ตอนที่ 112-3 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 4
「ย๊า! ย๊า! โอ้วว!」
บริเวณเมืองชูโตะ จุดเดียวบนเกาะอสูรยักษ์ที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งเหล่านักบุญดาบและคนของพวกเขาก็อยู่ที่นั่น ได้มีเสียงของเด็กน้อยดังขึ้นมาบริเวณลานกว้างบ้านของเขา
เด็กที่กำลังแกว่งดาบไม้อยู่ในขณะนี้ก็คือ มิตสึรุกิ อิบุกิ ที่อายุได้ 4 ปี แต่ถึงจะบอกว่าเป็นดาบไม้มันก็ไม่ใช่ดาบไม้ที่พวกนักรบแห่งผืนป่าเหวี่ยงเพื่อซ้อมกัน แต่มันเป็นเพียงของเล่นที่เลียนแบบให้มีรูปร่างคล้ายดาบไม้
มันคือของที่โกซุมอบให้กับหลานชายของเขาในฐานะของขวัญวันเกิดครบรอบ 4 ปี เด็กคนนี้คือความภูมิใจของตระกูลชิมะ โกซุสร้างมันขึ้นมาด้วยหัวใจและจิตวิญญาณทั้งหมดที่เขามี มันคืองานฝีมือที่แสนประณีตซึ่งได้รับการตกแต่งตั้งแต่ด้ามจับไปจนถึงฝักดาบ
และมันก็ได้กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของอิบุกิที่พกไปไหนมาไหนและนอนกอดมันทุกคืน จนเซซิล ชิมะ แม่ของเขาก็มักจะบ่นว่าให้วางมันเอาไว้ข้างๆ แทนที่จะนอนกอดเพราะอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ แต่ทางอิบุกิก็รั้นไม่ยอมฟังคำแม่ของเขาเลย
เซซิล ที่คอยดูแลจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนเหงื่อของอิบุกิไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ส่วนคนที่กำลังคอยเฝ้ามองเด็กคนนี้อยู่ก็คือ โกซุ กับนักรบสาวที่คอยเป็นเพื่อนเล่นกับอิบุกิ แล้วก็อีกคนหนึ่งคือ….
「ฟุฟุ อิบุกินี่ซุกซนกว่าที่คิดนะเนี่ย」
เธอพูดออกมาก่อนจะยิ้มให้กับโกซุ ชื่อของเธอคนนี้คือ มิตสึรุกิ เอ็มมะ
ดวงตากลมโตราวกับไพลินสีน้ำเงิน เส้นผมสีทองที่ยาวถึงเอวราวกับเส้นไหม ความสง่างามของใบหน้าและรูปร่างทำให้รู้สึกเหมือนเธอคือสปิริตไม่ก็เทพธิดาเสียมากกว่ามนุษย์
เอ็มมะ คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของนักบุญดาบอย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุ และยังเป็นแม่แท้ๆ ของมิตสึรุกิ รากุนะ ว่าที่ผู้นำตระกูลมิตสึรุกิคนถัดไป โดยพื้นเพของเธอนั้นมาจากตระกูลชนชั้นสูงของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าอย่างตระกูลพาราดิส แน่นอนว่าเซซิลที่เป็นภรรยาน้อยของชิกิบุย่อมมีสถานะที่ต่ำกว่าเอ็มมะซึ่งเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของตระกูล
เธอไม่ใช่คนที่โกซุจะสามารถทำตัวหยาบคายด้วยได้ในหลายๆ เหตุผล
「ฮ่ะ เขาซนมากจนบางทีมันก็สร้างปัญหาให้ข้าได้จริงๆ ครับ」
「พวกเด็กๆ ก็เหมือนกับบุตรแห่งสายลมนั่นแหละ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตกันอย่างซุกซนได้ รากุนะกับโซระในอดีตก็ไม่ต่างอะไรกับอิบุกิในตอนนี้เลย พวกเขามักจะชอบออกไปเล่นด้วยกันข้างนอกแล้วไม่ยอมกลับบ้านมาเสียที จนทำให้ฉันกับชิซึยะเป็นกังวลเสมอเลย」
「ฮ่าๆ นั่นสินะครับ ข้าก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าข้าต้องออกไปตามพวกเขาในตอนนั้นกี่ครั้งได้」
เอ็มมะและโกซุ ต่างก็แสดงสีหน้าที่ดูพึงพอใจเมื่อได้นึกถึงเรื่องเมื่ออดีต
หากคนอื่นมาเห็นฉากแบบนี้เข้า พวกเขาคงได้ตกใจเอามากๆ แน่
เพราะสำหรับเอ็มมะแล้ว เซซิลก็ไม่ต่างอะไรจากคู่แข่งทางความรักที่ต้องเรียกความสนใจจากชิกิบุเลย และอิบุกิที่เป็นลูกของเซซิล ถึงแม้เด็กคนนี้จะยังเล็กอยู่แต่ก็อาจจะกลายมาเป็นภัยร้ายต่อตำแหน่งของรากุนะในอนาคตก็ได้ นอกจากนี้ในมุมของพวกเขาแล้ว โกซุก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทะเยอทะยานในอำนาจ โดยส่งน้องสาวของตนเองไปให้กับผู้นำตระกูล
อันที่จริงคนรอบตัวของเอ็มมะต่างก็มักจะคอยระวังท่าทีของโกซุและเซซิล ถึงแม้ทั้งคู่หากให้มองดูฐานอำนาจแล้วก็คงไม่มีพลังพอจะให้เล่นเกมการเมืองภายในตระกูลมิตสึรุกิได้หรอก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามไปได้อยู่ดีเพราะเด็กคนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้มี”คุณสมบัติ”
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เหมือนกับเรื่องที่กิลมอร์ เบิร์ช สร้างขึ้นมาเมื่อคืนนี้ เนื่องจากตระกูลเบิร์ชได้เข้ามาติดต่อและทำความใกล้ชิดกับทางรากุนะ เพื่อสร้างฐานอำนาจที่จะเกิดขึ้นในรุ่นถัดไป หากเขาสามารถจัดการกับโกซุลงได้ตรงนั้น ตำแหน่งชิบะก็จะตกมายังฝั่งของพวกเขาเป็นแน่ นั่นแหละคือเป้าหมายสูงสุดของกิลเมอร์ในที่ประชุมเมื่อคืน
ทว่า
กลับกันเอ็มมะนั้นทำตัวแตกต่างกับคนรอบข้างของเธอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอแสดงความเป็นมิตรออกมาให้กับทั้งโกซุและเซซิล แน่นอนว่าอิบุกิก็ด้วย เธอรักและเอ็นดูเขามากจนถึงขั้นเดินทางมาเพื่อเฝ้าดูอิบุกิเหมือนกับในวันนี้
เดิมที่แล้ว เอ็มมะ พาราดิสก็เป็นผู้หญิงแบบนี้แหละ บางทีอาจจะเพราะว่าเธอถูกเลี้ยงมาเหมือนกับผีเสื้อท่ามกลางดอกไม้ตั้งแต่ยังเล็ก จนบางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่ได้รับรู้ความอาฆาตของผู้อื่นเลยจนดูเป็นคนที่ “ไร้เดียงสา” ก็เรียกได้ว่าเธอคือคนที่ไม่ได้มีพิษภัยกับใครเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง
เมื่อเอ็มมะแต่งงานเข้ามาในตระกูลมิตสึรุกิ มิตสึรุกิ ชิซึยะก็เป็นภรรยาคนแรกของอิบุกิอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเป็นภรรยาคนที่สองของเขาแม้เธอจะเป็นถึงบุตรสาวของชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่จากจักรวรรดิก็ตาม แน่นอนว่าลูกของเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลด้วย
ดังนั้นหากเธอเป็นบุตรสาวของชนชั้นสูงทั่วไปละก็ เธอคงจะเก็บงำความแค้นที่มีอยู่เอาไว้แล้วพยายามหาหนทางทุกวิธีในการจัดการกับชิซึยะที่เป็นภรรยาคนแรกลง แล้วให้เธอเข้าไปแทนที่
แต่สำหรับเอ็มมะแล้ว เธอไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้นกับชิซึยะเลย นอกจากนี้เธอยังเข้าไปพูดคุยกับชิซึยะอย่างแข็งขันจนสุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก
ดังนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากเอ็มมะจะกระทำเช่นเดียวกันกับ เซซิล อิบุกิ และ โกซุ
โกซุเองก็รู้เรื่องนั้นดี จนทำให้เขาสามารถพูดกับเอ็มมะได้โดยไม่รู้สึกตึงเครียดนัก
ไม่นานนัก เสียงของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความร่าเริงก็ดังขึ้น
「เอาล่ะ พอกันแค่นี้ก่อนเนอะ อิบุกิ」
「เอ๋! แต่ผมอยากจะสู้ต่อนี่นาพี่อายากะ!!」
「แต่ถ้าเกิดว่ามีมอนสเตอร์บุกเข้ามาตอนที่เธอเหนื่อยอยู่จะทำยังไงล่ะ ใครกันจะเป็นคนปกป้องแม่ของเธอได้? 」
「อึก…」
「มันเป็นหน้าที่ของเหล่าผู้ถือธงแห่งผืนป่าที่จะต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ในทุกช่วงเวลานะ」
「อื้อ เข้าใจแล้วครับ!」
「ดีมาก ถ้างั้นก็กลับไปหาแม่ของเธอแล้วเช็ดเหงื่ออะไรให้เรียบร้อยด้วยนะ ขืนปล่อยเอาไว้เดี๋ยวได้เป็นหวัดเอาแน่」
พอพูดจบหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในธงแห่งผืนป่าอย่าง อายากะ อาซึระอิ ก็ชี้ไปยังเซซิลที่กลับมาเพื่อจะเปลี่ยนชุดให้กับอิบุกิ
หลังจากที่เห็นอิบุกิวิ่งไปหาแม่ของเขาแล้ว อายากะก็เดินเข้ามาหาเอ็มมะและโกซุ
พออายากะเดินมาถึง โกซุก็ก้มศีรษะของตนลงเล็กน้อย
「ข้าขอโทษด้วยนะอาซึระอิที่มักจะสร้างปัญหาให้ตลอดเลย」
「ไม่เป็นไรหรอก อิบุกิก็เป็นเหมือนน้องชายที่น่ารักของฉันคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องที่ชิบะต้องมากังวลเสียหน่อยค่ะ」
อายากะยิ้มออกมาก่อนจะพูดเช่นนั้น
อิบุกิก็ไม่ต่างอะไรกับลูกพี่ลูกน้องของรากุนะ สำหรับอายากะที่เป็นคู่หมั้นขอรากุนะแล้วอิบุกิก็คงนับได้ว่าเป็นน้องชายคนหนึ่งของเธอ
หากเป็นตระกูลอื่น ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะเกิดขึ้นมาจากภรรยาหรือภรรยาน้อย เขาก็จะได้รับการปฏิบัติใกล้เคียงกับผู้นำตระกูล นั่นหมายความว่าอายากะไม่มีทางมาพูดคุยเล่นอะไรแบบนี้กับอิบุกิได้เลย นอกจากนี้ถึงโกซุจะมีศักดิ์เป็นอาของเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากันในสถานที่ที่เป็นทางการเขาก็จำเป็นต้องคุกเข่าต่อหน้าอิบุกิเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับตระกูลมิตสึรุกิแล้ว มีเพียงแค่ลูกของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่คนในตระกูลจำเป็นต้องทำความเคารพระดับนั้น ถึงแม้พวกเขาจะใช้สกุลมิตสึรุกิเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีอำนาจในการสอบทอดอะไรใดๆ อยู่ หากจะมองให้ชัดก็มีตัวอย่างตรงที่เอ็มมะเมื่อแต่งงานเข้ามาแล้วเธอต้องเปลี่ยนสกุลของเธอจากพาราดิสที่เป็นของฝั่งพ่อแม่กลายมาเป็นมิตสึรุกิ แต่เซซิลที่เป็นภรรยาน้อยนั้นเธอยังคงใช้สกุลชิมะเหมือนเดิม นี่คือความเข้มงวดภายในตระกูลมิตสึรุกิ
ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น ผู้ที่สามารถอุ้มท้องลูกของผู้นำตระกูลได้ พวกเขาก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในการจ่ายเบี้ยเลี้ยงดูบุตรและตัวภรรยาน้อยเป็นรายเดือน ดังนั้นตระกูลที่ส่งภรรยาน้อยเข้ามาให้กับตระกูลมิตสึรุกิจึงไม่มีใครบ่นอะไรออกมา
แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเสมอไป เนื่องจากผู้นำตระกูลมิตสึรุกิคนปัจจุบันอย่างชิกิบุนั้นได้รับเอาภรรยาน้อยเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่ทางตระกูลต้องแบกรับมันก็มากขึ้นตามไปด้วย จนทำให้กิลมอร์ที่ดูแลด้านการเงินของตระกูลในฐานะชิโตะต้องออกมาเตือนเจ้านายของเขาอยู่บ่อยๆ ก็จริงว่ากิลมอร์เป็นพวกรู้จักการประจบสอพลอแต่หากว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาเขาก็จะทำมันได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สุดท้ายอิบุกิก็จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีนั่นเอง แถมจนถึงตอนนี้เหล่าผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเขาอยู่ก็ไม่ได้พบความบิดเบี้ยวในบุคลิกของเขาเลย จนทำให้แต่หวังว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีในอนาคต
และในตอนนั้นเองอายากะก็ได้มองไปยังโกซุอีกครั้งและเปิดปากขึ้น
「คือว่าชิมะ ถึงจะเปลี่ยนเรื่องไปบ้างแต่ว่า…. 」
「หือ? 」
「โซระสบายดีหรือเปล่าคะ? 」
น้ำเสียงของเธอที่ถามออกมาช่างดูเป็นธรรมชาติไม่ต่างจากถามคนอื่นว่าเมื่อวานทานอะไรมา แน่นอนว่าไม่มีสัญญาณของความรู้สึกแปลกๆ และตึงเครียดส่งมาถึงโกซุเลย
เนื่องจากอายากะก็ร่วมประชุมที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ในฐานะคนของนักรบแห่งผืนป่า เธอย่อมรู้เรื่องที่โกซุนำมารายงาน
และหากมองให้ดีๆ ก็ดูเหมือนเอ็มมะจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วยจากสายตาที่เธอมองมายังโกซุ
ก็อย่างที่ได้บอกไปตอนแรก แม่ของโซระอย่างชิซึยะและเอ็มมะนั้นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก่อนที่ชิซึยะจะจากไปเธอก็ได้ขอให้เอ็มมะดูแลโซระแทนตัวเธอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เอ็มมะได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ลูกชายของเพื่อนเธอและยังคงพูดกับเขาด้วยความกรุณาไม่ต่างจากแต่ก่อน
แถมอันที่จริงก็เป็นตัวโซระเองด้วยที่ปฏิเสธการดูแลจากเอ็มมะ
ตอนที่เอ็มมะได้กลายมาเป็นภรรยาอันดับ 1 แทนแม่ของโซระที่ตายไป โซระยังเด็กอยู่มาก จนทำให้มองว่าเอ็มมะคือคนที่มาแย่งตำแหน่งที่แม่ของตนเคยอยู่ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่เขามีปัญหากับรากุนะลูกของเธอด้วย ก็ไม่แปลกอะไรหากโซระในตอนนั้นจะรู้สึกเกลียดชังเธอ
เอ็มมะที่เข้าใจเรื่องนี้ดีจึงตัดสินใจทำการเฝ้าดูเขาแทนจากที่ไกลๆ นอกจากนี้ก็เป็นเพราะเรื่องที่เธอให้ความสนใจกับโซระมากจนเกินไป มันทำให้พฤติกรรมของรากุนะดูบิดเบี้ยวไปจากแต่ก่อนด้วยนั่นเอง
ตอนที่โซระถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป เป็นช่วงที่เอ็มมะกำลังป่วยอยู่เธอจึงไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และพอเธอมารู้เอาทีหลังเธอก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนั่นคือเรื่องที่โกซุรู้มา
มันหนักถึงขึ้นที่เอ็มมะผู้ไม่เคยออกสิทธิ์ออกเสียงอะไรมาก่อน ได้เข้าไปขอร้องกับชิกิบุให้ยกเลิกการขับไล่โซระออกจากเกาะ
แต่ก็เป็นไปตามที่คาดกัน การตัดสินใจของชิกิบุไม่ได้สั่นคลอนเลยสักนิด ส่วนที่อยู่ของโซระหลังถูกเนรเทศออกจากเกาะไปก็ไม่มีใครทราบ เอ็มมะจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูหลุมฝังศพของชิซึยะโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
หลังจากนั้น 5 ปี ในที่สุดชื่อของโซระก็กลับให้เธอได้ยินอีกครั้ง เอ็มมะจึงอยากรู้เรื่องของโซระเป็นอย่างมากไม่ต่างอะไรกับอดีตคู่หมั้นของเขาอย่างอายากะ
อันที่จริงวันนี้ที่ทั้งสองคนมาพบกับอิบุกิตั้งแต่เช้า อีกเป้าหมายหนึ่งของพวกเธอก็น่าจะเป็นเรื่องของโซระนี่แหละ แต่ถึงจะได้รับแรงกดดันทางสายตามาจากทั้งสอง โกซุก็รับมือกับมันได้ด้วยความสงบก่อนจะพยักหน้าให้กับคำถามของอายากะ
「แน่นอนว่าเขาสบายดีครับ」
นอกจากนี้เขายังสามารถเตะตูดข้าที่ใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้อีกด้วย
พอได้ยินโกซุพูดออกมากึ่งจริงจังกึ่งเล่นตลกแล้ว อายากะก็พยักหน้าและหรี่ตาลงเล็กน้อย
「ถึงเขาจะถูกเนรเทศออกจากเกาะไป แต่สุดท้ายเขาก็สามารถนำอาภรณ์วิญญาณออกมาใช้ได้สินะ ความดื้อรั้นนี้ช่างไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย」
「นั่นสินะ ข้าก็รู้สึกเสียใจจริงๆ หากในอดีตข้าสามารถช่วยแนะนำเขาและนำอาภรณ์วิญญาณของเขาออกมาได้สำเร็จ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น」
ถึงอายากะจะเห็นด้วยกับสิ่งที่โกซุคร่ำครวญออกมาแต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมา
จากนั้นเอ็มมะก็เปิดปากขึ้น
「ฉันได้ยินมาว่าคุณท่านส่งจดหมายเรียกตัวโซระกลับมาที่เกาะในวันครบรอบการตายของชิซึยะ นายคิดว่าโซระเขาจะมาหรือเปล่า? 」
「ว่ากันตามตรง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าหากเป็นท่านโซระในอดีตเขาคงยอมรับมันโดยทันทีแน่ แต่ท่านโซระในตอนนี้ถึงจะเป็นข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะ――」
「โซระจะต้องมาแน่ค่ะ คุณผู้หญิง」
ตรงกันข้ามกับโกซุที่ลังเลในคำตอบของตน อายากะได้พูดยืนยันว่าโซระจะต้องมาอย่างแน่นอน นั่นทำให้เอ็มมะรู้สึกตกใจกับความมั่นใจของเธอจนดวงตาเบิกกว้าง
โกซุเองก็ถามเธอด้วยความสงสัย
「อาซึระอิ ทำไมเจ้าถึงมั่นใจขนาดนั้นกันล่ะ? 」
「ถึงโซระจะยอมแพ้กับทุกสิ่งในชีวิต แต่เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ให้กับคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับท่านชิซึยะอย่างแน่นอน เพราะว่านั่นคือคำมั่นสัญญาที่เขามอบให้กับท่านชิซึยะเมื่อ 5 ปีก่อนหากไม่มีมันแล้วเขาคงไม่มีทางได้รับอาภรณ์วิญญาณ――ซึ่งเป็นอนิม่าของเขามาแน่」
「ก็แปลว่า หากเป็นวันครบรอบการตายของท่านชิซึยะแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอนสินะ」
โกซุพยักหน้าและกอดอก เพราะเขาก็จำคำพูดที่โซระบอกกับเขาได้ตอนที่อยู่เมืองอิชกะ
「นี่มันก็ผ่านมา 5 ปีแล้วตั้งแต่ฉันถูกเนรเทศออกมา ฉันพยายามคืบคลานแทบตายเพื่อจะมาถึงตรงนี้ ก็จริงว่าสุดท้ายฉันไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะเป็น ท่านแม่ก็คงจะรู้สึกผิดหวังในตัวฉัน…」
คำพูดของเขาที่บอกว่าแม่ของเขาคงผิดหวัง ไม่มีทางจะออกมาจากปากของคนที่ทอดทิ้งอดีตและหลงลืมเรื่องราวที่ให้คำมั่นสัญญากับแม่ของตนได้แน่
โซระที่ถูกเนรเทศออกจากตระกูลและเกาะอสูรยักษ์ไปจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่เขาเลยสักครั้ง
คำพูดของชิกิบุที่มอบให้กับเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับจดหมายเชิญให้เขากลับมายังเกาะได้ชั่วคราว อายากะมั่นใจว่าเขาจะต้องมุ่งมายังที่แห่งนี้ให้ได้แน่ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร
หลังจากนั้นการสนทนาเรื่องของโซระก็เป็นอันจบลงเนื่องจากการมาของอิบุกิและเซซิลที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเขาเสร็จแล้ว
ทั้งสามคนก็เลยหันไปคุยกับทางอิบุกิและเซซิลแทน
ตอนแรกอิบุกิก็พยายามจะทำตัวให้นิ่งเหมือนกับตนเป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่หรอก แต่ด้วยวัยของเขาแล้วคงอยากจะเล่นมากกว่าพูดคุย ไม่นานนักเขาก็เริ่มมีท่าทางที่อยู่ไม่สุข
อายากะที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับจะบอกว่า ช่วยไม่ได้สินะ
「อิบุกิ ไหนๆ ก็พักกันมาพอแล้ว มาหาอะไรทำกันอีกสักหน่อยไหม? 」
「อื้อ ได้สิ ผมก็อยากจะหาอะไรทำเหมือนกัน เอาสิพี่อายากะ!!」
เหล่าผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ก็ส่งยิ้มกันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเห็นอิบุกิกระโดดและยกมือขึ้นมาตอบรับอายากะ
และวินาทีต่อมา เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของอิบุกิ รอยยิ้มของพวกเขาก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป
「ผมจะต้องแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถจัดการกับคนที่ทำร้ายท่านอาโกซุให้ได้เลย!」
โกซุที่เห็นหลานชายของตัวเองเป็นแบบนั้นก็ทำสีหน้าปั้นยากออกมาเหมือนกับเซซิลแม่ของเธอที่มองลูกชายของเธอด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน
ทางเอ็มมะก็เอามือแตะแก้มของเธอก่อนจะแสดงสีหน้าที่สับสนออกมา ทางอายากะเองก็กะพริบตาปริบๆ ราวกับได้ฟังเรื่องที่เธอไม่ทันเตรียมใจฟังมาก่อน
อิบุกิไม่ได้รู้เลยว่าคนที่รังแกท่านลุงโกซุของเขานั้นก็คือ――มิตสึรุกิ โซระ แถมทางโกซุกับเซซิลก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องของโซระให้อิบุกิฟังได้อย่างไร เขาจะบอกอิบุกิเกี่ยวกับโซระที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลและเนรเทศออกจากเกาะว่ายังไงดี
สำหรับอิบุกิแล้วมันก็เป็นเพียงคำพูดที่แสดงความขุ่นเคืองใจของเด็กคนหนึ่งที่เห็นโกซุกลับมาด้วยบาดแผล เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดธรรมดาของเขาจะสร้างผลกระทบให้กับเหล่าผู้ใหญ่ได้มากขนาดนี้
「…นี่พี่อายากะเป็นอะไรไปหรือเปล่า? 」
「อ๋อ ขอโทษนะ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้างั้นเดี๋ยววันนี้พี่จะสอนเธอเกี่ยวกับการท่าแบบพิเศษต่อแล้วกัน มันคือสุดยอดท่าลับที่พี่กับเพื่อนช่วยกันคิดขึ้นมาเลยนะ」
「ท่าลับ? มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ? 」
「ก็ต้องสุดยอดอยู่แล้วสิ ชื่อของท่าลับนั้นก็คือจาโอะเอ็นซัตสึเค็น (ดาบจ้าวอสรพิษเพลิงสังหาร) ! เคล็ดวิชาดาบเพลิงที่จะเผาผลาญพวกปีศาจ ด้วยพลังต้องห้ามของพวกมังกร!」
「โห…เท่ชะมัด! สอนผมทีสิพี่อายากะ ผมอยากจะเรียนแล้ว!」
「ได้เลย งั้นอิบุกิ ตามพี่ให้ทันนะ ถึงมันจะยากแต่ก็เตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม? 」
「อื้อ! ผมจะพยายาม!」
อิบุกิตอบรับด้วยดวงตาที่เป็นประกาย บรรยากาศแปลกๆ เมื่อครู่ได้หายไปจากจิตใจของเด็กชายอายุ 4 ปีเรียบร้อยแล้ว
เหล่าผู้ใช้ทั้งหลายต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกันอย่างไม่รู้ตัว
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code