ตอนที่ 86 สองพี่น้องปะทะดาบควันโลหิต (บทต้น)
ในวินาทีนั้นเองที่ลูนามาเรียได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกสปิริตราวกับเป็นคำเตือน
ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจราวกับปาฏิหาริย์ที่เธอสามารถตอบสนองคำเตือนนั้นทัน
เธอได้ใช้มีดอดาแมนไทน์ที่เธอพกเอาไว้กับตัวออกมาป้องกันเงาสีขาวที่พุ่งเข้ามาหาราวกับสายลมกระโชก
ในขณะที่มีดของเธอเข้าปะทะกับเงาสีขาว ลูนามาเรียสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าเหลือเชื่อบนมือของเธอ ที่มันรุนแรงเสียใจเกือบทำให้ร่างเธอลอยกระเด็นไป
จากนั้น ในวินาทีต่อมามีดของเธอก็เปลี่ยนรูปร่างไปจนปลิวไปในอากาศ
เธอสูญเสียอาวุธที่ใช้ไปในทันที แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถระบุตัวตนของเงาสีขาวนั่นได้จากการซื้อเวลานี้
สิ่งที่ดวงตาสีฟ้าของเธอเห็นคือชายหนุ่มที่มีผมสีขาวอมเทาและดวงตาสีแดงเลือด
ในมือของเขาถือคาตานะเอาไว้ซึ่งมันเป็นดาบสไตล์ตะวันออกเหมือนกับมาสเตอร์ของเธออย่างโซระ มันคือสิ่งที่เหวี่ยงเอามีดของเธอกระเด็นออกไป
แค่ดวงตาของเขาที่จับจ้องไปยังลูนามาเรีย มันก็ทำให้ลูนามาเรียรู้สึกกดดันจนคอแห้งผากแล้ว
จากนั้นลูนามาเรียก็พูดกับทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอด้วยเสียงที่แหบแห้ง
「ทั้งสองคน รีบหนีไปซะ!」
เธอรู้แล้วว่าคนที่ศัตรูเล็งไว้ไม่ใช่ตัวเธอ ไม่งั้นเธอคงไม่สามารถต้านการโจมตีในครั้งแรกได้แน่
ถ้าแบบนี้ เป้าหมายก็คงจะเป็นชีลไม่ก็ซูซูเมะ แต่จากการสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเขา ลูนามาเรียมองว่าซูซูเมะน่าจะเป็นเป้าหมายของเขา
ซูซูเมะยังคงยืนเบิกตากว้างโดยที่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เป็นทางชีลที่จับมือของเธอเอาไว้และพยายามลากเข้าไปภายในบ้าน
ทั้งหูและหางของสาวมนุษย์สัตว์ถึงกับลุกซู่ราวกับมีไฟฟ้ากำลังวิ่งอยู่ข้างใน ทำให้รู้ว่าตอนนี้เธอตระหนกขนาดไหน ชีลเองก็คงรู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของเธอตอนนี้ไม่ใช่คนที่จะเคี้ยวได้ง่าย
「『สปิริตแห่งแผ่นดินเอ๋ย พวกพ้องข้า จงพันธนาการเท้าชายผู้นั้นเสีย』」
ลูนามาเรียใช้เวทสปิริตแทนหลังจากที่เธอเสียมีดในมือของเธอไป
หลังสิ้นเสียง ก็ได้เกิดรากไม้ขึ้นมาคล้ายกับหนวด พุ่งออกมาจากผืนดินเข้าไปพันขาของชายผมเขาเอาไว้
มันแตกต่างจากเวทที่มิโรสลาฟใช้ เวทสปิริตไม่ได้มีบทร่ายหรือผลชัดเจนที่กำหนดไว้ แต่เป็นการที่ผู้ใช้เวททำการขอร้องเหล่าสปิริตให้ช่วยทำตามที่ตนต้องการ
นั่นก็หมายความว่าผู้ใช้เวทสามารถเปลี่ยนผลของเวทได้ตามที่ตนต้องการหรือขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เจอ ดังนั้นผู้ใช้สปิริตจึงมีความหลากหลายในการใช้เวทมากกว่าจอมเวททั่วไป
แต่มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน
สปิริตเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ยิ่งรายละเอียดของเวทที่ต้องการใช้ซับซ้อนมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะร่ายสำเร็จก็ยิ่งน้อยลง บางครั้งคำขอร้องก็ถูกเมินเฉย ทุกอย่างขึ้นอยู่กกับความต้องการของพวกมัน ในกรณีที่เลวร้ายสุด บางทีคำขออาจจะสร้างความไม่พอใจให้พวกสปิริตจนพวกมันหันมาโจมตีผู้ใช้เวทแทนก็มี
จะให้พูดก็คือ เวทสปิริตนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็เลยเป็นเหตุผลว่ามีนักผจญภัยไม่มากนักที่เป็นนักผจญภัยซึ่งสามารถนำมันมาใช้ได้จริงๆ
หากอ้างอิงจากจุดนี้ก็สามารถบอกได้ว่าเนื่องจากเธอเป็นเอลฟ์ลูนามาเรียจึงมีความสัมพันธ์กับพวกสปิริตมากเป็นพิเศษ เธอจึงมีโอกาสในการร่ายเวทสำเร็จสูงกว่าคนอื่นมาก แน่นอนว่าครั้งนี้สปิริตดินก็ทำตามคำขอของเธอ โดยการเข้าไปมัดขาของศัตรูเอาไว้
ทว่า
「อย่ามาผยองนัก……!」
แค่คำพูดที่ออกมาจากปากของชายผมขาวซึ่งเข้ามาโจมตีเธอ มันก็ทำให้ลูนามาเรียรู้สึกได้แล้วว่ามานาของศัตรูกำลังระเบิดออกมา
มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกแต่อย่างใด แต่มันเป็นการโจมตีที่คลิมใช้ออกมาโดยการระเบิดพลังคิไปรอบๆ ตัวเขา เมื่อลูนามาเรียได้รับผลกระทบดังกล่าวเข้าไป เธอก็รู้สึกราวกับมีค้อนขนาดยักษ์มาทุบร่างของเธอ จนทำให้ร่างกายของเธอกระเด็นลอยไปในอากาศก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก
「……!!」
ส่วนเหตุผลที่เธอสามารถจัดท่าทางของตัวเองขณะลอยอยู่ในอากาศและร่วงหัวกระแทกพื้นก็น่าจะเป็นเพราะความว่องไวที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเธอในตอนนี้ก็มีสภาพเหมือนโดนมาไม่น้อย
สปิริตดินที่ใช้ในการโจมตีเขาก็หายไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ สำหรับศัตรูที่สามารถปล่อยคลื่นพลังชีวิตออกมาจากร่างราวกับเปลวไฟที่แผดเผาทุกสิ่งรอบตัวได้ แค่สปิริตระดับต่ำย่อมทนไม่ไหวอยู่แล้ว
แต่ถ้าเธอจะอัญเชิญสปิริตระดับสูงออกมา เธอก็จำเป็นต้องใช้เวลาและมานาในการร่ายมากขึ้น แถมหากเธอฝืนร่ายเฉยๆ โดยไม่มีใครคอยซื้อเวลาให้มันก็เหมือนกับการฆ่าตัวตายชัดๆ
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าสปิริตระดับสูงจะหยุดชายคนนี้ได้
ลูนามาเรียคร่ำครวญอยู่ในใจ
เธอเข้าใจทุกอย่างหมดแล้วจากการปะทะกันเพียงเล็กน้อย ความสามารถของเธอกับศัตรูต่างกันในระดับที่แทบจะสิ้นหวัง เขาไม่ใช่ศัตรูที่เธอจะรับมือได้
สภาพของเธอตอนนี้แข็งเหมือนกับกบที่ถูกงูจ้องอยู่ จนแทบจะล้มตัวลงไปหมอบคลานอยู่กับพื้น
แต่เหตุผลที่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้นก็เพราะมาสเตอร์ของเธออย่างโซระ เธอรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ
เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอกับโซระที่กิลด์หลังจากเขากลับมาจากถ้ำของราชาแมลงวัน หากให้เทียบความกลัวที่มีมังกรมาหายใจรดต้นคอกับการโจมตีที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้…อย่างน้อยมันก็พอจะทำให้ลูนามาเรียเหลือใจสู้อยู่บ้าง
แล้วก็เป็นทางคลิมที่เปิดปากพูดออกมาก่อนหลังเห็นลูนามาเรียยังยืนอยู่ไหว
「หึ ขอชมแล้วกันที่เธอยังไม่ร่วงลงกับพื้นจนถึงตอนนี้」
คลิมมองดูเอลฟ์ที่หายใจหอบด้วยความหงุดหงิด
「เอาเป็นว่าเห็นแก่ความกล้าหาญของเธอ ฉันจะให้คำแนะนำอะไรนิดหน่อยแล้วกัน รีบไสหัวไปให้พ้นซะ เป้าหมายของฉันมีแค่คิจินตนนั้น」
「….ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรกับคิจินเลยนะ แต่นั่นมันเป็นเหตุผลให้คุณต้องฆ่าเด็กคนนั้นเลยเหรอคะ? 」
「ถามอะไรโง่ๆ พอเจอคำถามแบบนี้เข้าไปบางทีพวกมนุษย์ในทวีปหลักคงจะอยู่กันสงบสุขเกินไปแล้วสินะ เอาเถอะ ถ้าไม่คิดจะทำตามที่ฉันบอกก็ตายอยู่ที่นี่แหละ」
พอพูดจบคลิมก็ยกดาบของเขาขึ้นมาเหนือศีรษะ ตัวดาบสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์จนเป็นประกายออกมา
ลูนามาเรียก็ได้แค่ตั้งท่ารับ เพราะดูจากท่าทางของคลิมแล้ว เธอคงไม่มีทางคุยกับเขารู้เรื่องแน่
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะเริ่มต่อสู้กันต่อนั้นเอง
「――ด-ดะได้โปรด! รอเดี๋ยวก่อนค่ะ!!」
ลิดเดลวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจและขัดทั้งสองเอาไว้
พนักงานต้อนรับผมถักเปียตกตะลึงกับการกระทำที่รุนแรงของคลิม แต่เธอก็ได้สติเอาตอนที่ลูนามาเรียพยายามจะสู้กลับไป
เธอได้ส่งสายบังเหียนซึ่งกำลังคุมม้าที่คล้ายกับกำลังคลั่งเพราะออร่าของคลิมให้พาร์เฟตและรีบลงมาจากที่นั่ง ก่อนจะตะโกนบอกให้คลิมหยุด นอกจากนี้ก็พยายามจะบ่นกับโกซุและไคลอาที่เอาแต่ยืนเฉยมองดูคลิม
「ในเมืองของเรามีกฎห้ามดวลกันโดยไม่มีรับอนุญาตนะคะ! ดังนั้นได้โปรดวางอาวุธลงเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!!」
「――นั่นคงเป็นไปไม่ได้หรอก」
เธอถูกตอบกลับมาในทันที
สิ่งที่ทำให้สีหน้าของลิดเดลแข็งทื่อไปก็คือ คำตอบจากโกซุที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
เนื่องจากเธอมองว่าตัวเองก็พอเข้าใจนิสัยของทั้งสามคนนี้แล้วบ้าง เธอจึงคิดว่าโกซุกับไคลอาน่าจะเป็นคนเข้าไปหยุดเขาแน่ๆ
ทว่า เมื่อได้ยินสิ่งที่โกซุจะพูดออกมาประโยคถัดไป ก็ทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้รู้จักพวกเขาเลยสักนิด
「การฆ่าพวกปีศาจและผนึกเหล่าเทพมารหรือกฎเหล็กของพวกเรา พวกเราคงจะไม่สามารถลดดาบต่อหน้าปีศาจตามกฎที่เจ้าบอกได้」
「ท่านโกซุคะ! แต่คนผู้นั้นเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของคุณโซระและสหภาพทางเมืองอิชกะเองก็ยอมรับเรื่องนี้แล้ว หากท่านยังฝืนโจมตีเธอต่อมันจะกลายเป็นอาชญากรรมได้นะคะ!」
「ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้ หากเทียบกับการปล่อยให้คิจินไว้ โทษอย่างอาชญากรรมก็ช่างเบาหวิว」
เมื่อมองไปยังโกซุที่ไม่เปลี่ยนความตั้งใจของตนแล้วแม้แต่น้อย ก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวใจเขา นอกจากนี้ลิดเดลก็มั่นใจว่าหากเธอฝืนพูดกับเขาต่อ เธอนี่แหละจะเป็นคนที่ถูกเขาฆ่าด้วยอีกคน โกซุปล่อยออร่าแบบนั้นออกมาแล้วในตอนนี้
ลิดเดลไม่รู้แน่นอนว่าสิ่งที่เขาปล่อยออกมาเป็นพลังชีวิตที่เรียกว่าคิ สิ่งที่เธอเข้าใจก็มีเพียงมันคือความรู้สึกกดดันที่เผชิญกับตัวตนอย่างไซคลอปส์ ซึ่งพนักงานต้อนรับกิลด์ย่อมไม่เคยได้พบเจอ จนต้องถอยกลับไป
พาร์เฟตที่ได้อาบออร่าของโกซุเข้าไปจากระยะไกลก็ถึงกับหน้าซีดไหล่สั่น
สุดท้ายลิดเดลก็มองไปยังไคลอาที่เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายของเธอ
แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ตรงจุดที่ยืนก่อนหน้านี้แล้ว
และคงไม่ต้องสงสัยว่าตอนนี้เธอหายไปไหน
ใบหน้าของลีดเดลซีดลง หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายในกำแพงบ้านของโซระ มันคือเสียงของชีลที่ร้องออกมา
ไคลอาได้พุ่งข้ามกำแพงบ้านเข้าไปโจมตีชีลกับซูซูมะที่กำลังพยายามจะหนีเข้าไปในบ้าน ลิดเดลมั่นใจเลยว่าชีลต้องได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องซูซูเมะแน่
หากเธอเป็นคนที่มีพลังพอจะรับมือกับพวกมอนสเตอร์คลุ้มคลั่งได้อย่างไคลอา กับแค่นักผจญภัยมือใหม่อย่างชีล เธอคงสามารถสับเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย แล้วจะเหลืออะไรกับซูซูเมะ
เธอคิดว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าชีวิตของทั้งสองคงต้องถูกพรากไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องแน่ๆ แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่หลับตาไว้แน่น
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code