ตอนที่ 104 เสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่
ร่างกายของผมมันร้อนเหมือนกับไฟกำลังเผาไหม้ร่างอยู่เลย
พลังคิที่แผ่ซ่านอยู่ภายในร่างมากพอๆ กับน้ำทะเล มันกำลังไหลผ่านทุกซอกมุมของร่างกายผม
รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เอ่อล้น อาการตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนเมาเลยแฮะ เหมือนมีอะไรมาคลุมร่างกายกับจิตใจเอาไว้
หากเป็นตอนนี้ละก็ไม่ว่าใครผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะเอาชนะได้หมดจะ มังกร เทพปีศาจ นักบุญดาบ – จิตใจของผมมันมั่นใจถึงระดับนั้นเลย
ก่อนที่จะรู้ตัวผมก็หัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าๆๆๆ!”
ไม่ไหวแฮะ ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ
แม้ในหัวของผมบางส่วนจะส่งเสียงเตือนกับผมว่าอย่าได้มั่นใจในตัวเองนัก เสียงในหัวใจของผมก็บอกว่าไม่ควรลดการระวังลง
แต่ผมรู้สึกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องฟังเสียงพวกนั้นเลยสักนิดและไม่คิดจะสนด้วย
หากมีพลังที่ทำได้กระทั่งสั่นสะเทือนแผ่นดิน เพียงแค่ปลดปล่อยพลังคิออกมา พอมีพลังที่ฆ่าได้กระทั่งพระเจ้าอยู่ในมือแบบนั้นแล้วจะไม่ให้ตัวเองมั่นใจหน่อยได้ยังไงกัน
ไม่ระวังตัว? แล้วมันยังไงล่ะ หากผมไม่แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาสักหน่อยเดี๋ยวไอ้เจ้าโง่คลิมที่อยู่ตรงหน้าผมมันก็หมดโอกาสจะแสดงความโง่แบบนี้ออกมากันพอดี
ของแบบนี้เค้าเรียกว่าต่อให้เว้ย!
“ฮ่าๆๆๆ! คลิม คิดจะยืนเหม่อไปอีกนานแค่ไหนกัน?”
ผมเหวี่ยงอาภรณ์วิญญาณออกไปเป็นเส้นตรง ชี้ไปทางคลิม แต่แน่นอนว่าระยะดาบของผมไม่ถึงตัวของเขา และผมก็ไม่ได้ใช้วายุในการโจมตีเขาด้วย ผมเพียงแค่เหวี่ยงดาบเบาๆ ตรงไปทางนั้นระหว่างพูด
ทว่าถึงแม้ผมจะเหวี่ยงออกไปเบาๆ แต่พลังคิที่พุ่งออกไปตามสายลมมันก็ระเบิดตัวออกมาจนผลักร่างของคลิมให้กระเด็นออกไปเล็กน้อย
“-อึก!?”
หลังจากเขาได้สติ สีหน้าของคลิมก็บิดเบี้ยว ตัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยช่องว่าง หากผมต้องการก็คงจะฟันร่างเขาขาดได้ง่ายๆ แต่ผมไม่ทำหรอกนะ จะบอกว่าผมความประมาทและผยองก็เชิญเลย
ผมเฝ้าดูคลิมที่พยายามดึงสติจัดท่าทางของตนใหม่ด้วยรอยยิ้ม พอเขาเห็นผมทำแบบนั้น คลิมก็บ่นออกมา
“…โซระ นี่นาย…”
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ? สีหน้านายดูไม่ดีนะคลิม อยากให้ฉันสอนถึงเรื่องที่นายไม่รู้ไม่ใช่หรือไง ฉันก็สอนอยู่นี่ไงเรื่องความต่างระหว่างพลังของพวกเรา อ๋อหรือมันยากเกินไปสำหรับคนอย่างนายที่จะเข้าใจ?”
ผมเห็นผมเยาะเย้ยเขาอย่างตรงไปตรงมา คลิมก็ได้แต่ยืนกัดฟัน
หากเป็นตอนนี้จะให้ผมพุ่งเข้าไปฟันเขาตรงๆ หรือจะปล่อยการโจมตีระยะไกลก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด
ร่างกายของคลิมถูกออร่าของผมโจมตีเข้าไปจนไม่สามารถหลบหนีการโจมตีอะไรได้อีกแล้ว
แถมเขาก็น่าจะรู้ตัวแล้วด้วยว่าผมออมมือเอาไว้อยู่ สีหน้าของเขามันบอกมาหมดแล้วน่ะสิ
กับคู่ต่อสู้ประเภทนี้ คำพูดนี่แหละได้ผลที่สุดแล้วขอบอก
“เห็นแบบนี้ฉันก็ดีใจนะที่คนอย่างนายยังเข้าใจบ้าง เอ้ามีอะไรอยากจะบ่นอีกไหมล่ะ ไม่ใช่แค่นายนะ ไคลอาหรือโกซุก็ด้วยอยากจะพูดอะไรไหม ฉันรอฟังอยู่”
ผมเหลือบมองไปยังอีก 2 คนที่อยู่ใกล้ๆ กับคลิม และก็เป็นทางไคลอาที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“อนิม่าของคุณโซระ––คืออะไรกันแน่คะ? ฉันเข้าใจนะคะว่าคุณที่จัดการกับสิ่งมีชีวิตในตำนานลงได้เลเวลก็ย่อมสูงขึ้น แต่การที่จะปลดปล่อยพลังคิและแผ่ออร่ากดดันถึงขั้นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะเป็นอนิม่าระดับชิโช (สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์) หรือฮัคเกะ (ดาราแปดแฉก) ก็เถอะ..!”
“ชิโช…ฮัคเกะ ถ้าไม่ใช่พวกนั้นก็ต้องเป็นเรียวกิ (หยินหยาง ตะวันจันทรา) ไม่ก็ไทเคียวคุ (ต้นกำเนิดสรรพสิ่ง) สินะ? เอาเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็รู้เองแหละว่ามันคืออะไรกันแน่”
“หมายความว่ายังไงกันคะ…?”
ไคลอาทำท่าเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ก่อนที่ผมจะเบนสายตาไปทางโกซุบ้างโดยไม่ได้สนใจเธอ
ตามที่คิดเอาไว้ดูเหมือนโกซุจะเริ่มรู้แล้วว่าระดับพลังของผมอยู่ขั้นไหน นอกจากนี้เขาก็เหมือนจะไม่พยายามต่อต้านโดยใช้พลังของจูสุมารุเลย
จูสุมารุพลังที่สามารถผนึกพลังอาภรณ์วิญญาณเอาไว้ได้ พลังที่ใช้ผนึกโซลอีทเตอร์ในการต่อสู้ครั้งก่อน
ทว่าหากเป็นในตอนนี้โกซุคงรู้ตัวแล้วว่า ถึงเขาจะใช้พลังนั้นไปก็ไม่มีทางที่จะผนึกพลังของโซลอีกเตอร์ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่ได้คิดจะใช้มัน
ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายของเขาก็คืออาภรณ์แห่งความว่างเปล่า ผมหัวเราะใส่โกซุและเริ่มพูดกับเขาต่อ
“เร็วเข้าสิโกซุ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของนายซะ สองพี่น้องเบิร์ชก็ด้วยถ้าใช้ได้ก็รีบๆ งัดออกมา หากไม่ไหวก็ดึงพลังอาภรณ์วิญญาณออกมาให้หมดเท่าที่มีเสีย ก็ขอบใจหรอกนะที่ช่วยจัดการมอนสเตอร์ให้ ดังนั้นตลอดช่วง 1 นาทีต่อจากนี้ฉันจะไม่โจมตีอะไรพวกนายเลย เพราะถ้าไม่มีพวกนายฉันคงไม่สามารถได้พลังขนาดนี้มาได้นี่เนอะ เพราะงั้น 1 นาทีต่อจากนี้แหละคือช่วงเวลาที่ฉันอยากจะมอบเป็นคำขอบคุณให้”
“…ท่านโซระ ท่านกำลังจะบอกว่าท่านสามารถช่วงชิงพลังของสิ่งมีชีวิตในตำนานั่นมาได้แล้วงั้นเหรอครับ….เหมือนกับที่ท่านทำกับผมตอนอยู่ที่อิชกะ”
“อะไรของนายเนี่ย กะรวบรวมข้อมูลอยู่หรือไง…เอาเถอะก็ตามนั้นแหละ ตลอด 3 วันที่พวกนายไปรับมือกับมอนสเตอร์ไม่ให้หลุดออกจากป่าทีทิส ฉันได้กลืนกินเจ้าไฮดราจนหนำใจเลย พลังที่มีตอนนี้ก็คือผลจากการกลืนกินมันเข้าไป”
“ขอบพระคุณสำหรับมื้ออาหารจริงๆ” ผมกล่าวเสริมออกมาอย่างขอบคุณ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็อยากทำไปเพื่อประชดด้วยอ่ะนะ
เพื่อที่จะกำจัดไฮดราที่สามารถฟื้นฟูร่างของตัวเองได้ตลอดเวลา ผมจึงได้ทำการกินวิญญาณของมันไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างของมันจะฟื้นฟูต่อไม่ได้อีก กับเจ้าตัวที่ถึงจะโดนตัดหัวตัดหางไปก็ยังงอกใหม่ได้ มันก็เหลือแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ
ด้วยเหตุนี้เองกว่าจะกินได้จนหมด ก็ปาเข้าไปถึง 3 วัน 3 คืน
ดังนั้นบุญคุณส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้เต็มอิ่มกับมื้ออาหารโดยไม่ต้องกังวลอะไรก็ต้องขอขอบคุณพวกโกซุนี่แหละ
ดังนั้นแค่ให้ข้อมูลกับพวกเขาไปบ้างผมไม่คิดจะงกหรอก นอกจากนี้หากพวกเขาเอาข้อมูลของผมไปบอกกับพวกบนเกาะว่าผมเอาชนะไฮดราได้ยังไง รวมไปถึงข้อมูลอาภรณ์วิญญาณของผมด้วย จากนี้ผมคงทำอะไรง่ายขึ้น
หมดเวลาที่จะมาซ่อนตัวแล้ว
“ฉันจะพูดอีกทีนะ รีบใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าซะ โกซุ ชิมะ จากนั้นฉันจะได้บดขยี้นายที่ทุ่มสุดตัวแล้วก้าวข้ามนายไปได้สักที คราวนี้ฉันไม่ยอมให้นายออมมือเอาไว้อีกแน่”
◆◆
“มายาดาบเดียว เพลิงรุกไล่!”
คลิมเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามาโจมตีผม เปลวเพลิงที่รุนแรงได้วนล้อมรอบตัวเขา ด้วยความน่าสะพรึง
อาภรณ์วิญญาณของคลิมอย่าง คุริคาระคือดาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นหากใช้มันประสานเข้ากับเทคนิคที่มีไฟเป็นพื้นฐานพลังทำลายล้างก็ย่อมสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและพลังที่เขาใช้ออกมานั้นทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า ถึงจะเป็นไฮดราก็คงจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ทว่าก็เหมือนกับที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ขนาดพลังของจูสึมารุยังใช้ไม่ได้ผลกับผม ดังนั้นคิดเหรอว่าพลังของคลิมจะทำอะไรผมได้ สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงถือโซลอีทเตอร์ไว้ในมือขวาและเตรียมรับการโจมตี
จากนั้นก็มีเสียงที่ทรงพลังดังขึ้นมาจากทิศของไคลอา
“มายาดาบเดียว ตัดวายุ”
คลื่นวายุคลั่งถูกปลดปล่อยออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว ก็เหมือนกับอาภรณ์วิญญาณของคลิมที่ใช้ได้ผลดีขึ้นกับเทคนิคประเภทไฟ ทางอาภรณ์วิญญาณของไคลอาอย่างคุซานางิก็ใช้ได้ผลดีกับเทคนิคประเภทลม หากเป็นการโจมตีนี้ละก็ คงสามารถระเบิดหัวออกไฮดราออกได้โดยง่าย
จังหวะการโจมตีประสานกันช่างสมบูรณ์ เธอคงคาดการเอาไว้แล้วว่าหากเธอชะลอการใช้เทคนิคหลังการโจมตีของคลิมไปเล็กน้อย ผมคงไม่มีทางยกเลิกผลการโจมตีดังกล่าวได้แน่
ไม่สิ บางทีที่คลิมใช้เทคนิคที่ดูอลังการในการโจมตีแรกก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้พี่สาวของเขาใช้เทคนิคดังกล่าวโจมตีเสริมก็เป็นได้
เอาเถอะ จะแบบไหนก็ไม่สำคัญหรอก
“ฮ่า!”
หากผมกันมันด้วยอาภรณ์วิญญาณไม่ได้ ผมก็ใช้อย่างอื่นแทนสิ ผมได้ทำการระเบิดพลังคิออกมาเพื่อปัดป้องสายลมที่ไคลอาใช้โจมตีเข้ามา
พลังคิที่ระเบิดออกมามีความรุนแรงดุจดั่งการระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ตามที่เรียกของมัน คลื่นวายุที่ยิงเข้ามาได้ปะทะกับคิของผมเหมือนกำลังต้านพลังกันอยู่ แต่มันก็ทำได้ไม่นานนักก่อนจะสลายไป
สองพี่น้องเบิร์ชแสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวออกมาขณะดูการโจมตีของพวกเขาที่สลายไป พอเห็นแบบนี้ผมก็กะจะเย้ยพวกเขาอีกสักหน่อยหรอก แต่พอผมมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นคู่ต่อสู้คนที่ 3 ของผม ผมก็ได้สติ ทันใดนั้นก็มีเสียงอันหนักแน่นดังขึ้นจากบนหัวของผม
“ศาสตร์ลับมายาดาบเดียว――”
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าโกซุได้สวมชุดเกราะอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว ราชาวัวได้ทำการจุติมายังร่างของเขา ตอนนี้เขาได้ทำการยกดาบมังกรฟ้าของตนขึ้นจากนั้น――
“กระบวนท่าสั่นสะท้าน อัสนีคำราม!!”
เขาฟาดดาบลงมาด้วยความรุนแรง
คมดาบที่ส่งประกายราวกับสายฟ้าได้กระแทกลงมาเพื่อหมายกลืนกินร่างของผม ทั้งความเร็วและความรุนแรงที่โถมเข้ามามันไม่ใช่ของที่จะรับมือได้โดยง่ายเลย
ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะใช้ระเบิดคิอีกครั้งแล้ว ไม่สิถึงจะใช้ไปก็คงกันไว้ไม่อยู่ สถานการณ์ในตอนนี้มันต่างจากตอนรับมือกับไคลอา พลังอันท่วมท้นนี้คือของจริง
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยกมือซ้ายขึ้นเหนือหัวของตนเอง―
“อึก…!”
―และรับการโจมตีจากสายฟ้าของโกซุเข้าไปตรงๆ
ไม่ว่าบาเรียคิที่ใช้ป้องกันจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงรับการโจมตีนี้ไม่อยู่หรอก เลือดได้สาดกระเซ็นออกมา คมดาบของเขาเจาะทะลวงเข้ามาถึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของผม
ชิ้นเนื้อและกระดูกของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ เส้นประสาทบริเวณนั้นก็เสียหาย ความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างของผม ทว่าดาบมังกรฟ้าของโกซุก็ยังไม่หยุด มันได้ทำการโจมตีลากยาวลึกลงไปถึงข้อมือของผมเลย ถึงจะบอกว่ามันอาจจะดีกว่าถูกตัดมือทิ้งไปเลย แต่ตอนนี้มือซ้ายของผมก็ใช้ไม่ได้แล้วแหละ
ว่ากันตามตรง ผมก็คงจะมั่นใจในตัวเองเกินไปหน่อยที่คิดว่าคิของตัวเองจะเอาอยู่ แต่ดูเหมือนจะดูถูกพลังที่แท้จริงของโกซุไปหน่อยแฮะ
พอรับรู้ได้ถึงความจริงดังกล่าว มันก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆ! เยี่ยมยอดมาก โกซุ! ไอ้ท่าเมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ ศาสตร์ลับงั้นเหรอ กระบวนท่าสั่นสะท้าน เห้ยๆ ไม่เคยได้ยินว่ามีของแบบนั้นมาก่อนเลยนะ! แต่มันก็สุดยอดจริงๆ นั่นแหละ นี่สินะการทุ่มสุดตัวของนาย พลังทั้งหมดของโกซุ…ที่เคยมองฉันด้วยความสงสารตอนยังอยู่ที่เกาะ…มาตอนนี้กลับใส่ฉันอย่างเต็มแรงแล้ว! ในที่สุดนายก็ยอมใช้พลังทั้งหมดที่มีกับฉันสักที! ฮ่าๆๆๆๆ!!”
ผมหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า จากนั้นก็ใช้พลังของอาภรณ์วิญญาณในการฟื้นฟูบาดแผล ขนาดแขนขาขาดผมยังงอกใหม่ได้เลย ดังนั้นแค่ชิ้นเนื้อถูกฟัน กระดูกแตก เส้นประสาทเสียหายน่ะของกล้วยๆ
ถึงมันจะเจ็บมากก็เถอะตอนโดนคมดาบฟันเข้าไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ขนาดความเจ็บปวดยังทำให้ผมรู้สึกดีจนหยุดขำออกมาไม่ได้เลย
การที่โกซุแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาให้ผมได้เห็นมันทำให้ผมดีใจมากจริงๆ เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงเขาจะใช้พลังทั้งหมดของเขาแล้วก็ยังไม่สามารถตัดแขนของผมได้สักข้างเลยยังไงล่ะ
ผมสัมผัสได้แล้วจริงๆ ว่าตัวผมตอนนี้เหนือกว่าโกซุ ชิมะ
บอกกันตามตรงเลยนะว่า ผมไม่เคยคิดว่าเลยผมจะมีความรู้สึกที่บิดเบี้ยวขนาดนี้กับโกซุ
ความรู้สึกที่มีต่อเขาในอดีตก็คือความสมเพชในตัวเองที่ถูกเขามองด้วยความสงสาร แต่ผมก็เข้าใจได้แหละนะว่าเพราะเขาต้องดูแลผมในฐานะผู้ดูแล
ในตอนที่ผมต่อสู้กับเขาที่เมืองอิชกะยังไม่มีอารมณ์ขนาดนี้เลยแท้ๆ …ไม่สิ คงจะเป็นเพราะตอนนั้นผมยังอ่อนแอกว่าโกซุมากกว่า ถึงแม้ผมจะสามารถพลิกเกมเอาชนะเขาได้ตอนหลังก็เถอะ แต่ตอนนั้นใจของผมก็ยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองเหนือกว่าโกซุไปแล้ว แถมการต่อสู้ก็ถูกขัดจังหวะเพราะไฮดราด้วย
ตอนนี้แหละในที่สุดก็มั่นใจได้สักที หลังจากต่อสู้กับไฮดราเสร็จ ผมก็มั่นใจแล้วว่าผมเหนือกว่าโกซุแล้ว จะได้ฝังความผิดหวังในอดีตลงหลุมไปสักที
ขอบอกไว้ก่อนนะว่ามือซ้ายของผมตอนนี้ยังถูกคมดาบของโซกุฝังเอาไว้อยู่
ภายใต้หมวกหัววัวที่โกซุสวมเอาไว้กำลังเฝ้ามองดูผมด้วยความเงียบงัน ทว่าพอผ่านไปสักพักก็มีเสียงสั่นออกมาจากภายในหมวก เพราะเขาพยายามจะดึงดาบของตนกลับไปแต่ทว่าดาบที่ฝังอยู่ในมือของผมกลับไม่ขยับเลยสักนิด
“อึก…”
โกซุส่งเสียงออกมา ส่วนทางผมก็ยิ้มด้วยความดีใจและล็อกดาบให้แน่นยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นผมยังเพิ่มแรงที่ส่งลงไปอีกเรื่อยๆ แกรก…มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังแตกหัก
“นะ…นายน้อย”
“หุหุหุ ดูจากเสียงดูท่าภายใต้หมวกนั่นนายเหมือนจะเหนื่อยๆ นะ ชักจะอยากเห็นหน้าแล้วสิ”
ผมได้ทำการเพิ่มแรงมากขึ้น และมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง…
เกิดเสียงแตกของบางสิ่งขึ้น เสียงที่แตกสลายออกมาเหมือนคริสทัลชิ้นเล็กๆ
มันคือดาบของโกซุที่แตกออกไปเป็นทางตั้งแต่ส่วนปลายของดาบ
“เป็นไปไม่ได้…!”
“ฮ่าๆๆๆ! เปราะบาง ช่างเปราะบางเสียจริงๆ โกซุ! นี่น่ะเหรอสิ่งที่ผู้เข้าถึงห้วงแห่งความว่างเปล่าทำได้? นี่น่ะเหรอที่สุดของแก่นแท้แห่งมายาดาบเดียว? ไอ้ท่าทางที่บอกจะบดขยี้ความผยองของฉันทิ้งมันหายไปไหนหมดแล้ว แสดงให้ดูหน่อยสิ!?”
ผมพูดขณะที่เพ่งสมาธิส่งพลังคิไปยังมือซ้ายมากขึ้น เพื่อจะทำลายดาบของโกซุด้วยแรงที่มากกว่าเดิม
จากนั้นผมก็ได้ทำการปล่อยมือซ้ายของผมที่เคยมีดาบของโกซุฝังอยู่เอาไว้และหมุนตัวก่อนจะเตะเข้าไปที่กลางท้องของโกซุเหมือนกับหอกแทง โกซุที่สวมหมวกเอาไว้อยู่คงจะตะลึงน่าดู
เมื่อรับการโจมตีที่เสริมพลังคิของผมเข้าไป ร่างกายที่ใหญ่โตของโกซุซึ่งสวมชุดเกราะไว้อยู่ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
พอได้เห็นร่างกายที่ใหญ่โตขณะสวมเกราะของเขาลอยขึ้นไปในอากาศเพราะพลังคิของผมแล้ว
ผมก็ยิ้มออกมาที่มุมปาก สัญญาสงบศึกของพวกเรามันผ่านไปนานแล้วนี่เนอะ
——–
อธิบายท้ายตอนของผู้เขียน
ไทเคียวคุ เรียวกิ ชิโช ฮัคเกะ
เป็นระดับที่บ่งบองถึงอนิม่าของแต่ละบุคคล ถ้าจะให้พูดง่ายๆ
ไทเคียวคุคือ อนิม่าระดับ S
เรียวกิ ระดับ AAA
ชิโช ระดับ AA
ฮัคเกะ ระดับ A
ขอแค่อยู่ในระดับ ฮัคเกะ คนพวกนั้นก็สามารถเป็นหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 ไปสบายๆ และหากสามารถไปถึงระดับชิโชได้ความใฝ่ฝันที่จะกลายเป็นนักบุญดาบก็คงไม่ไกลแล้ว หากอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิกว่า 300 ปี จะพบได้ว่าผู้ที่มีอนิม่าถึงระดับไทเคียวคุ หากนับรวมผู้ก่อตั้งตระกูลรุ่นแรกแล้วก็มีแค่ผู้นำตระกูลเพียง 3 รุ่นเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั่นเอง
Note 1 : ระดับพวกนี้ผู้เขียนอ้างอิงมาจากแนวคิดของเต๋านะครับ ภาพมันจะประมาณนี้แหละ // ว่าแต่ที่บอกไคลอาว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวรู้นี่ยังไงซิ!!
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code