การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 45 คราว โซราส

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 45 คราว โซราส

 

 

ในวันนี้เมืองอิชกะก็มีอากาศที่แจ่มใส่ ท้องฟ้าไร้ซึ่งเมฆตั้งแต่เช้า

 

 

ผมตื่นนอนก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นมาจากทางทิศตะวันออก จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยวิธีการพิเศษที่จะไม่ปลุกชีลที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ก่อนที่ผมจะกลั้นหาวและเดินออกมาจากบ้าน

 

 

 

จุดหมายของผมก็คือประตูเมืองทางทิศเหนือ

 

 

 

 

มันเป็นเส้นทางที่ตรงไปยังป่าทีทิส แต่รอบนี้จุดหมายของผมเป็นคอกที่ติดอยู่กับกำแพงเมืองของทางนั้น

 

 

ผมเอาอาหารเช้ามาให้เจ้าไวเวิร์นคราม

 

 

วันก่อนไวเวิร์นครามเพิ่งจะได้รับการลงทะเบียให้เป็นอสูรรับใช้อย่างเป็นทางการของเมืองอิชกะ ซึ่งจากนี้ไปมันก็จะสามารถเข้าออกเมืองได้

 

 

แต่ถึงจะได้สิทธิ์แล้วผมก็ยังให้มันพักอยู่ที่คอกนอกกำแพงเมืองอยู่ดี

 

 

ส่วนเหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก

 

 

ถึงไวเวิร์นจะกลายเป็นอสูรรับใช้ไปแล้ว แต่เนื้อแท้มันก็ยังเป็นไวเวิร์น

 

 

ข้อกำหนดในการดูแลมันก็คือหากจะอาศัยในเมืองก็จำเป็นต้องมีเจ้าของอย่างผมไปด้วยตลอด

 

 

นอกจากนั้นมันยังจำเป็นต้องสวมปลอกคออสูรรับใช้ ไอเทมที่จะสามารถระเบิดหัวของอสูรรับใช้ได้ตามประสงค์ของเมือง

 

 

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ไวเวิร์นผมหรอก พวกอสูรรับใช้ในเมืองตัวอื่นก็โดนเหมือนกัน

 

เอาเถอะในด้านความปลอดภัยแล้วก็สมเหตุสมผลดี

 

 

 

หากอสูรรับใช้เกิดอาละวาดขึ้นมา ทั้งพวกทหารยามกับประชาชนคงเดือดร้อนกันไปหมด หากจะมีมาตรการรองรับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

 

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น จากมุมผมแล้วผมยอมรับไม่ได้เลยแฮะที่พวกเขาสามารถควบคุมหนึ่งในไพ่ตายของผมอย่างไวเวิร์นได้

 

 

คงไม่ลืมกันหรอกนะว่าตอนนี้ผมมีปัญหากับทางกิลด์นักผจญภัยอยู่ แถมพวกนั้นก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของเมืองอิชกะด้วย พวกนั้นเลือกจะเล่นตุกติกอะไรกับผมจนทำให้ผมเสียเปรียบก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

 

คงขำไม่ออกแน่ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นแล้วไวเวิร์นผมโดนจับเป็นตัวประกัน

 

ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลยเลือกที่จะปฏิเสธการสวมปลอกคอให้ไวเวิร์นแล้วให้มันอาศัยอยู่นอกเมืองแทน

 

 

ต้องขอบคุณทางสหภาพที่ช่วยเหลือผมในการสร้างที่อยู่ขนาดใหญ่สำหรับไวเวิร์น แต่ก็มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยตรงที่มีคนแห่กันเข้ามาดูไวเวิร์นของผมอ่ะนะ

 

 

เนื่องจากการมีอยู่ของภาคีอัศวินมังกรของอาณาจักรคานาเรีย ไวเวิร์นก็เลยไม่ถูกนับเป็นสัตว์อสูรแต่เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์แก่เหล่ามนุษย์ที่พร้อมจะต่อสู้ไปด้วยกัน

 

 

เอาง่ายๆ ก็ถ้าไวเวิร์นไปไม่ทำร้ายคนอื่นก่อนพวกเขาก็จะไม่ทำอะไรกับมัน แถมมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเห็นได้ง่ายๆ ด้วยสิ

 

 

เพราะแบบนี้ ไวเวิร์นก็เลยกลายเป็นที่นิยมกันในหมู่ผู้คนของเมืองอิชกะ

 

 

พักนี้ก็เริ่มมีข่าวลืออย่าง หากใครสัมผัสกับเกล็ดของไวเวิร์นแล้วจะโชคดี กระจายอยู่ทั่วเมือง

 

 

ทหารยามที่ผู้รับผิดชอบกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่าไม่มีร่องรอยของคนที่ปีนข้ามรั้วเพื่อเข้าไป ในคอก ตอนผมไปถึง

 

 

ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ผมก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นพอเห็นบางอย่างในคอก

 

 

 

..ในคอกที่มีแสงแดดยามเช้ากำลังส่องผ่าน ผมเห็นมือของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเอื้อมมือไปแตะที่เกล็ดของไวเวิร์น

 

 

เหตุผลนอกจากการที่เธอเป็นผู้แอบลักลอบเข้ามาหาไวเวิร์นก็ไม่มีอีกแล้ว

 

 

แต่แปลก…สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้มันทำให้ผมประหลาดใจ

 

 

ไวเวิร์นครามที่ปกติเป็นสัตว์ที่ดุร้ายไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้าใกล้ง่ายๆ ขนาดชีลเองกว่าจะเอาอาหารมาป้อนให้มันได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลย

 

 

แต่มันกลับยอมปล่อยให้หญิงสาวแปลกหน้าสัมผัสมันโดยไม่ต่อต้านเลยเนี่ยนะ

 

 

มันไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยขณะที่เธอยืนอยู่ใกล้มัน

 

 

พอเจ้าไวเวิร์นเห็นว่าผมมาหามันแล้วมันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความร่าเริงและฟาดหางของมันกระแทกพื้นไปมา

 

 

 

จากนั้นหญิงสาวก็มองมาที่ผม

 

 

 

วินาทีนั้น สติของผมแทบจะหลุดไปครู่หนึ่ง คนอะไรจะสวยได้ขนาดนี้

 

 

ดูจากลักษณะเธอน่าจะอายุมากกว่าผม ถ้าให้เดาก็น่าจะประมาณ 20 ได้

 

 

 

เส้นผมสีบลอนด์อันสว่างไสวของเธอชวนให้นึกถึงสายเลือดของชนชั้นสูงที่มาพร้อมกับดวงตาสีอเมทิสต์ ผิวสีขาวราวกับหิมะ จมูกก็โค้งได้รูป ริมฝีปากก็อิ่มอวบสมบูรณ์แบบ

 

นี่มันเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายเล่มไหนกัน

 

 

แต่เธอก็หาได้เป็นเพียงหญิงสาวชนชั้นสูงทั่วไป

 

 

เพราะผมเห็นดาบที่อยู่ตรงเอวเธอนั่นไง จากลักษณะการยืน ท่าทางที่แสดงออกมาก็ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่ของประดับไว้เฉยๆ

 

 

พอผมมองเข้าไปที่ดวงตาของเธอคำว่า “แข็งแกร่ง” คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจผม

 

ในเมืองอิชกะ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ผมรู้จักก็จะเป็น กิลด์มาสเตอร์เอลการ์ด นักผจญภัยระดับ 1 เลเวล 35

 

 

ผู้หญิงคนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธออยู่ในระดับเดียวกันกับเอลการ์ด ไม่ก็แข็งแกร่งกว่านั้น

 

 

ความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันสงบนิ่งของเธอมันส่งมาถึงผม

 

 

 

ส่วนคำต่อมาที่ผุดขึ้นมาก็คือ “ตัวใหญ่ชะมัด”

 

 

เธอสวมรองเท้าบู้ทสีเงินที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ และมันไม่ได้ถูกเสริมส้นหรือแผ่นรองเพื่อเพิ่มความสูงของเธอเลย

 

 

ตัวเธอสูงกว่าผมเสียอีก

 

 

 

ถึงผมจะไม่ได้วัดส่วนสูงตัวเองมานานแล้ว ผมก็คิดว่าน่าจะราวๆ 175 เซนได้นะ แต่กับผู้หญิงคนนี้ผมเดาว่าน่าจะสัก 180 เซน

 

 

แขนและขาของเธอมีกล้ามเนื้อเหมือนกับพวกนักดาบ ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่ บอบบางหรืออ่อนแอ ออกมาจากตัวเธอเลย

 

 

กลับกันความรู้สึกอย่าง ดุดัน สมบุกสมบัน ก็ไม่ได้ออกมาจากตัวเธอเช่นกัน เรียกว่าร่างกายของเธอมีความสมดุลเป็นอย่างมาก

 

 

เธอคือคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่เคยละความพยายามในการฝึกฝนเลย ผู้หญิงตรงหน้าผมเธอเป็นคนแบบนั้นแหละ

 

 

นอกจากนั้นเห็นได้ชัดว่าเธอมาจากครอบครัวที่ดีมีฐานะ

 

 

เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ทำมาจากผ้าไหม ชุดเกราะของเธอก็เป็นเกราะคุณภาพสูง ทับทรวงกับรองเท้าบู๊ตสีเงินก็ล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง

 

 

 

ดังนั้นเธอก็ไม่น่าจะใช่นักผจญภัยหรือทหารทั่วไป ให้ผมเดาเธอน่าจะเป็นอัศวินและต้องเป็นอัศวินระดับสูงด้วย ถ้ามีคนบอกผมว่าเธอคือหัวหน้าภาคีอัศวินส่วนพระองค์ผมก็เชื่อนะ

 

 

 

แล้วทำไมคนระดับเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นกันล่ะ นึกยังไงผมก็ไม่เข้าใจ

 

 

 

จากนั้นหญิงสาวที่ผมจ้องมองมาสักพักก็เริ่มเปิดปากของเธอขึ้น

 

「……ขะ」

 

 

 

「…ขะ? 」

 

 

 

「ขอโทษนะ!」

 

 

ทันใดนั้นเธอก็ก้มหัวให้กับผมอย่างรวดเร็ว

 

 

เส้นผมสีบลอนด์ของเธอพริ้วไหวไปในอากาศขณะก้มหัว จนทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย

 

 

จากนั้นผมเอาแต่จ้องไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังก้มหัวให้ผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

 

เอาจริงๆ นะถ้ามีคนพูดขึ้นมาว่า “กำลังจ้องบ้าอะไรอยู่” ผมก็จะไม่แปลกใจเลย

 

 

แต่เธอก็ยังคงก้มหัวขอโทษผมโดยที่ไม่รู้ถึงสายตาของผมที่มองเลย

 

 

 

「ฉันแค่อยากจะมาดูไวเวิร์นในข่าวลือน่ะ แต่ไม่มีใครอยู่รอบๆ นี้เลย…ก็เลย….คิดว่าไหนๆ มันก็ยังเช้าอยู่ เลยกะจะเข้าไปแอบดูสักหน่อย」

 

 

 

 

「 ….งั้นก็น่าจะจบแค่ที่แอบดูสิ แล้วไหงถึงมาจบที่สัมผัสมันกันล่ะ」

 

「ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ! เอ่อ…ที่จริงก็ตั้งใจจะกลับหลังจากแอบดูเสร็จแต่ใครจะไปคิดว่านั่นเป็นไวเวิร์นครามจริง….คือ ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องไวเวิร์นมาก็จริง แต่กับไวเวิร์นครามที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายแล้วมนุษย์ไม่น่าจะทำให้เชื่องได้ ก็เลยอยากมายืนยันกับตาตัวเองว่าข่าวลือนั้นจริงไหม…」

 

 

 

 

และพอเธอมาถึง ก็พบว่าข่าวลือเป็นจริง

 

 

 

นั่นจึงทำให้เธอหยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ไหวและแอบเข้ามาในคอก

 

 

 

พอผมเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมก็ขอให้เธอเงยหน้าขึ้น

 

 

「อันที่จริงคุณไม่ต้องขอโทษฉันขนาดนั้นก็ได้ ถ้าไวเวิร์นมันยอมให้คุณสัมผัสมันก็แปลว่ามันชอบคุณเหมือนกัน」

 

 

 

สุขภาพจิตของผมรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาเลยแฮะพอเห็นคนระดับสูงกว่าผมเอามากๆ มาก้มหัวให้แบบนี้

 

 

 

จากนั้นหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นด้วยความโล่งใจ

 

 

 

「ขอบคุณสำหรับคำพูดที่แสนดี และก็ต้องขอโทษที่ใช้ประโยชน์จากความใจดีของคุณอีกสักหน่อย แต่ฉันอยากจะถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ? 」

 

 

 

 

「ได้สิ อะไรล่ะ? 」

 

 

 

「คุณเป็นเจ้านายของไวเวิร์นตัวนี้สินะคะ? 」

 

 

 

「ตามนั้น」

 

 

พอผมพยักหน้าให้ ดวงตาของเธอก็คมกริบขึ้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

 

 

แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นมันเกิดเพียงแค่พริบตาเดียว จากนั้นเธอก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และสายตาของเธอก็มองไปยังของในตะกร้าในมือผม

 

 

ว่าแล้วผมก็หยิบเอาของในตะกร้าให้เธอดู

 

 

 

「อ๋อ นี่คือผลแอปริคอตน่ะ เอาไว้เป็นอาหารเช้าให้ไวเวิร์น」

 

 

 

「แอปริคอตให้ไวเวิร์น… ไม่ใช่ว่าผลแอปริคอตมันมีรสเปรี้ยวจนทานได้ยากเหรอคะ แถมไวเวิร์นทานผลไม้แทนที่จะเป็นเนื้อนี่มันก็…」

 

 

 

「ปกติมันก็กินเนื้อแหละ…แต่เพราะมันไปเจอของแข็งบางอย่างในอดีตมาน่ะ ก็เลยกลายเป็นว่าชอบใจกับของรสเปรี้ยวแทน」

 

 

พอผมวางผลแอปริคอตขนาดเท่ากำปั้นลงไป ไวเวิร์นก็แสดงคำตอบให้หญิงสาวได้ทราบ ด้วยการส่งเสียง -พุกิ้วววว- ออกมาอย่างมีความสุข

 

 

ถึงเม็ดของแอปริคอตมันจะแข็ง แต่ระดับฟันของไวเวิร์นนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา จากนั้นมันก็เคี้ยวผลแอปริคอตดังกรุบกรับด้วยความพอใจ

 

 

 

พอพูดถึงของแข็งที่ผมบอกก็ไม่ใช่เรื่องอื่นนอกจากตอนที่มันโดนพิษของแมนติคอร์จนต้องเอาผลจากต้นจิไรอาโอคุสมาแก้พิษให้

 

 

ผมยังจำสภาพของมันที่ทนความเปรี้ยวไม่ไหวจนต้องกรีดร้องออกมาได้ แต่หลังจากที่พิษถูกถอนออกไปด้วยผลไม้ชนิดนี้ ชุดความคิดของมันก็เปลี่ยนไปเป็น เปรี้ยว=ดีต่อร่างกาย แล้วก็เรียกร้องขอของเปรี้ยวๆ จากผมอยู่บ่อยๆ

 

 

แต่มันคงจะงานหยาบแน่ถ้าผมต้องเข้าป่าทุกครั้งเพื่อไปเก็บผลจิไรอาโอคุสมาให้มัน ดังนั้นผมก็เลยแก้ปัญหาโดยการใช้แอปริคอตที่มีความเปรี้ยวไม่ต่างกันนักแทน

 

 

หญิงสาวก็เอาแต่มองภาพที่เห็นด้วยความประหลาดใจเพราะไวเวิร์นมันมีความสุขระหว่างกินผลไม้นี้จริง

 

 

「 ….หรือว่าผลไม้นี่เป็นของโปรดของพวกไวเวิร์นครามเหรอคะ..ไม่สิจากบันทึกที่ฉันอ่านมาก็ไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อนด้วย แถมเรื่องที่สายพันธุ์ในป่าชอบกินของเปรี้ยวก็ไม่เคยได้ยิน….」

 

 

นี่น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอเองมั้ง พอมีเรื่องอะไรที่ตัวเองสนใจก็มักจะกอดอกและพึมพัมออกมาคนเดียว

 

 

 

ผมก็ต้องขอขอบคุณสำหรับอาหารตาจริงๆ เพราะด้วยท่านี้ร่องอกของเธอมันดันออกมาให้เห็นชัดเลย แต่ผมก็จะเอาแต่จ้องตรงนั้นนานไม่ได้ซะด้วยเพราะไม่งั้นเธอได้รู้ตัวแน่ ก็เลยจำเป็นต้องเบนสายตาไปทางอื่นแทน

 

 

อันที่จริงผมก็คิดว่าเธอจะถามเรื่อง ของแข็ง ที่ผมพูดก่อนหน้านี้ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามลงลึกไปมากกว่านี้และเลือกถามเรื่องอื่นแทน

 

 

「จะว่าไป ฉันสังเกตว่าคุณเอาแต่เรียกมันว่าไวเวิร์นนี่คุณยังไม่ได้ตั้งชื่อให้มันอีกเหรอคะ? 」

 

 

「ก็มีคนบอกให้ฉันตั้งชื่อให้อยู่หรอก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ชอบชื่อที่ฉันตั้งเลยนี่สิ พอให้ชื่ออะไรไปก็แสดงสีหน้าเศร้าๆ ออกมาตลอดเลย」

 

 

 

「อาจจะเป็นเพราะชื่อนั้นมันไม่ได้มีตัวตนของคุณอยู่ด้วยก็ได้นะคะ」

 

 

 

 

 

「หือ..ตัวตนของฉันเหรอ? 」

 

 

 

พอผมเอียงศีรษะด้วยความสงสัย หญิงสาวก็เงยหน้ามองไวเวิร์นที่กำลังกินผลแอปริคอตและยิ้มออกมา

 

 

「ไวเวิร์นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการใช้ชื่อเดียวกับเจ้านายของมันค่ะ ยิ่งฉลาดมากเท่าไหร่ความจริงจังในเรื่องนี้ก็จะสูงตามไปด้วย ยิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่คนพูดแล้ว ฉันว่ามันน่าจะต้องการมีชื่อของคุณอยู่ในชื่อมันด้วยนะคะ」

 

 

 

「หืม เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้เลยนะ…ก็หมายความว่าฉันก็แค่ต้องใส่ชื่อของตัวเองลงไปในชื่อมันด้วยสินะ อย่าง โซราริ โซราระ โซรัน」

 

 

 

พอผมพูดชื่อพวกนี้ออกไป เจ้าไวเวิร์นก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรออกมา แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้จ้องผมอย่างไม่พอใจเหมือนตอนผมพยายามเรียกมันว่า ไดโกะ

 

 

「โซระมิจิ มิโซระ โซราโตะ โซราริส…อื้มมม ไม่มีชื่อเหมาะเลยหรือไงนะ? 」

 

 

 

「พุกิ้ พุกี้」

 

 

「เอาน่าอย่าเร่งกันสิ เดี๋ยวจะหาชื่อเหมาะให้งั้นก็…โซราสะ…โซระชิ…โซรารุ…โถ่เว้ย งั้นเอาเป็นไอ้นี่เลยละกัน โซระทาโร่」

 

 

 

 

 

「พิกิ้วววววi!!」

 

 

「โห้ย อย่ามาฟาดหางไปมาสิฟะ ฉันผิดเองๆ ขอโทษๆ จะพยายามคิดให้จริงจังขึ้นก็เลยแล้ว!!」

 

 

 

พอเห็นภาพเหมือนผมกำลังเล่นกับไวเวิร์นอยู่ หญิงสาวก็ตบมือขึ้นมาราวกับนึกอะไรได้

 

 

 

 

「งั้นคราว โซราสเป็นไงคะ? 」

 

 

 

「…คราว โซราส? 」

 

 

「ค่ะ มันหมายถึงดาบแห่งเพลิงในภาษาโบราณด้วย」

 

 

「โฮ่ ฟังดูเข้าท่าเลยแฮะ เหมาะกับไวเวิร์นที่ใช้ไฟได้ด้วย นายว่างะ- โอเคคงไม่ต้องถามแล้วสินะ」

 

 

 

 

「*กิ้ววว!*」

 

 

 

ดูว่ามันจะมีความสุขจนกระพือปีกออกมาเลยวุ้ย เดี๋ยวหยุดก่อนฝุ่นมันฟุ้งไปทั่วแล้วเห้ย

 

 

「งั้นก็เอาเป็นว่าตั้งแต่วันนี้ไป ชื่อของนายคือคราว โซราส」

 

 

 

「พุกี้!」

 

 

 

ไวเวิร์นยืดลำคอที่ยาวของมันให้ตรงและคำรามออกมาดังลั่นเมื่อผมเอ่ยนามของมัน

 

อาจเป็นเพียงจินตนาการของผมก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าท่าทางของมันดูสง่ามีราศีมากขึ้นกว่าเดิมแฮะ

 

 

จากนั้นผมก็เข้าไปตบไวเวิร์นเบาๆ ผมหมายถึงเจ้าคราว โซราสนี่แหละ จากนั้นผมก็หันไปหาผู้หญิงคนนั้น

 

 

 

「ขอบคุณสำหรับชื่อดีๆ นะ เอ่อ……」

 

 

「เรียกฉันว่าแอดทริดก็ได้ค่ะ ฉันก็ต้องขอบคุณ คุณเหมือนกันที่ได้ทำให้ฉันเห็นสิ่งที่น่าสนใจแบบนี้…เอ่อ…คุณโซระสินะคะ? 」

 

 

「ใช่แล้ว ฉันชื่อว่าโซระ」

 

 

「ค่ะ งั้นคุณโซระ ที่จริงฉันอยากจะคุยอะไรกับคุณอีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายเพราะฉันมีการประชุมรออยู่ ขออภัยที่มารบกวนในครั้งนี้นะคะ ไว้เร็วๆ นี้เราค่อยมาเจอกันใหม่ก็แล้วกัน」

 

 

「ได้สิ ไว้เจอกันอีกสักวัน-หะ เร็วๆ นี้เหรอ…? 」

 

 

ผมต้องกะพริบตาไปมาพอได้ยินเธอบอกว่าจะได้เจอกันอีกในเร็วๆ นี้แน่ด้วยความมั่นใจ

 

 

จากนั้นหญิงสาวที่ชื่อแอดทริดก็ยิ้มให้กับผมก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ริมฝีปากของตน

 

「เรื่องที่เราเจอกันตอนนี้ ขอให้เก็บเป็นความลับระหว่างเราด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อน」

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท