไปบนภูเขาหิมะสบายๆโดยสวมแค่ชุดฮากามะและรองเท้าคีบไม้เท่านั้นเอง และโดยทั่วๆไป คนอื่นๆในปาร์ตี้ผู้กล้าก็สวมชุดบางๆกันทั้งนั้น คงเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งค่าในเกมส์ทั่วไปล่ะมั้งนะ ?

 

[ มันเสียเวลาเปล่าหากอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับกันเถอะ ] – ฮาโรลด์

[ อ่าใช่ ไงก็เถอะฮาโรลด์ หลังจากนี้ นายจะกลับเมืองหลวงเลยหรอ ? ] – เอลล์

[ ใช่ ] – ฮาโรลด์

[ เมืองหลวงสิน้า  ฉันเองก็ไม่ได้ไปที่นั้นเกือบ 2 ปีแล้ว ] – เอลล์

[ แล้วไง ? เธอมีธุระอะไรที่เมืองหลวงรึไง ? ] – ฮาโรลด์

[ ธุระ ? อืมก็ ฉันแค่จะตามนายไปด้วยแค่นั้นแหละ – ] – เอลล์

[ ห๊ะ ? ] – ฮาโรลด์

 

เอลล์พยายามติดตามฮาโรลด์ไปด้วยราวกับเป็นคู่หูของเขา ตอนแรกฮาโรลด์กะจะปฎิเสธในทันที แต่ว่าพอได้ฉุกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูอีกรอบ ตอนนี้เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งอัศวินแล้ว ดังนั้นเมื่อเขากลับไปยังเมืองหลวง ที่ๆเขาใช้พักอยู่อาศัยก็คือที่ศูนย์วิจัย และในศูนย์วิจัยก็มียูสตัสอาศัยอยู่เช่นกัน

รึว่า บางที “ผมอาจสามารถใช้เอลล์ล้วงข้อมูลบางอย่างมาได้บ้างหากผมแนะนำเอลล์ให้ยูสตัสรู้จัก?” 

ต้องขอบคุณความรู้จากเกมส์ ฮาโรลด์รู้มาคล่าวๆว่ายูสตัสมีแผนการอะไรและจะดำเนินแผนการยังไงบ้าง แต่ทว่ามันยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะทำลายแผนของยูสทัส แม้ว่าจะมีความรู้จากเกมส์ แต่ตอนนี้ฮาโรลด์ก็ไม่รู้ว่ายูสตัสดำเนินแผนการถึงขั้นไหนแล้ว แล้วก็ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ก็เถอะ มีความเป็นไปได้สูงที่เหตุการณ์ในโลกนี้อาจถูกเบี่ยงเบนจนไม่เหมือนเหตุการณ์ในเกมส์แล้วก็เป็นได้ และหากเป็นอย่างงั้นจริง ความรู้จากเกมส์ที่เขามี มันจะไร้ประโยชน์ในทันที

ดังนั้นแผนของฮาโรลด์จึงมุ่งเน้นไปทางการรับมือที่รวดเร็วต่อเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ยูสตัสจะเป็นคนก่อขึ้น

เขาจะให้ไลเนอร์และคนอื่นๆในปาร์ตี้เป็นคนลงมือจริงๆ ส่วนฮาโรลด์มีเป้าหมายหลักคือการสนับสนุนกลุ่มของไลเนอร์อย่างลับๆ และเพื่อทำจุดประสงค์นั้นให้สำเร็จ เขาจึงพยายามรวบรวมผู้คนอยู่เรื่อยๆ และครั้งนี้ การที่เขาได้รับเอลล์มาเป็นพรรคพวก ถือเป็นชัยชนะเล็กๆของเขาเลยก็ว่าได้

ด้วยความสามารถของเอลล์ บางที เขาอาจจะสามารถคาดการณ์แผนของยูสตัสได้ว่าดำเนินการถึงขั้นไหนแล้ว

 

[ หลังจากนี้พวกเราคงได้มีโอกาสที่จำเป็นจะต้องติดต่อกันเรื่อยๆ ดังนั้น ชั้นจะบอกที่ตั้งสถานที่ที่พวกเราจะใช้ติดต่อกันในเมืองหลวงเอาไว้ก่อน ] – ฮาโรลด์

[ หืม ? ได้ตามที่นายต้องการ ] – เอลล์

 

มันเป็นเรื่องจริงที่พวกเขาทั้ง 2 จำเป็นจะต้องพบกันบ่อยขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดก็มีความจริงอยู่บ้าง นอกจากนี้ ถ้าเป็นเอลล์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้อมูลของเขาจะรั่วไหล แม้ว่าจะแนะนำเอลล์ให้ยูสตัสรู้จักก็ตาม

สิ่งเดียวที่เขายังสงสัยคือ เอลล์รู้เรื่องของฮาโรลด์มากแค่ไหน

จากที่ฟังๆมา ดูเหมือนเอลล์จะรู้ตั้งแต่เขาเข้าร่วมกับกองอัศวินจนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นล่ะ ? เธอรู้อะไรบ้างรึปล่าว ? เมื่อพิจารณาจากความสามารถของตระกูลกิฟเฟลต์ มีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องของคลอเล็ตและเรื่องการทำฟาร์มแบบ LP จะถูกล่วงรู้ไปแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ได้

 

[ งั้น ฉันจะไปด้วย ! ] – ลีฟา

 

มันเป็นความรู้สึกราวกับเวลาหยุดเดิน หลังจากได้ยินคำพูดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของลีฟา

ทั้งฮาโรลด์และเอลล์ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆว่าทำไมเธอถึงอยากจะติดตามพวกเขาไปด้วย

 

[ เพื่อ? ยัยบ๊องนี่ทำไมชอบคิดอะไรตื้นๆ แต่ว่าอย่างน้อยการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก็ยังเป็นข้อดีของเธอ ] – ฮาโรลด์

[ อะไรห๊ะ ? ทำไมเอลล์ไปด้วยได้ แต่ฉันไม่ล่ะ ? ] – ลีฟา

 

แม้ว่าน้ำเสียงที่ฮาโรลด์กล่าวออกมามันฟังดูราวกับประชดประชัน แต่ทุกๆคำพูดก็เป็นความจริง นั้นเพราะหากลีฟาไม่ได้พบกับกลุ่มของไลเนอร์และกลายเป็นพรรคพวก นั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่

เขาก็เข้าใจนี้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้ถูกผูกมัดที่จะต้องทำให้เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเป๊ะๆ ดังนั้นคุณจะเลือกเส้นทางที่ลีฟาไม่ได้เข้าร่วมเป็นพรรคพวกของกลุ่มผู้กล้าก็ได้ แต่นั้นมันค่อนข้างชิบหาย นั้นเพราะความแข็งแกร่งของกลุ่มผู้กล้าจะลดลงเป็นอย่างมาก แถมลีฟายังเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกพิษที่ระบาดอยู่ในดินแดนสุเมรากิอีกด้วย

ดังนั้น หากลีฟากลายมาเป็นพรรคพวกของเขา มันจะมีแต่ความชิบหายมากกว่าผลดี ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ให้ได้

 

[ ถูกแล้ว เอลล์มีประโยชน์กับชั้น แต่เธอไม่ ] – ฮาโรลด์

[ ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นลูกน้องของนายซะหน่อย ฉันแค่เป็นห่วงเอลล์ ดังนั้นฉันจะตามพวกนายไปที่เมืองหลวงด้วยและเดินทางกลับหมู่บ้านของฉันหลังจากนั้น ] – ลีฟา

 

ลีฟากล่าวออกมาขณะแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ

เห็นได้ชัดว่าฮาโรลด์ด่วนสรุปเกินไปหน่อย และจากท่าทีของลีฟา เธอเองก็ดูไม่อยากจะร่วมทางไปกับเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอตามมาถึงแค่เมืองหลวงก็ไม่ใช่ปัญหา แถมไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าหากลีฟาเดินทางกลับหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียวจะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตของเธอ ดังนั้นการที่เธอติดตามมาด้วยจนถึงเมืองหลวงจึงสามารถช่วยยืนยันความปลอดภัยของเธอได้ในระดับหนึ่ง

 

[ กังวัล ? กังวลอะไรกับเอลล์ ? ]  – ฮาโรลด์

[ ใช่ ! ไม่มีทางที่ฉันจะยอมให้เอลล์จังตกไปอยู่ในมือของคนอย่างนาย ! ] – ลีฟา

(เธอรู้จักเอลล์ดีขนาดนั้นรึไงฟร่ะ?) – ฮาโรลด์

 

ฮาโรลด์รู้ดีว่าความน่าเชื่อถือของตัวเองมันต่ำเตี้ยเรี้ยดิน เขาจึงยอมทนตบมุขยัยนี่ต่อไปในใจก็ได้

 

 

เอลล์กำลังจ้องมองไปยังฮาโรลด์ ผู้ที่กำลังก้าวเดินนำทางกลุ่มของพวกเราด้วยการเดินอย่างรวดเร็ว และเอลล์ก็ไม่เข้าใจในตัวของฮาโรลด์เลยซักนิด

แม้ว่าสีหน้าจะดูเหมือนไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆแล้วเขากลับดูสนุกตอนที่ได้ยั่วยุลีฟา ไม่ใช่ว่าไอ้คิ้วขมวดๆนั้นคือการตั้งค่าเริ่มต้นของฮาโรลด์หรอกหรอ? บางที อาจเพราะสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรและดูโกรธอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เขาดูเป็นคนไม่ดี

3 วันมาแล้วที่พวกเขาเดินทางออกมาจากภูเขากิแรน สิ่งเดียวที่เอลล์มองเห็นบนใบหน้าของฮาโรลด์ คือสีหน้าที่อารมณ์ไม่ดีตลอดเวลา และรอยยิ้มเหน็บแหนมที่มักจะสวมอยู่เสมอเวลาพูดยั่วยุลีฟา

ฮาโรลด์เป็นคนที่พูดน้อย และวิธีการพูดของเขาก็แย่เอามากๆ ดูราวกับว่าเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกๆคนรอบตัวกลายเป็นศัตรูของเขา เอลล์ไม่เข้าใจจริงๆถึงความตั้งใจของฮาโรลด์ แต่หากดูจากภายนอกคงไม่อาจพูดได้ว่าฮาโรลด์ดูเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ดีอะไร แต่เอลล์ก็คิดว่านี่เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งที่มีโอกาสได้พบเจอกับคนที่นิสัยแปลกๆมากกว่าคนทั่วๆไป ช่างเป็นความภูมิใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียจริง

ถ้าไม่ใช่เพราะเงื่อนไขที่อาจจะได้ข้อมูลของ{บันทึกของดวงดาว} เธอคงไม่ยอมลดตัวขนาดนี้ และหากเรื่องข้อมูล{บันทึกของดวงดาว}เป็นเรื่องโกหก เธอก็ไม่ลังเลที่จะหายตัวไปจากฮาโรลด์ทันที

นั้นคือความรู้สึกที่เอลล์มีต่อฮาโรลด์หลังจากใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้ไม่นาน

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาความรู้สึกของคนอื่นๆที่พวกเขาปฎิบัติกับฮาโรลด์ในแต่ละวัน

ความเกลียดชัง ความรังเกียจ การดูถูกเหยียดหยาม อารมณ์ความรู้สึกด้านลบต่างๆมุ่งตรงมาที่ชายที่ชื่อฮาโรลด์คนนี้ แม้ว่าสถานที่เหล่านั้นควรจะเงียบสงบ แต่เอลล์มักจะได้ยินบทสนทนา คำสบประมาท คำดูถูกนินทา ที่พอฟังบ่อยๆอาจทำให้เสียสติไปเลยก็ได้

นี่คือผู้คนที่ {สถาบันวิจัยและพัฒนาดวงดารา} ปฎิบัติต่อฮาโรลด์ ที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่

ลีฟาที่กระตืนลือล้นอยู่ตลอดการเดินทางจนถึงเมื่อซักครู่ กลับมายืนง่อยอยู่ข้างๆเอลล์ แม้ว่าเธอจะตื่นเต้นมากที่ได้นั่งเรือเหาะครั้งแรกในชีวิตเมื่อไม่กี่ชม.ก่อนหน้า และลีฟาที่ควรมีสภาพจิตใจแข็มแข็งกว่าคนธรรมดาทั่วๆไปกลับหวาดกลัวต่ออารมณ์ความรู้สึกด้านลบที่มุ่งเป้าไปที่คนอื่นไม่ใช่เธอ แม้แต่เอลล์เองก็พยายามจดจ่อกับการเดินและพยายามไม่คิดอะไรมากโดยหวังว่ามันจะช่วยให้เธอเดินได้เร็วขึ้น และพ้นๆจากสถานที่นี้เร็วขึ้นซักวิ 2 วิก็ยังดี

ยิ่งเข้ามาในศูนย์วิจัยลึกเท่าไหร่ ความเกลียดชังของผู้คนในที่นี่ยิงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าฮาโรลด์ จะถูกความเกลียดชังเหล่านั้นเล่นงานอยู่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลอะไรกับเขา เขาดูไม่กลัวต่อความรู้สึกด้านลบที่มุ่งมาหาเขาเลยซักนิด แต่เขาก็ไม่แสดงความโกรธใดๆเพื่อต่อต้านมันเช่นกัน ไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย หรือยอมถอย ไม่หลบหน้า ไม่อะไรเลย

ไม่แยแส นั้นคือคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับฮาโรลด์

 

( ฉันสงสัยจริงๆว่าฮาโรลด์มาถึงจุดๆนี้ได้ยังไงกัน .. ) – เอลล์

 

ต่อให้เป็นมิตรหรือศัตรู มันก็ยากมากสำหรับเอลล์ที่จะเพิกเฉยต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของฮาโรลด์ที่เป็นจุดศูนย์กลางที่มีคนจำนวนมากมุ่งความสนใจไปทางเขาขนาดนี้

เอลล์คิดว่าฮาโรลด์มีภาวะบกพร่องในด้านอารมณ์พื้นฐานที่คนทั่วๆไปควรมี

หากไม่เป็นเช่นนั้น เอลล์คงชื่นชมฮาโรลด์จากใจเลยที่ยอมโดนถึงขนาดนี้แม้ว่าแรงจูงใจที่ทำให้ฮาโรลด์ทำแบบนี้จะดีหรือร้ายก็ตาม

เท้าของฮาโรลด์หยุดอย่างกะทันหันที่ปลายทางเดิน ที่หน้าของเขามีประตูสีขาวบานหนึ่ง หลังจากเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็ถูกเปิดออก

เป็นชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ 30 กลางๆ คิ้วของชายคนนั้นขมวดทันทีที่รู้ว่าเป็นฮาโรลด์ บางทีเขาคงรังเกียจฮาโรลด์เข้าไส้เลยล่ะมั้ง ?

 

[ … มีธุระอะไร ? ] – ??

[ อย่าถามอะไรที่รู้อยู่แล้วได้มั้ย ปัญญาอ่อนรึไง? แกมีนิสัยชอบอวดความโง่ของตัวเองสินะ ] – ฮาโรลด์

( สุดยอด ทันทีที่เขาเปิดปาก การันตีได้เลยว่าเขาจะถูกเกลียด 100 % ) – เอลล์

 

มันเป็นสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก ไม่ใช่ว่าฮาโรลด์หวังผลลัพธ์ให้มันออกมาเป็นแบบนี้หรอ? ที่นี่ไม่มีพื้นที่ว่างให้ความเห็นอกเห็นใจเลยซักนิด นับประสาอะไรกับฮาโรลด์ เขาไม่สนใจคนรอบข้างด้วยซ้ำ ความเห็นอกเห็นใจสำหรับเขาคงถือว่าเป็นสิ่งไร้ค่า

ใบหน้าของชายที่ถูกปากของฮาโรลด์เล่นงานกลายเป็นสีแดงในทันที ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความโกรธอย่างเห็นได้ชัด 

แม้ว่าตัวเขาจะสั่นเพราะความโกรธ แต่กระนั้น ชายคนนี้ก็หลีกเลี่ยงที่จะปะทะฝีปากกับฮาโรลด์

 

[ ศาตราจารย์อยู่ระหว่างการทดลอง หากต้องการรายงานผลการปฎิบัติหน้าที่ของแก ก็กลับมาที– ] – ??

[ ชั้นแน่ใจว่าแกได้รับการแจ้งมาแล้วว่าต้องให้ความสำคัญกับผลการปฎิบัติหน้าของชั้นมากที่สุด หรือสมองของแกลืมแม้กระทั้งเรื่องนี้ ? ไปบอก”หมอนั้น”ได้แล้วว่าชั้นกลับมาแล้ว หรือว่าเรื่องแค่นี้ก็ยังทำไมไม่ได้ เอาเถอะหากแค่นี้ยังไม่มีปัญญาชั้นก็ไม่บังคับ ] – ฮาโรลด์

 

ปากของเขายังคงทำงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้ยินสิ่งเหล่านี้ เอลล์มั่นใจว่าฮาโรลด์ไม่ได้ต้องการให้ลีฟาเกลียดเขาขนาดนั้น คำพูดที่เขาใช้กับเธอกับชายคนนี้มันคนละระดับกันอย่างเห็นได้ชัด คำพูดของฮาโรลด์รุนแรงกว่าตอนที่ใช้กับลีฟาหลายเท่าตัวมาก

ชายคนนั้นโกรธจนตัวสั่น เขาสั่นจนดูราวกับเป็นลมบ้าหมูและพร้อมจะตายทุกเมื่อ แต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ และในตอนที่บรรยากาศอันแสนอึดอัดของพวกเขากำลังจะทะลุจุดเดือด

 

[ ชั้นเชื่อว่าการกระทบกระทั้งกันมีทั้งได้ประโยชน์และไร้ประโยชน์ แล้วที่พวกนาย 2 คนกำลังทำเป็นแบบไหนล่ะ ได้ประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ ? ชั้นไม่รู้เรื่องราวหรอกนะ แต่เดาๆว่ามันคงเป็นแบบหลัง ] – ยูสทัส

 

มันเป็นเสียงที่เรียบเชียบจนสงสัยว่าใช่เสียงของมนุษย์จริงๆหรอ ? มันดังมาจากหลังประตูสีขาวบานนั้น ตรงนั้นปรากฎร่างของชายคนหนึ่งที่มีผมสีขาวและใบหน้าซีดเซียว รูปร่างของเขาซุบผอม ด้วยท่าทางหลังค้อมๆทำให้เขาดูอ่อนแอ แต่ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของเขานั้นคือดวงตาที่เย็นฉาและหมองคล้ำ

เขาคนนี้คือ ยูสทัส ฟรอยด์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำคนหนึ่งของราชอาณาจักร

 

——————————-

ปล. ผู้แปลเป็นแฟนเดนตายเกมส์ LOL แล้วเกมส์ LOL เริ่มเปิดสนามแข่งเวิลด์ พน.วันที่ 19 ช่วงบ่ายเกือบทุกวัน แล้วผู้แปลมีเวลาแปลนิยายแค่ช่วงบ่ายเหมือนกัน ดังนั้น หลังจากตอนนี้เป็นต้นไปตอนใหม่จะมาช้าพอสมควร แต่จะพยายามให้ได้อาทิตย์ละตอน แต่ถ้า T1แพ้ก็จะนานกว่านั้น (ฮา) จนกว่าการแข่งเวิลของ LOL จะจบ ถึงจะกลับมาแปลด้วยความเร็วปกตินะ 

——————————

หนับหนุนหนมแมวเลียได้ที่

กสิกร / 0708329649 / กิตติพิขญ์

 

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท