ตอนที่ 92 โกซุปะทะโซระ (บทกลาง)
อาภรณ์วิญญาณของทั้งสองได้เข้าปะทะกันจนเกิดเสียงดังลั่น
ประกายไฟรุนแรงเกิดขึ้นมาเป็นระยะ แม้จะอยู่ท่ามกลางแดดจ้า แต่ใบหน้าของทั้งสองก็ยังถูกแสงจากการปะทะกันของดาบสะท้อนบนใบหน้า
อดีตผู้ดูแลและอดีตนายน้อยตระกูลทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันในระยะประชิด ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขั้นสูงสุด สิ่งนั้นแสดงออกมาผ่านแววตาของทั้งสอง
「ย๊ากกกก!!」
「โอ้ววววว!!」
โซระและโกซุตะโกนออกมาดังก้องไปทั่วบริเวณ เสียงฟันดาบปะทะกันไปมาของพวกเขาดังกระทบหูคนโดยรอบจนรู้สึกแสบไปหมด
ขวา ซ้าย ตรงหน้า ขวา หลอกขวาอีกที ตรงหน้า ตรงหน้า
บางครั้งก็เป็นการโจมตีด้วยพลังที่ดุดัน บางครั้งก็เป็นการลอบโจมตีแบบไม่ทันตัวในมุมอับโดยใช้เทคนิคส่วนตัว อาภรณ์วิญญาณของทั้งสองได้เกิดประกายไฟขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าการต่อสู้นี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลง หรือหากมองในอีกมุมก็เหมือนกับดาบทั้งสองกำลังเล่นร่ายรำใส่กันอยู่
จากภายนอกจะเห็นได้ว่าโซระเป็นฝ่ายบุกเสียส่วนใหญ่
ถึงอาภรณ์วิญญาณของโกซุอย่างจูสุมารุ ทำการผนึกพลังของโซลอีทเตอร์เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังของตัวโซระเองจะถูกผนึกลงไปด้วย
โซระฟาดฟันศัตรูของเขาด้วยความเกรี้ยวกราด ในขณะที่ร่างของตนก็ถูกปกคลุมไปด้วยคิทั้งร่าง
กลับกัน ทางโกซุที่เป็นฝ่ายป้องกันก็คอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ
ในมุมของโกซุแล้ว เทคนิคการใช้คิของโซระยังมีส่วนของการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นอยู่อีกมาก ทักษะดาบของเขาก็ไร้ประสบการณ์อย่างเห็นได้ชัด
ทว่า ก็เหมือนกับที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้ การโจมตีของโซระนั้นหนักหน่วงและแม่นยำเป็นอย่างมากจนพอจะทำให้ดึงดูดสายตาของโกซุได้ หากเป็นทหารหรือนักผจญภัยธรรมดา ย่อมเอาชนะโซระไม่ได้อยู่แล้ว
กระทั่งตัวโกซุเองก็ยังประมาทไม่ได้เลย โซระเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งพอจะเอาชีวิตของเขาได้หากประมาทหรือแสดงความลังเลออกมา ถึงเขาจะยังสามารถรับมือกับการโจมตีทั้งหมดมาได้ถึงตอนนี้อย่างง่ายดาย แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาคลายความระวังลงได้
――แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ใบหน้าของเขากลับเกิดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติด้วยเหตุผลบางประการ
พอโกซุถามกับตัวเองว่าเพราะอะไร
คำตอบก็ถูกเฉลยในทันที
มันเป็นเพราะเขารู้สึกสนุก ที่ตนสามารถประลองดาบกับโซระที่เติบโตขึ้นมาแล้ว――สิ่งที่เขาทำได้เพียงแค่ฝัน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความจริงแล้ว เขารู้สึกว่าตนไม่สามารถกักเก็บความสุขนี้ได้อีกต่อไปจนต้องยิ้มออกมา
และระหว่างการปะทะกันของดาบเช่นนี้ มันก็ทำให้เขามั่นใจว่าโซระเติบโตขึ้นมามากจริงๆ นั่นยิ่งทำให้โกซุดีใจมากกว่าเดิม
โซระที่ไม่สามารถสอบผ่านพิธีทดสอบของสำนักมายาดาบเดียวในอดีตได้ เขาย่อมไม่สามารถเรียนรู้เทคนิคระดับสูงที่เหนือจากนี้ขึ้นไปได้ และฝึกฝนแค่เพียงวิชาพื้นฐานที่เขารู้เท่านั้น
เทคนิคการใช้คิและการใช้ดาบเขาก็ต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง จึงไม่แปลกนักหากจะเห็นจุดเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์และสิ่งที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาอีกมากมาย
สำหรับโซระแล้ว โกซุคือกำแพงขนาดยักษ์ที่ต้องก้าวข้ามไป แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็เป็นคู่มือในการฝึกที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน ถึงแม้ทั้งคู่จะต่อสู้กันโดยหมายถึงชีวิต แต่โซระก็สามารถเก็บเกี่ยวหลายสิ่งจากการต่อสู้กันของพวกเขาได้
วิธีการเคลื่อนไหวในรูปแบบป้องกัน จังหวะเท้า การควบคุมคิ ยิ่งพวกเขาได้ปะทะดาบกันมากขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถของโซระก็จะถูกลับให้คมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
โซระจึงเป็นฝ่ายที่โจมตีเข้ามาหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนโกซุก็ทำการมุ่งไปยังส่วนป้องกัน หากเป็นมุมมองคนนอกการต่อสู้ของพวกเขาก็คงไม่ต่างอะไรกับการฝึกฝน
――แต่ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า โซระไม่ได้คิดว่าเป็นการฝึกอะไรแบบนั้นเลยสักนิด
「……ชิ」
เขาไม่สามารถทะลวงการป้องกันของโกซุที่เหมือนกับกำแพงขนาดยักษ์ไปได้เลยสักนิด เขาจึงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจและล่าถอยไป
ในจังหวะนั้นโกซุสามารถตามไปโจมตีต่อได้หากเขาต้องการ แต่เขากลับไม่ทำ เพราะเขายังไม่ต้องการให้การต่อสู้นี้จบลง
ในขณะที่เขากำลังจ้องมองไปยังโซระที่ทิ้งระยะห่างระหว่างตน โกซุก็พึมพำบางอย่างในใจ
“คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ หากข้าทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ไม่สามารถจับดาบได้อีกต่อไป”
โกซุคิดแบบนี้มาโดยตลอด แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความรู้สึกส่วนตัวของเขามันบอกแบบนี้กับเขาจริงๆ
ทว่าด้วยตำแหน่งของเขาที่เป็นชิบะของตระกูลมิตสึรุกิ มันทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
เขามั่นใจแล้วหลังจากได้ปะทะดาบกับโซระ แผ่นกั้นที่เคยหยุดการเติบโตของโซระเอาไว้ในอดีต มันได้ถูกทำลายลงแล้ว แม้เขาจะยังเป็นมือใหม่ในหลายๆ ด้าน แต่หากเป็นโกซุเขามั่นใจว่าจะช่วยแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ และมันจะทำให้เขาเติบโตมากยิ่งขึ้นกว่านี้ เพราะโซระยังอายุได้แค่ 18 ปีเอง หนทางยังอีกยาวไกล
นอกจากนี้ เนื่องจากความสามารถของอาภรณ์วิญญาณเขาถูกผนึกเอาไว้ด้วยพลังของจูสุมารุ แต่จากที่โกซุเห็นเขาใช้มันในการโค่นสองพี่น้องเบิร์ชลงแล้ว เขามั่นใจเลยว่าพลังดังกล่าวจะต้องเป็นประโยชน์อย่างมากแน่ๆ ในการรับมือกับพวกปีศาจ ไม่สิพลังนั้นอาจจะใช้ในการสังหารเทพปีศาจได้ด้วยซ้ำ
นี่จะต้องเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของตระกูลมิตสึรุกิแน่หากความสามารถดังกล่าวต้องหายไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโกซุก็คิดแล้วว่าต้องพาโซระกลับไปที่เกาะให้ได้
แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงที่โซระไม่ยอมฟังที่เขาพูดเลยสักนิด ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน
สุดท้ายถึงตนจะบอกว่าจะใช้ดาบคุยแทน แต่มันจะสื่อไปถึงโซระไหมนะ หากเขาเอาชนะโซระได้แล้ว
คงไม่แน่นอน โกซุคิด
โซระที่ได้รับพลังมา ได้สูญเสียความภาคภูมิใจในวิถีตนเองไปแล้ว พลังของเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่อาภรณ์วิญญาณด้วย ถึงตนจะเอาชนะเขาลงได้ในตอนที่พลังถูกผนึกเอาไว้ โซระก็คงไม่มีทางยอมรับเป็นแน่
หากฉันสามารถใช้พลังของอาภรณ์วิญญาณได้ฉันก็ชนะไปนานแล้ว――เขามองว่าตราบใดที่โซระคิดแบบนั้น พวกเขาก็คงไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง
เพื่อจะให้เขายอมรับอย่างหมดรูป โกซุจำเป็นต้องโค่นโซระในสภาพที่พร้อมที่สุดเท่านั้น
หากเขาเอาชนะโซระได้อย่างขาวสะอาดยุติธรรม โดยการปล่อยให้เขาใช้อาภรณ์วิญญาณได้อย่างอิสระ มันก็น่าจะทำให้เห็นว่าโลกใบนี้ยังมีคนที่เหนือกว่าตนอีกมาก และมันน่าจะช่วยลดความพยองที่กัดกินจิตใจของโซระได้ด้วย ――โกซุเชื่อเช่นนั้น
「จงรับรู้ถึงอนิม่า ควบคุม และแปลงมันให้กลายเป็นบางสิ่ง นั่นคือสิ่งที่เราเรียกกันว่าอาภรณ์วิญญาณ――นั่นคือสิ่งที่ข้าบอกกับท่านโซระในอดีต」
「……ตั้งใจจะพูดอะไร? 」
โซระถามโกซุที่อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา
โกซุพูดต่อโดยไม่ได้สนใจท่าทางของคู่ต่อสู้
「ข้าจะบอกท่านมากกว่านี้เมื่อท่านเข้าใจมันมากขึ้น ในสักวันหนึ่ง การได้อาภรณ์วิญญาณมานั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มขึ้น หรือจะให้พูดมันก็เป็นเพียงแค่ทางเข้าเท่านั้น สิ่งที่ข้าบอกได้ตอนนี้ก็มีเพียงอย่าพึงพอใจเพียงแค่บรรลุหนทางในการหาทางเข้า」
「……แค่ทางเข้า? 」
「ใช่แล้ว เมื่อท่านได้รับอาภรณ์วิญญาณมา ท่านก็จะทำการประสานตัวท่านเข้ากับอนิม่าของท่าน ซึ่งวิธีการแสดงออกของอนิม่านั้นก็จะแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกัน แต่พลังที่ได้รับมานั้นย่อมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว และมันจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถไปถึงจุดที่คนธรรมดาไม่สามารถไปถึงได้」
「……」
「อย่างท่านเองก็ได้เปลี่ยนพลังที่แสนยิ่งใหญ่นั้นให้กลายมาเป็นของในมือท่านหรือที่เรียกกันว่าอาภรณ์วิญญาณ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าการที่ท่านทำเช่นนั้นมันก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเอาพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ตนไม่สามารถรับมือได้ ลดทอนมันลงมาเป็นของที่ท่านสามารถรับมือได้ ――แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจแต่ร่างของท่านก็จะสกัดมันออกมาในรูปแบบที่ลดทอนลงไปแล้ว ข้าจึงได้บอกว่าการได้อาภรณ์วิญญาณมายังเป็นเพียงแค่ทางเข้า จากนี้ไปหากเป็นคนในเกาะ พวกเขาก็จะได้รับภารกิจที่เหมาะสมในการพัฒนาอาภรณ์วิญญาณของตน ซึ่งภารกิจพวกนั้นจะช่วยให้พวกเขาก้าวข้ามพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ จนทำให้พวกเขาสามารถควบคุมอาภรณ์วิญญาณและดึงพลังของอนิม่ามาใช้ได้อย่างเต็มที่」
โกซุกล่าว
อาภรณ์วิญญาณมันก็เหมือนกับดาบไม้ของเด็กที่ยังไม่สามารถใช้ดาบของจริงได้
หากผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณอยากจะใช้ดาบจริงแล้วละก็ พวกเขาก็จำเป็นต้องพัฒนาดาบไม้นั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยการพยายามดึงพลังของอนิม่าตนออกมาให้ได้มากกว่านี้
และพอถึงเวลาที่พวกเขาสามารถดึงพลังของอนิม่าออกมาได้เต็มที่ พวกเขาก็จะได้รับพลังที่เกิดกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ยิ่งขึ้นไปอีก จนทำให้พวกเขาสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในตำนาน นั่นแหละคือความหมายที่แท้จริงของการเข้าถึงพลังที่มนุษย์ไม่อาจจเข้าถึงได้
จากนั้นโกซุก็เริ่มร่ายบทพูดราวกับกำลังท่องบทกวี
「ความละเอียดอ่อน เพราะมีความละเอียดอ่อนจึงทำให้ไร้รูป ความลึกซึ้ง เพราะความมีความลึกซึ้งจึงทำให้เป็นอนันต์ และเพราะไร้รูปแบบจึงทำให้ไร้ขีดจำกัด ดินแดนแห่งมายาที่อยู่เหนือมวลมนุษยชาติ ศาสตร์แห่งมายาดาบเดียวที่เรียกขานกันว่า “ความว่างเปล่า” 」 (จะอ่านว่าโซระก็ได้ด้วย)
「ความว่างเปล่า……」
「ท่านโซระ ชื่อของท่านก็เหมือนกับคำอธิษฐานของท่านหญิงชิซึยะ และข้าเชื่อว่าท่านมิตสึรุกิก็หวังให้ท่านเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาตั้งชื่อของท่านว่าโซระก็เพราะอยากจะให้บุตรชายของตนได้กลายมาเป็นจุดสูงสุดของโลกใบนี้เช่นเดียวกับพ่อของตนในสักวันหนึ่ง」
「……」
「ท่านอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดตอนนี้ แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไป จากนี้ข้าจะทำการบดขยี้ความผยองของท่านเสียด้วยพลังทั้งหมด ข้าจะทำให้เห็นถึงขอบเขตแห่งความว่างเปล่านี้เอง จงดูเสียว่าแก่นแท้ของมายาดาบเดียวเป็นเช่นไร――เตรียมรับมือ!」
โกซุยกจูสุมารุขึ้นมา ก่อนจะชี้มันขึ้นไปบนท้องฟ้า
「อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า」
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ประคำรอบๆ ด้ามดาบของโกซุก็แตกออก ลูกประคำที่แตกออกมาก็ได้เริ่มกระจายตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกัน โซระก็รู้สึกเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของเขาเอาไว้อยู่ แรงกดดันได้เกิดขึ้นจนทำให้เห็นภาพลวงตาที่พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวไป
จูสุมารุได้เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม ดาบคาตานะซึ่งมีรูปร่างธรรมดาๆ มันเริ่มเปลี่ยนไปเป็นบางสิ่งที่ขยับหดขึ้นลงไปมา จนดูน่าขนลุกราวกับตัวอะมีบา
มันเป็นเหมือนบางสิ่งที่จูสุมารุได้ผนึกเอาไว้กำลังถูกปลดปล่อยออกมา โซระจำเป็นต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้พลังที่จะสามารถสังหารได้แม้กระทั่งตำนาน จุติมายังเมืองอิชกะแล้ว
◆◆◆
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณส่วนลึกของป่าทีทิส
สิ่งนั้น ที่กำลังหลับใหลอยู่
มันเป็นเหมือนกับสายฟ้า พายุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
สิ่งที่จะปรากฏขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขของโลกใบนี้ตรงกับตัวมัน ภัยพิบัติในตำนานที่มีเลือดเนื้อ
สิ่งนั้นมันค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็นทีละเล็กทีละน้อยตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
หมุดที่ปักเอาไว้เล่มสุดท้ายซึ่งคอยขัดขวางการกำเนิดอย่างสมบูรณ์ของมันได้ถูกดึงออกไปแล้ว และไม่มีสัญญาณว่าหมุดเล่มนั้นจะถูกปักลงมาอีก ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรคอยหยุดยั้งการกำเนิดอย่างสมบูรณ์ของมันได้อีกต่อไป
หลังจากนี้อีกไม่นานมันจะสามารถก้าวเดินอยู่บนโลกใบนี้ได้สำเร็จเสียที
จนกว่าจะถึงตอนนั้นมันตั้งใจว่าจะหลับใหลไปอีกสักพัก
ทว่า วันนี้ความตั้งใจของมันก็ต้องพังทลายลงเพราะสิ่งไม่พึงประสงค์
มันสัมผัสถึงสิ่งที่สามารถฆ่ามันได้ในบริเวณใกล้
สิ่งนั้น จะสามารถเกิดขึ้นมาได้หากเงื่อนไขของโลกตรงตามที่มันต้องการ ไม่ต่างอะไรกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทว่าสิ่งนั้นมันมีความแตกต่างจากภัยทางธรรมชาติ อื่นๆ ตรงที่สิ่งนั้นมันมีเลือดเนื้อ
มันจึงไม่สามารถทนอยู่เฉยๆ ได้อีกเมื่อพบตัวตนที่ทำลายมันลงได้
สิ่งนั้นมันค่อยๆ ยกหัวของตัวเองขึ้นมา
หัวทั้ง 8 ที่มีลักษณะเหมือนกับเคียว ค่อยๆ ถูกยกขึ้นมาอย่างช้าๆ
———
Note 1 : บังไคแหละ // ทรงว่าตีกันจบคงไปตบไฮดร้าต่อ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code