My Death Flags Show No Sign of Ending – ตอนที่ 89 คนที่จะต้องฆ่าให้ได้อย่างแน่นอน

My Death Flags Show No Sign of Ending

[ มันกำลังมา ] – ???

 

และแทบจะในเวลาเดียวกับที่ชายคนนั้นพูดขึ้น รยางค์จำนวนหนึ่งที่รูปร่างของมันคล้ายเชือกแต่ดูอ่อนนุ่มเหมือนแส้พุ่งออกมาจากวัตถุทรงกลมนั้นและเข้าโจมตีฮิวโก้และคนอื่นๆ ฮิวโก้ดึงง้าวที่ผูกไว้ที่หลังของตนออกมาทันทีเพื่อเตรียมตอบโต้ เขาสามารถป้องกันรยางค์อันแรกเอาไว้ได้และตัดอันที่ 2 จนขาด แต่ทว่า เขาไม่สามารถรับมืออันที่ 3 ได้ทัน รยางค์เส้นนั้นได้พันเข้าที่ขาและดึงให้เขาล้มลง จากนั้นเขาก็ถูกยกขึ้นจนลอยกลับหัวแขวนบนอากาศ

 

[ อั๊กก ! ] – ฮิวโก้

 

แม้เขาจะถูกดึงจนหงายลงที่พื้นและถูกแขวนเอาไว้กลางอากาศ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แม้ว่าเขาจะพยายามใช้ง้าวของตนเพื่อช่วยตนเองให้หลุดออกมา แต่ว่าด้วยตำแหน่งที่ไม่มั่นคงและส่ายไปส่ายมา เขาอาจจะฟันโดนเท้าของตัวเองได้ และในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะทำอย่างไรดี ชายคนนั้นก็พูดขึ้น

 

[ เฮ้ย พวกแกทั้งคู่ หยิบนั้นแล้วออกไปจากซากปรักหักพังไปซะ! ] – ???

 

คำสั่งนั้นมีไว้เพื่อคนรับใช้ทั้ง 2 เมื่อฮิวโก้หันไปมองตามเสียงนั้น เขาก็พบกับดาบเล่มหนึ่งถูกปักจมอยู่ที่ผนังข้างๆกับคนรับใช้ทั้ง 2

บางที ดาบเล่มนั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ภายในหีบสมบัติ ชายในชุดคลุมได้เขวี้ยงมันไปแถวๆที่ 2 คนรับใช้ยืนอยู่ และระหว่างทางที่ดาบพุ่งไป มันได้ตัดรยางค์ที่พันธนาการฮิวโก้ไว้อีกด้วย บางที เขาคงไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมทางทั้ง 2 คนนั้นเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย

และตามคำสั่งของชายในชุดคลุม พวกเขาทั้งคู่ดึงดาบออกจากผนังและออกจากห้องนี้ไปทันที แน่นอนว่าวัตถุทรงกลมนั้นพยายามไล่ตามพวกเขาทั้งคู่ไป แต่ทว่าชายในชุดคลุมกลับเข้ามาขวางทางเอาไว้ และฮิวโก้ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็พูดขึ้นว่า

 

[ เฮ้ย! พวกเราก็หนีบ้างได้แล้ว ! ] – ฮิวโก้

[ ไอ้สิ่งนั้นเป็นเหมือนกับสุนัขเฝ้าบ้าน มันจะไม่หยุดไล่ตามพวกเราจนกว่าจะเอาสมบัติที่ถูกขโมยไปกลับมาได้ ] – ???

[ นายเปรียบมันเป็นเหมือนสุนัขเนี้ยนะ ? สุนัขมันควรจะน่ารักไม่ใช่หรือฟร่ะ ? เห้ยจะอะไรก็ช่าง ถ้าพวกเราหนีตอนนี้ เราน่าจะรอดไปได้ ! ] – ฮิวโก้

[ พวกเรา? พวกเราอะไร? แค่นายก็พอ ] – ???

 

ฮิวโก้ไม่มีอะไรจะแย้งได้อีกกับคำพูดของชายในชุดคลุมที่กำลังมุ่งความสนใจไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เพราะในตอนนี้ฮิวโก้ได้เข้าใจในสิ่งที่ชายคนนี้พยายามจะสื่อแล้ว ถึงแม้ว่าฮิวโก้จะเรียกหมอนี้ว่าไอ้จอมเผด็จการ แต่เขาคนนี้ก็พยายามยื้อศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้มันไล่ตามพวกพ้องของเขาออกไป รวมถึงนักผจญภัยคนอื่นๆที่ยังอยู่ภายในซากปรักหักพังแห่งนี้

ตั้งแต่ฮิวโก้ทำให้พวกตุ่นสว่านคลุ้มคลั่ง นักผจญภัยคนอื่นๆคงสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดและคงทยอยกันกลับขึ้นด้านบน แต่ทว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากมีนักผจญภัยบางคนยังมีเหตุจำเป็นที่จะต้องอยู่ภายในซากปรักหักพังต่อ หรือพวกเขาไม่สังเกตุเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงภายในซากปรักหักพังตั้งแต่แรก ? จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเจ้ามอนเตอร์ตัวนี้ ? แน่นอนว่าเหตุการณ์คงไม่จบลงด้วยดี ไม่ว่าฮิวโก้จะมองมุมไหน การจัดการเจ้ามอนเตอร์ทรงกลม ณ ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้

จะมีสักกี่คนกันที่ยังสงบสติอารมณ์ของตนอยู่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมอนเตอร์ไม่รู้จักที่จู่ๆก็โผล่ออกมาอย่างกระทันหัน แถมยังตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่คำนึงถึงอันตรายต่อตัวเอง ? เพียงแค่นี้ฮิวโก้ก็รับรู้ได้ทันทีว่าชายในชุดคลุมคนนี้ผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายมาอย่างโชกโชน

เมื่อมองย้อนกลับไปพิจารณาจากบุคลิกของชายคนนี้ เขาควรเลือกที่จะหนีไปโดยใช้ฮิวโก้เป็นเหยื่อล่อ เมื่อถึงตอนนั้น ฮิวโก้เองก็คิดว่าเขาคงจะสู้หลังชนฝาแน่ๆเพื่อเอาชีวิตให้รอดไปได้ และนั้นทำให้เขาเป็นเบี๊ยที่สมบูรณ์แบบสำหรับการซื้อเวลา

แต่ว่า ชายคนนี้กลับเข้ามาช่วยเหลือเขาอย่างไม่ลังเล และตอนนี้ เขาก็กำลังจับดาบเพื่อปกป้องพวกพ้องของเขาและนักผจญภัยคนอื่นๆที่เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ เพื่อที่พวกเขาจะไม่ต้องซวยติดร่างแหไปด้วย

ถึงชายคนนี้จะเป็นไอ้จอมเผด็จการสุดเย่อหยิ่งและไม่รู้จักความหมายของคำว่ากลัว แต่บางที เขาเองก็มีหัวใจที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกัน

 

[ … เข้าใจล่ะ หรือก็คือ ถ้าพวกเราจัดการเข้าสิ่งนี้ลงได้ ปัญหาทุกๆอย่างก็จะคลี่คลาย ] – ฮิวโก้

[ พวกเรา ? นายก็จะไม่หนีไปงั้นเรอะ ? ] – ???

[ ข้าไม่ขี้ขลาดตาขาวขนาดหนีไปโดยทิ้งให้นายจัดการด้วยตัวคนเดียวได้หรอก! ] – ฮิวโก้

[ งั้นก็รู้ไว้อย่าง ชั้นจะไม่ช่วยแกรอบสองหรอกนะ ] – ???

[ ชิ จริงๆข้ารับมือได้หรอกน่า ถ้าหากแกพูดให้มันดังๆฟังชัดกว่านี้! อะไรกันฟร่ะไอ้ “มันกำลังมา” น้ำเสียงฟังดูเหมือนพูดลอยๆชัดๆ จนข้าเกือบคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เสียงของนกตัวน้อยน่ารักๆ!! ] – ฮิวโก้

[ อย่ามาโทษกันสิวะไอ้งั้ง ! แกก็เอาแต่เสียงดังอยู่ตลอดเวลาเหมือนเป็ดโดนเหยียบหางน่ารำคาณเป็นบ้า นอกจากนี้ถ้าชั้นไม่อยู่ด้วย แกคงจอดไปแล้ว รู้ตัวสักทีว่าตรรกะของแกมันผิดเพี้ยนขนาดไหน ] – ???

[ หุบปากไปเลยไอ้งั้ง! ] – ฮิวโก้

 

ในขณะที่ทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนวาจากันอย่างรุนแรง การต่อสู้ที่ดุเดือดก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน เนื่องจากร่างกายที่ใหญ่โตของเจ้ามอนเตอร์ การโจมตีด้วยรยางค์ของมันจึงค่อนข้างรุนแรงและรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุนี้เองทำให้ร่างกายทรงกลมของมันแทบจะไม่มีความเร็วใดๆเลย นอกเสียจากระยางค์ที่ใช้โจมตีด้วยความเร็วสูงและปกคลุมร่างกายของตัวเอง ทำให้มันสามารถโจมตีและป้องกันตัวได้อย่างอิสระ

และที่แย่ไปกว่านั้น แม้ว่าจะตัดรยางค์ของมันได้ แต่ก็มีเส้นอื่นๆงอกออกมาแทนที่ทันที และแม้ว่าจะฝ่ารยางค์เหล่านั้นเข้าไปโจมตีโดนร่างทรงกลมของมันได้บ้าง แต่ด้วยเปลือกนอกที่ทั้งหนาและแข็งของมันจึงทำให้การโจมตีแทบจะทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะโจมตีโดนไปกว่า 10 รอบแล้วก็เถอะ

 

[ บ้าชิบ รยางค์พวกนั้นออกมาไม่มีที่สิ้นสุดเลย! ] – ฮิวโก้

[ นายจะบ่นอีกนานมั้ย? เมื่อกี่ยังพูดอะไรเท่ๆอย่างการจะอยู่ต่อเพื่อสู้ด้วยอยู่เลย ] – ???

[ บ่น ? บ่นอะไร ตอนไหน?! เช็คประสาทหุของนายบ้างนะเพราะดูท่าจะเพี้ยนแล้ว! ] – ฮิวโก้

 

ฮิวโก้ตอบกลับอย่างฉุนเฉียวเหตุเพราะถูกชายในชุดคลุมยั่วยุใส่

แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ฮิวโก้ถึงทางตันและไม่มีแผนดีในหัวเลย แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่นัก เพราะการเผชิญหน้ากับเจ้ามอนเตอร์ตัวนี้ค่อนข้างง่ายสำหรับเขา แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่ามอนเตอร์ตัวนี้กระจอกแต่อย่างใด แต่การต่อสู้นี้ง่ายสำหรับฮิวโก้เพราะมีชายในชุดคลุมอยู่ด้วยต่างหาก

นั้นเพราะเมื่อใดที่ฮิวโก้หลบไม่ทัน ชายคนนั้นจะเข้ามาแทรกแซงและปิดช่องว่างของฮิวโก้อย่างง่ายๆ และดูเหมือนกับว่าเขาเข้าใจและรู้ถึงสไตล์การต่อสู้ของฮิวโก้เป็นอย่างดีเพราะ เขาไม่เคยพลาดเข้ามาในระยะการโจมตีของฮิวโก้เลยซักครั้ง

และตรงกันข้าม หากฮิวโก้เริ่มหุนหันพลันแล่นและใช้การโจมตีแปลกๆเพื่อทำลายการป้องกันของศัครูหรือเพื่อชิ่งความได้เปรียบ บางครั้งชายชุดคลุมจะสั่งกับฮิวโก้ว่า [หมอบ] หรือ [ กระโดดถอยออกมา ] และทันทีที่ฮิวโก้ทำตามคำแนะนำนั้น จะมีการโจมตีที่ฮิวโก้มาจากจุดบอดที่เขาไม่สังเกตุเห็นพุ่งเข้ามาอยู่เสมอ

นั้นหมายความว่าชายคนนี้สามารถประเมิณรูปแบบการโจมตีและระยะการโจมตีของเจ้ามอนเตอร์นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฮิวโก้ไม่สามารถจินตนาการออกได้เลยว่าเขาต้องมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมายขนาดไหนถึงจะสามารถบรรลุทักษะได้ถึงขนาดนี้

ด้วยเหตุนี้ การที่มีชายคนนี้อยู่เคียงข้าง ไม่มีอะไรที่น่ามั่นใจไปมากกว่านี้อีกแล้วสำหรับฮิวโก้

 

[ ชิ ช่วยไม่ได้แฮะ คงต้องใช้ท่าไม้ตายจัดการมันเสียแล้ว! ] – ฮิวโก้

 

ฮิวโก้กล่าวออกมาเสียงดังราวกับให้กำลังใจตัวเอง เมื่อถึงจุดๆนี้ ฮิวโก้ก็เดาออกว่าชายในชุดคลุมพยายามทำอะไรกันแน่

หมอนี่พยายามตรวจสอบความแข็งแกร่งของฮิวโก้ นั้นเพราะถ้าชายคนนี้คิดจะจัดการมอนเตอร์ตัวนี้จริงๆ เขาคงทำมันได้ง่ายๆอย่างกับบี้แมลง แต่ถึงกระนั้น ชายในชุดคลุมก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด นอกเสียจากคอยสนับสนุนเขาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นฮิวโก้จึงไม่สามารถนึกเหตุผลอื่นออกได้อีก

ถึงฮิวโก้จะไม่เข้าใจว่าหมอนี่มีเป้าหมายอะไร แต่ว่าถ้าหากหมอนี่อยากเห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้วล่ะก็ เขาจะแสดงให้ดู!

 

[ ฝากคุ้มครองด้วย! ] – ฮิวโก้

[ แกนี่เหลือเกินนะ ถึงกับกล้าออกคำสั่งกับชั้น ] – ???

 

ถึงชายคนนั้นจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็เข้ามาทำหน้าที่โล่ให้กับฮิวโก้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการโจมตีใดๆเข้าถึงตัวของเขา และขณะเดียวกับ ฮิวโก้ยังคงยื่นอยู่กับที่เพื่อรวบรวมสมาธิอยู่เช่นกัน

“หมอนี่เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้” นั้นคือสิ่งที่ฮิวโก้คิดพร้อมกับเผลอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย วันนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่ได้มาพบกัน ทั้งๆที่รู้จักกันเพียงไม่กี่ชม.ก่อนหน้านี้ แต่ฮิวโก้ก็ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลใดๆเมื่อได้ต่อสู้ร่วมกับเขา มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเมื่อฮิวโก้พยายามคิดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับมัน

และในตอนนั้นเอง ที่สมาธิของฮิวโก้เพิ่มถึงขีดสุด ดาบของชายในชุดคลุมก็ฟันหนวดของเจ้ามอนเตอร์นั้นจนขาดออกทั้งหมด ทำให้เส้นทางที่สามารถโจมตีศัตรูได้ถูกเปิดออก ฮิวโก้พุ่งตัวผ่านชายในชุดคลุมคนนั้นทันที พร้อมกับกล้ามเนื้อทุกส่วนที่รีดเค้นพลังออกมาทุกหยด เขาจับง้าวด้วยมือทั้งสองข้างและเหวี่ยงมันด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี

 

[ <<Gozan Aranami>> ]  – ฮิวโก้

 

หลังจากการฟันนั้น เกิดช็อคเวฟที่รุนแรงแล่นไปตามพื้นผิวของดิน  มันรุนแรงเสียจนเปลี่ยนให้ผืนดินกลายเป็นคลื่นดินขนาดยักโถมเข้าใส่ศัตรู ราวกับคลื่นยักที่โหมกระหน่ำท่ามกลางพายุ

ไม่สามารถป้องกันหรือหลบเลี่ยงได้ มอนเตอร์ตัวนั้นไม่สามารถป้องกันใดๆได้เลยและรับการท่าไม้ตายของฮิวโก้ไปเต็มๆ และถูกทิ้งให้จมลงราวกับเรือลำกระจ้อยร่อยที่ถูกคลื่นยักกลืนกิน

 

 

——————————

 

 

[ เห้อ อีกไกลแค่ไหนเนี้ยกว่าจะถึงทางออก ? ] – ฮิวโก้

[ ถ้าหากแกมีพลังเหลือพอจะพูดอะไรไร้สาระ ใช้มันเดินให้เร็วขึ้นเถอะ ] – ???

 

มันก็ผ่านมาสักพักใหญ่แล้วที่มอนเตอร์ตัวนั้น ที่ชายในชุดคลุมเรียกมันว่าสุนัขเฝ้าบ้านถูกบดขยี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีก ดังนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับไปยังทางออกของซากปรักหักพังอย่างเงียบๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่ฮิวโก้บ่นอะไรเรื่องไร้สาระออกมา เขามักจะถูกขัดโดยชายในชุดคลุมอยู่เสมอ

แม้เรื่องทุกอย่างจะผ่านไปแล้ว และฮิวโก้ก็รอดมาได้ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่ภายในใจของฮิวโก้ ดังนั้นเขาจึงถามมันกับชายคนนั้น

 

[ เฮ้ ] – ฮิวโก้

[ อะไร ? ] – ???

[ ทำไมนายถึงปล่อยให้ข้าจัดการไอ้สัตว์ประหลาดนั้น ? ข้ามาคิดๆดูแล้ว ถ้าเป็นนาย นายคงจัดการมันได้อย่างง่ายๆแท้ๆ ] – ฮิวโก้

[ โอ้ งั้นเรอะ ? หึๆ ] – ???

 

ชายในชุดคลุมหัวเราะให้กับคำถามของฮิวโก้

 

[ มันถือว่าเป็นบทเรียนดีๆสำหรับไอ้งั้งอย่างแกไม่ใช่รึไง ถ้าหากแกเรียนรู้อะไรได้บ้างจากประสบการณ์ในครั้งนี้ บางทีรอบหน้าแกอาจออกสำรวจซากปรักหักพังโดยไม่ประมาทก็ได้ ] – ???

 

“เข้าใจล่ะ” ฮิวโก้กล่าวมันออกให้กับตัวเอง เขายอมรับในคำพูดของชายในชุดคลุม นั้นเพราะสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นมันผิดต่อกฎพื้นฐานในการสำรวจซากปรักหักพัง จนเกือบเอาตัวไม่รอดหลังจากไปทำให้พวกตุ่นสว่านคลุ้มคลั่ง และทำให้นักผจญภัยคนอื่นๆต้องเสี่ยงอันตราย และถ้าเหตุการณ์ในครั้งนี้มีคนอื่นต้องตายไปนอกจากเขาเพราะการกระทำของฮิวโก้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถทำใจยอมรับได้

นั้นคือเหตุผลที่ชายในชุดคลุมต้องการจะเตือนเขา

 

[ ก็ถูกของนาย ข้าจะสลักมันไว้ลงในหัวใจ ] – ฮิวโก้

[ ดี ] – ???

[ ข้าของถามอะไรอีกสักอย่างได้มั้ย ? ] – ฮิวโก้

[ …. อะไร ? ] – ???

[ นายไม่ใช่นักผจญภัยใช่มั้ย ? แล้วทำไมนายถึงมาที่ซากปรักหักพังกันล่ะ ? ] – ฮิวโก้

[ … อะไรทำให้นายคิดว่าชั้นไม่ใช่นักผจญภัย ? ] – ???

[ ก็เพราะนายแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการสำรวจซากปรักหักพัง แถมยังไม่สนใจสมบัติหรือไอเท็มอื่นๆเลยซักนิด ยกเว้นดาบที่นายหยิบกลับมาด้วยในตอนสุดท้าย หรือว่าดาบนั้นคือเป้าหมายจริงๆของนายหรอ ? ] – ฮิวโก้

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าชายคนนี้มาที่ซากปรักหักพังแห่งนี้โดยรู้ดีว่าที่นี่มีดาบเล่มนี้อยู่ก่อนแล้ว นั้นคือสิ่งที่ฮิวโก้ต้องการจะยืนยัน

หลังจากเงียบไปซักพัก ชายคนนั้นก็ยอมพูดออกมา

 

[ นายรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า “สมบัติในตำนาน” บ้าง ? ] – ???

[ อืม ข้าก็เคยได้ยืนตำนานเรื่องเล่าเหล่านั้นมาบ้าง แต่— เดี่ยวนะ อย่าบอกนะ ดาบนั้น— ] – ฮิวโก้

[ ดาบเล่มนี้คือ 1 ในสมบัติในตำนานเหล่านั้น ] – ???

[ ไม่มีทางน่า! เรื่องสมบัติลับในตำนานพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันไม่ใช่รึไง? ] – ฮิวโก้

[ ถ้าหากนายอยากจะเชื่อแบบนั้น ก็ตามใจ ] – ???

 

ชายในชุดคลุมยืนยันอย่างนักแน่นว่าสมบัติในตำนานนั้นเป็นเรื่องจริง สำหรับฮิวโก้ที่ถูกครอบงำโดยบรรยากาศเหล่านั้นจนไม่สามารถพูดอะไรได้ แม้ในอีกด้านหนึ่งจะบอกว่าเขาไม่มีทางเชื่อ แต่ในทางกลับกัน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งแปลกประหลาดที่ชายคนนี้แสดงมันออกมามากมาย ฮิวโก้ก็สามารถยอมรับได้ว่ามันคือเรื่องจริง ความแข็งแกร่งของชายคนนี้สูงผิดสามัญสำนึกอย่างสิ้นเชิง เขามีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ ผู้ร่วมทางของเขาที่ว่าแปลกๆยังดูปกติไปเลยเมื่อเทียบกับชายคนนี้ ทั้งการมุ่งมาพิชิตซากปรักหักพังก่อนแล้วค่อยคิดว่าวิธีทีหลัง บางที ทีมของชายคนนี้อาจถูกก่อตั้งเพื่อจุดประสงค์เดียวคือการตามหาสมบัติในตำนานที่ยังคงหลับใหลอยู่ภายในซากปรักหักพังที่มีอยู่มากมายภายในโลก เมื่อฮิวโก้คิดถึงจุดๆนี้ เขาก็คิดว่ามันก็สมเหตุสมผลดี

 

[ ในเวลานี้ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวบรวมสมบัติในตำนานจากทั่วทั้งทวีป สำหรับสมบัติในตำนานชิ้นอื่นที่ถูกค้นพบไปแล้ว คนกลุ่มนั้นจะไปขโมยมันมา ] – ???

[ ก็ไม่เป็นไรหากคนกลุ่มนั้นไปเจอสมบัติเหล่านั้นในซากปรักหักพัง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องไปขโมย มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ] – ฮิวโก้

[ จะขโมยหรืออะไรก็ช่างมันไม่สำคัญอะไรเลยซักนิด ปัญหาคือ ไอ้คนกลุ่มนั้นพยายามรวบรวมสมบัติเพื่อที่จะทำอะไรกันแน่ ? ] – ???

[ ไม่ใช่พวกมันจะเอาสมบัติเหล่านั้นไปขายให้กับพวกนักสะสมหรอกหรอ ? ] – ฮิวโก้

[ …. ถ้าเรื่องมันจบแบบนั้นก็ดีน่ะสิ ] – ???

[ นายชอบพูดอะไรเป็บปริศนาจังนะ แล้ว สุดท้ายเหตุผลที่นายตามหาสมบัติในตำนานก็เพื่อที่คนกลุ่มนั้นม่สามารถครอบครองมันได้สินะ ? ] – ฮิวโก้

[ ก็ประมาณนั้น ยังไงก็เถอะ ชั้นได้ยินมาว่าคนกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มคน 3 คนแต่งกายในชุดคลุมสีดำทั้งตัวและไม่พูดกับใครเลยซักคำเดียว ] – ???

[ เข้าใจล่ะ …. เดี่ยวนะ – นั้นพวกเอ็งไม่ใช่เรอะ! ] – ฮิวโก้

 

ฮิวโก้เผลอกระโดดถอยหลังออกมาโดยไม่ตั้งใจ สำหรับชายในชุดคลุมนั้น เขาก็ยิ้มออกมาราวกับเยาะเย้ยในปฎิกิริยาของฮิวโก้

 

[ ถือว่าแผนการประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่ว่า “เป็นฝีมือของกลุ่มคนชุดดำ 3 คน” จะแพร่กระจายออกไป แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่พวกมันก็ตาม ] – ???

[ … นั้นคือเป้าหมายของนายเรอะ ? มะกี้นายทำข้ากลัวนะเอาจริงๆ ] – ฮิวโก้

 

เมื่อฮิวโก้ตระหนักได้ว่าแค่ถูกชายคนนั้นล้อเล่น เขาจึงค่อยๆสงบสติลง นั้นเพราะหากชายคนนี้เป็น 1 ในกลุ่มโจรจริงๆ เขาคงไม่พยายามพูดเรื่องนี้กับฮิวโก้ที่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมีตัวตนจริงๆรึปล่าวเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน หากพิจารณาจากคำพูดและการกระทำของเขา ที่ชายคนนี้แต่งตัวและเดินทางเหมือนกับพวกโจรเพียงเพื่อต้องการเลียนแบบพวกกลุ่มโจรเหล่านั้น เพื่อทำให้คนอื่นๆทราบถึงเป้าหมายของพวกกลุ่มโจร ถ้าเรื่องเหล่านี้แพร่กระจายออกไป มันจะทำให้กลุ่มคนชุดดำ 3 เป็นที่จับตามองของเหล่านักผจญภัยมากขึ้น รวมถึงคนทั่วๆไปภายในเมืองอีกด้วย และนั้นยิ่งจะทำให้พวกโจรเคลื่อนไหวได้ลำบากมากขึ้น สรุปสั้น เขาพยายามโยนความผิดให้พวกโจรเพื่อให้เรื่องแดงออกมา มันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก

 

[ เฮ้ แล้วทำไมไอ้งั้งอย่างนายถึงมาสำรวจซากปรักหักพัง ? ] – ???

[ เพื่อที่จะได้เจอสมบัติแล้วก็รวยไวๆไง ] – ฮิวโก้

[ เหอะ แรงจูงใจมาจากความโลภล้วนๆสินะ ] – ???

[ แน่นอน เพราะยังไงซะ ข้าก็เป็นนักผจญภัย ] – ฮิวโก้

 

แม้จะถูกแสดงความคิดเห็นด้วยคำดูถูกและถากถาง แต่ฮิวโก้ก็ตอบกลับชายคนนั้นไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ 

ในยุคปัจจุบันนั้น คงยากที่จะบอกว่าการเลือกที่จะเป็นนักผจญภัยนั้นเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับคนที่ต้องการรวยไวๆ แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าคุณสามารถค้นพบสมบัติล้ำค่าและใช้มันเปลี่ยนเป็นความร่ำรวยจนสบายไปทั้งชาติ แต่จะมีนักผจญภัยซักกี่คนที่สามารถไปถึงจุดๆนั้น ? ถึงจะแย้งว่าใช่ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โอกาสมันก็แทบจะเท่ากับ 0

ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายดูแคลนเหล่านักผจญภัยว่าเป็นพวกปัญญาอ่อนที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพียงเพื่อฝันลมๆแล้งๆ แม้ว่าเหล่านักผจญภัยเองจะรู้ตัวดีว่างานที่พวกเขากำลังทำนั้นมันโง่เขลาขนาดไหน เพราะงานที่พวกเขาทำนั้นมันอันตรายพอๆกับงานของเหล่าอัศวินหรือกองทัพเลยด้วยซ้ำ แต่ต่างกันที่พวกเขาไม่ได้กำลังต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาจักร ดังนั้นการตายของนักผจญภัยจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไร ศพของพวกเขาจะกลายเป็นอาหารแก่เหล่ามอนเตอร์ ติดอยู่ตามกับดักภายในซากปรักหักพัง หรือประสบอุบัติเหตุตาย เช่นการตกจากที่สูงหรือโดนก้อนหินถล่มทับ ซึ่งยังมีอีกหลายๆสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเสียชีวิต แต่เกือบทั้งหมดเป็นเพราะความผิดพลาดของตัวนักผจญภัยเอง ทั้งที่พวกเขาตระหนักถึงอันตรายในอาชีพของตนดี แต่ทำไมพวกเขายังคงเลือกที่จะเผชิญกับมัน

นักวิชาการหลายๆท่านได้ออกสำรวจซากปรักหักพังเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาอารยธรรมโบราณที่เชื่อกันว่าเคยปกครองทวีปนี้เมื่อครั้งในอดีต แต่นักวิชาการที่เป็นนักผจญภัยเหล่านั้นมีจำนวนน้อยเกือบ 1 ใน 1000 เมื่อเทียบกับนักผจญภัยทั้งหมด แถมแต่เดิมที ความหมายของนักผจญภัยไม่ได้มีความหมายเช่นเดียวกับในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเด็กๆบอกว่าใฝ่ฝันที่จะเป็นทหารหรืออัศวินพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ แต่ถ้าบอกว่าอยากเป็นนักผจญภัย คงไม่แปลกเท่าไหร่ที่จะถูกห้ามหรือถูกบังคับให้หยุดพูดด้วยหมัดของพ่อและแม่เพื่อเป็นการลงโทษให้เปลี่ยนความคิด สำหรับตัวของฮิวโก้เอง เขายังตำความรู้สึกหมัดของผู้เป็นพ่อได้อย่างดี

 

[ แล้วทำไมนายมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ ? ] – ???

[ นายหมายความว่าไง ? ] – ฮิวโก้

[ ซากปรักหักพัง คาดิซ ที่นั้น ไอ้งั้งอย่างนายจะพบกับสิ่งที่กำลังตามหา ] – ???

 

ไปที่นั้นซะ นั้นคือสิ่งที่ชายคนนี้ต้องการจะสื่อกับเขา

ซากปรักหักพัง คาดิซ ไม่ได้ใหญ่โตแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ฮิวโก้ได้ยินมาว่าที่นั้นถูกสำรวจจนทั่วหมดแล้ว และเขาเองก็เคยไปที่นี่มาแล้วเช่นกัน แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรือความทรงจำดีๆแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม หากที่นั้นมีกลไกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เหมือนกับที่ซากปรักหักพังไฮบาร์แห่งนี้ แสดงว่ามันยังคงมีพื้นที่เหลือให้สำรวจอยู่อีกมาก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากที่นั้นมีสมบัติที่สามารถพลิกชีวิตกำลังนอนรอคอยเขาอยู่ ? นี่เป็นคำแนะนำที่มาจากชายที่รู้ตำแหน่งของสมบัติในตำนาน ไม่มีทางที่ฮิวโก้จะไม่รู้สึกสนใจ

อย่างไรก็ตาม ทำไมชายคนนี้ถึงให้ข้อมูลนี้แก่เขา ? ฮิวโก้ไม่ได้ติดหนี้อะไรชายคนนี้เลย ฮิวโก้ต่างหากที่เป็นหนี้ 

 

[ เฮ้ ทำไมนายถึง- ] – ฮิวโก้

[ เห้ย พวกแก 2 คน เร็ว รีบออกไปซะ! ]

 

ขณะที่ฮิวโก้กำลังจะถาม ก็มีเสียงโกรธเกรี๊ยวดังมาจากด้านหน้าของพวกเขา เมื่อมองผ่านแผ่นหลังของชายในชุดคลุมไป เขาก็พบกับชายอีกคนหนึ่งที่พึ่งออกมาจากอุโมงค์ที่อยู่ด้านข้างทางเดิน ซึ่งอุโมงค์นั้นเชื่อมไปสู่โถงใหญ่ที่มีศพของตุ่นสว่านจำนวนมากนอนตายอยู่

กว่าฮิวโก้จะรู้สึกตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินมาถึง ณ จุดที่พวกเขาเจอกันแล้ว และเมื่อเขามองๆดู แม้จะยังมีแอ่งเลือดจำนวนมากกองอยู่ แต่ดูเหมือนว่าซากศพมากกว่าครึ่งจะถูกจัดการไปแล้ว บางทีเหตุการณ์นี้คงถูกรายงานขึ้นไปสู่นักผจญภัยคนอื่นๆที่อยู่ด้านบนแล้ว พวกเขาคงกำลังทำงานร่วมกันเพื่อจำกัดความเสียหาย โดยปกติแล้ว ฮิวโก้ควรจะเป็นคนเริ่มดำเนินงานนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะอยากรู้สึกขอโทษมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาจะต้องยืนยัน

 

[ มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตมั้ย ? ] – ฮิวโก้

[ มีคนได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไล่ดูตามรายชื่อนักผจญภัยที่ลงไปสำรวจ ดูเหมือนว่าพวกแกจะเป็นคู่สุดท้ายที่ยังอยู่ภายในซากปรักหักพังแห่งนี้ ]

 

หากจะทำการสำรวจซากปรักหักพัง จะมีการลงชื่อเข้าสำรวจเอาไว้ล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีบางคนไม่กลับมาพวกเขาก็จะสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อยืนยันสถานการณ์ได้

แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่คำตอบเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฮิวโก้สามารถโล่งใจได้

 

[ ถึงกระนั้น ทำไมนายใช้เวลานานมากกว่าจะกลับออกมา ไปทำบ้าอะไรอยู่ห๊ะ ? ]

[ คือ– ข้า.. ] – ฮิวโก้

 

ฮิวโก้ได้แต่หดหู่ใจที่ถูกคนๆนั้นตำหนิ ฮิวโก้คิดว่าถ้าเขาพูดเรื่องที่สามารถแก้ปริศนากลไกที่ส่วนลึกของซากปรักหักพังได้ บลาๆ มันอาจทำให้เรื่องวุ่่วายยิ่งกว่าเดิมปล่าวๆ ดังนั้นสำหรับตอนนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญในการจำกัดความเสียงหายมาเป็นอย่างแรก

แต่ก่อนที่เขาจะสารภาพความจริงที่ว่าความวุ่นวายในครั้งนี้เป็นฝีมือของเขา เขาก็นึกขึ้นได้ หากเขาสารภาพออกไปจริง เรื่องนี้อาจสร้างปัญหาให้ชายในชุดคลุมที่อยู่กับเขาด้วย ดังนั้นฮิวโก้จึงหันหลังกับเพื่อบอกให้ชายในชุดคลุมถอยห่างจากเขาก่อน แต่ทว่า กับไม่มีใครอยู่ด้านหลังเขา

เมื่อฮิวโก้พยายามมองหารอบๆอย่างสับสน เขาก็ไม่เห็นชายในชุดคลุมในบริเวณแถวนี้เลย ชายคนนั้นหายไปราวกับว่าฮิวโก้หลอนไปเอง แต่ถ้าฮิวโก้หลอนไปเองจริงๆ ไม่มีทางที่เขาจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ ดังนั้นบางทีชายคนนั้นอาจไปต้องการอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยต่อหน้าคนจำนวนมาก นั้นคือคำตอบที่ฟังดูเข้าท่าที่สุด

 

[ นี่ นายพอจะมีเวลาฟังเรื่องที่ข้าจะเล่าหรือไม่ ? ] – ฮิวโก้

[ อะไรฟร่ะ ? ถ้าแกยังมีแรงเหลือเฟือ ก็มาช่วยทางนี้มา! ]

[ คือ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้าต้องขอโทษด้วยอย่างสุดซึ้ง ] – ???

 

และด้วยเหตุนี้ ฮิวโก้ก็สารภาพความผิดพลาดของเขาออกไปจนหมดเปลือก อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด สิ่งทีเขาเสียใจก็คือเขาลืมถามชื่อของชายในชุดคลุมคนนั้น

 

 

—————————–

 

 

[ … โอ้โห ฮาโรลด์ไปขโมยสมบัติในตำนานจากซากปรักหักพังกลับมาแล้วหรอ ? ] – ยูสทัส

 

จากข้อมูลที่พึ่งส่งมาถึงเขา ยูสทัสถึงกับส่งเสียงแปลกๆออกมาด้วยความประหลาดใจ

คราวนี้ ฮาโรลด์ได้รับภารกิจมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังไฮบาร์ จากการคาดการณ์ของยูสทัส เขาแทบจะแน่ใจ 100 % ว่าสมบัติในตำนานอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพังแห่งนั้น แต่ยูสทัสเองก็ไม่คิดว่าเส้นทางที่มุ่งไปสู่สมบัติในตำนานเหล่านั้นจะเป็นเรื่องง่ายๆ

การสำรวจซากปรักหักพังเป็นงานหลักของเหล่านักผจญภัย แม้ว่าพวกเขาจะรวมหัวช่วยกัน แต่พวกเขาก็ยังทำไม่สำเร็จในการพิชิตซากปรักหักพังแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ ยูสทัสจึงเชื่อว่างานนี้น่าจะหินพอสมควร ดังนั้นเขาจึงคาดการณ์เอาไว้ว่าฮาโรลด์จะต้องดิ้นรนระดับหนึ่ง แต่ด้วยความสามารถทางร่างกายของฮาโรลด์ บางทีหมอนั้นคงหาทางทำอะไรสักอย่างได้เอง

แล้ว นี่มันอะไร ? ตามรายงานที่มาถึงยูสทัส ฮาโรลด์แก้ไขปริศนากลไกภายในซากปรักหักพังได้อย่างง่ายๆ และพบสมบัติในตำนานโดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่วันเดียว

นี่มันเกินความคาดหมายของยูสทัสไปไกลโขและด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะชื่นชมฮาโรลด์ที่สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม ความสงสัยที่เขาเคยมีกับฮาโรลด์ก็ได้ถูกยืนยันโดยเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

นับตั้งแต่ได้รู้จักกับฮาโรลด์ ยูสทัสรู้สึกอยู่เสมอว่าหมอนี่เป็นคนแปลกประหลาด ในตอนนั้นที่รู้ว่าฮาโรลด์เป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาได้ทำการใช้เส้นสายเพื่ออ้างว่าจะนำเขามาใช้เพื่อการทดลอง แต่เป้าหมายจริงๆคือนำฮาโรลด์มาใช้เป็นเบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่า ในตอนที่เขาได้เผชิญหน้ากับฮาโรลด์ครั้งแรก เขาก็รู้โดยสัญชาตญาณในทันที ฮาโรลด์นั้นเป็นเหมือนกับเขา

ภายในดวงตาของฮาโรลด์ มีเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะยอมทำทุกๆอย่างเพื่อเป้าหมายของเขา

การที่ฮาโรลด์เข้าขัดขวางแผนการรุกรานของจักรวรรดิซาเรี่ยนน่าจะ 1 ในเหตุผลของเป้าหมายของเขา อย่างไรก็ตาม ยิ่งยูสทัสขุดลึกเพื่อตรวจสอบเท่าไหร่ ความลึกลับก็ยิ่งเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

คำถามแรก ฮาโรลด์รู้ถึงการบุกครั้งนี้ได้อย่างไร ? การบุกครั้งนั้น ยูสทัสมีเป้าหมายแฝงคือการจับตัวคนของเผ่าสเตลล่าเพื่อมาใช้ในการทดลอง และในขณะเดียวการ ยูสทัสตั้งใจจะใช้การรุกรานในครั้งนี้ทำให้ วีรบุรุษอัศวินอย่าง  วินเซนต์ แวน เวสเทอร์ฟอร์ด สั่นคลอนหรือลงจากอำนาจหรือโดนคุมขัง ผู้ที่ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรค์ของเขาในอนาคต

อย่างไรก็ตาม กลับปรากฎอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมกับกองอัศวิน ได้หยุดยั้งการรุกรานครั้งนี้ลงได้พร้อมกับเอาชนะแม่ทัพของศัตรู

ยูสทัสหวังว่ามันคงจะดีไม่น้อยหากฮาโรลด์เป็นเพียงแค่อัจฉริยะ แต่อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ไม่ใช่คนปกติ

เขาเปลี่ยนไปสวมชุดของจักรวรรดิซาเรี่ยนภายในป่าและเปิดเผยตัวต่อหน้าพวกพ้องอัศวินด้วยการทำเช่นนั้น เป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงคือพวกจักรวรรดิ ไม่ใช่ชนเผ่าสเตลล่า ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยหากฮาโรลด์ไม่รู้ข้อมูลการรุกรานเหล่านี้ล่วงหน้า

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างการเข้าร่วมกับกองอัศวินด้วยวัยเพียง 13 ปี กล่าวสั้นๆคือ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ฮาโรลด์จะทราบข้อมูลการรุกรานตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมกองอัศวินมาสักระยะแล้ว และเขาคงต้องพยายามอย่างนักเพื่อที่จะสามารถเข้าร่วมกองอัศวินและขัดขวางแผนการณ์ในครั้งนี้

สิ่งที่มาเสริมสมมุติฐานนั้นคือ เหตุการณ์การต่อสู้ในป่าเบลติส มีกองกำลังจำนวนหนึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฮาโรลด์ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้มาจากกองอัศวิน หรือกองทัพจักรวรรดิ หรือชนเผ่าสเตลล่า กองกำลังกลุ่มนั้นมีความสำคัญมากในการลดจำนวนของผู้ที่จะต้องถูกจับไปทดลองและผู้เสียชีวิตในการรบ

เนื่องจากฮาโรลด์ออกนำแผนการณ์รุกรานไปก้าวหนึ่ง ดังนั้นมันจึงสมเหตุสมผลที่ฮาโรลด์จะรับรู้ถึงการรุกรานอยู่ก่อนแล้ว 

กองกำลังกลุ่มนั้นเป็นใครกัน ? แต่ยูสทัสเดาว่าคงมาจากฝั่งของตระกูลฮาโรลด์ไม่ก็ตระกูลสุเมรากิ แต่ไม่ว่าจะยังไง ความจริงที่ฮาโรลด์ได้เตรียมการมาล่วงหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง

จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ยูสทัสจึงเริ่มสงสัยฮาโรลด์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แต่ถึงกระนั้น ยูสทัสก็ยังคงใช้ฮาโรลด์ต่อไปในฐานะเบี้ย เพราะเขาอยากรู้ว่าฮาโรลด์มีเป้าหมายอะไรกันแน่ ฮาโรลด์จะเลือกทางเดินแห่งการทำลายล้างเหมือนกับเขารึปล่าว ? หรือจะเลือกทางเดินที่แตกต่างทั้งๆที่มีดวงตาที่เหมือนกับเขา ?

แม้แต่ตอนนี้ ยูสทัสก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตที่ฮาโรลด์กำลังมุ่งไปเป็นอย่างไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งอื่นนอกเสียจากงานวิจัยของเขา บางทีมันอาจไม่ใช่เหตุผลแต่มาจากสัญชาตญาณ

แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

คราวนี้ ฮาโรลด์ได้ถอดรหัสกลไกของอารยธรรมโบราณที่สูญหายไป นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวของยูสทัสยังทำไม่ได้ นั้นเพราะไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมนั้นหลงเหลืออยู่เลย

มันไม่เกินจริงเลยถ้าจะพูดว่าความสำเร็จในครั้งนี้นั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับคนในยุคปัจจุบันของโลกนี้ แล้วเหตุใดฮาโรลด์ถึงถอดรหัสตัวอักษรโบราณเหล่านั้นได้ ?

หากมีเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ยูสทัสอาจจะยอมเชื่อว่าบางทีตัวของฮาโรลด์หรือทางตระกูลสโตร์กอาจจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ยูสทัสไม่อาจจะเชื่อแบบนั้นได้ หากเอากรณีของเหตุการณ์ในป่าเบลติสมารวมด้วย

มันคงจะไม่แปลกเท่าไหร่หากเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ แต่ด้วยปัจจัยต่างๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ได้มารวมตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์ถึง 2 ครั้งติด โอกาสที่ต่ำมากๆเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งติดกัน ไม่มีทางที่มันจะเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

 

และการที่จะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ตำเป็นจะต้องรู้ “บางสิ่ง” และบางสิ่งนั้นก็คือ <อนาคต>

 

รับรู้ถึงการรุกรานของจักรวรรดิซาเรี่ยน รับรู้ถึงความหมายของอักษรโบราณที่ใครสักคนจะสามารถถอดความหมายของมันได้ในสักวันหนึ่ง หรือบางที … ฮาโรลด์อาจรู้ถึงแผนการของยูสทัสด้วยซ้ำ บางทีฮาโรลด์อาจจะ “รู้” ทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะในตอนนั้น ฮาโรลด์เรียกชื่อของยูสทัสอย่างถูกต้องตั้งแต่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก อย่างน้อยในตอนนั้น ฮาโรลด์ต้องรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ชายที่ชื่อ ยูสทัส ฟรอยด์ คือใครกันแน่

คำพูดต่อมาของเขาคือ “ทำไมคนอย่างแกถึงมาอยู่ที่นี่” ในตอนนั้ ยูสทัสคิดว่าคำพูดที่ว่า “คนอย่างแก” นั้นหมายถึงสถานะของเขาที่เป็นนักวิทยาศาตร์ที่มีชื่อเสียง แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากสิ่งที่ฮาโรลด์พูดออกมานั้นเพราะเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของยูสทัส ?

“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจที่ฟังดูเหมือนกับกำลังคร่ำครวญดังก้องภายในห้องทดลองของเขา เขากลับมานั่งลงที่เก้าอี้พร้อมกับเงยหน้ามองเพดานและพูดขึ้นว่า

 

[ ฮาโรลด์ ผู้ที่มีดวงตาแห่งการทำลายล้างเฉกเช่นเดียวกับชั้น .. แกคืออุปสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของชั้นสินะ ?  ] – ยูสทัส

 

ช่างน่าขันเสียจริงที่สุดยอด”เครื่องมือ” ที่ยูสทัสสร้างขึ้นมาจากความอยากรู้อยากเห็นของเขา จะกลับมาหันคมเขี้ยวใส่เขาเสียเอง

แต่นั้นคือความจริง และสิ่งที่เป็นอยู่ ยูสทัสถึงกับหัวเราะออกมาเพราะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว เขาแทบอยากจะขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เขาคิดเรื่องพวกนี้ออกได้แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อในพระเจ้าก็เถอะ

ทำไมกัน ทำไมเขาถึงเก็บฮาโรลด์เอาไว้ทั้งๆที่สงสัยในตัวของหมอนั้น ? จะต้องฆ่ามัน ฆ่าไอ้หมอนั้น ผู้ที่จะกลายเป็นอุปสรรค์อันใหญ่หลวงด้วยมือของเขาเองให้ได้

 

[ ฮาโรลด์ ชั้นขอบคุณที่แกเคยเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อพิสูจน์ความรักฉัน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แกเป็นคนเดียวที่ไม่ว่ายังไงชั้นจะต้องฆ่าให้ได้อย่างแน่นอน ] – ยูสทัส

 

ไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด มีเพียงความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งเท่านั้นที่เผยออกมาจากใบหน้าของยูสทัส

 

———————————-

 

ยาวววว ยาววว มากๆๆ ตอนนี้ ยาวกว่าตอนอื่นๆ เกือบ 2 เท่าาา เล่นเอาหมดพลังเพราะงั้น เจอกันอีกทีเดือนหน้านะ เล่นเกมส์เติมพลังก่อน + ตั้งใจทำงานหาเงินซื้อแมวเลียก่อน เพราะงั้น ลาก่อย สัก 10 วัน

ปล. ตอนหน้ากลับสู่ ฮาโรลด์ pov สักที

 

My Death Flags Show No Sign of Ending

My Death Flags Show No Sign of Ending

Status: Ongoing
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เด็กหนุ่มมหาลัยธรรมดาๆอย่าง ฮิราซาวะ คาซุกิ ก็ดันมาอยู่ในร่างของตัวละครในเกมส์ ยิ่งกว่านั้น เขาดันมาอยู่ในร่างของ ” ฮาโรลด์ สโตร์ก” สุดยอดตัวร้ายที่มีคนเกลียดมากที่สุดในเกมส์ เจ้าของฉายา [ ราชาสวะ ] สำหรับเขาตอนนี้ มองไปทางไหนก็เจอแต่ธงตายอยู่รายล้อมเต็มไปหมด! คาซูกิจะหาทางหลบเลี่ยงธงตายเหล่านั้นได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท