ตอนที่ 118 จุดสูงสุด
นี่ถือโถงประชุมที่ใหญ่ที่สุดของคฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิ ส่วนถ้าจะถามว่ามันใหญ่แค่ไหน ก็คงต้องบอกว่ามันสามารถเอาทั้งผู้นำตระกูล 2 สุดยอดผู้คุ้มกัน 4 เสาหลัก หัวหน้า รองหัวหน้าหน่วยของธงทั้ง 8 และบุคคลสำคัญทั้งหมดภายในเกาะมารวมกันในห้องนี้ แต่ก็ยังมีพื้นที่เหลืออีกเยอะ
ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องโถงประชุมใหญ่ที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ ทุกสายตาภายในห้องนั้นก็จับจ้องมายังผมทันที
ภาพแรกที่เข้ามาในหัวผมเลยก็คือพิธีการทดสอบเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เสียเยาะเย้ย คำดูถูก ความสมเพช ความเฉยเมย…นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับมาตอนที่ถูกพ่อของตัวเองขับไล่ออกจากตระกูลและเนรเทศออกเกาะไป ภาพสีหน้าท่าทางของพวกเขาแต่ละคนกลับมาฉายซ้ำอยู่ภายในหัวของผม
ความทรงจำที่ผมแสนเกลียดชัง
ความทรงจำที่ผมนึกถึงทีไรก็รู้สึกปวดหัวทุกครั้งตลอด 5 ปี
「――ฟู้ว」
ผมปัดเป่าพวกมันออกไปด้วยการถอนหายใจหนึ่งครั้งและก้าวเดินต่ออย่างไม่ลังเล
พอเห็นผมทำแบบนั้น โกซุก็เหมือนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ในอดีตผมมักจะทำตัวหัวหดไหล่สั่นทุกทีที่ผมเจอกับพ่อของผมหรือคนอื่นๆ เขาคงจะรู้สึกมีความสุขที่เห็นการเติบโตของผมซึ่งในอดีตเอาแต่หลบสายตาทุกคนแน่
「ตอนนี้ ท่านโซระก็ได้เดินทางมาเพื่อพบนายท่านแล้ว เชิญครับทุกคนกำลังรอท่านอยู่」
โกซุพูดออกมาราวกับว่าทุกคนในห้องประชุมนี้รวมกันเพื่อรอต้อนรับผม ได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มไม่ออกเลยแฮะ
ไม่มีทางหรอกที่คนระดับสูงพวกนี้จะมารวมตัวกันเพราะผมเพียงคนเดียว
ที่พวกเขามารวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เพราะผมแต่เป็นเพราะแม่ของผมมากกว่า บนเกาะอสูรยักษ์เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ตระกูลจะมาไว้ทุกข์ให้ผู้เสียชีวิตในวันครบรอบการตายของพวกเขา
แถมวันนี้เป็นวันครบรอบการตายของมิตสึรุกิ ชิซึยะ ภรรยาหลวงของมิตสึรุกิ ชิกิบุ นักบุญดาบรุ่นปัจจุบัน และยังเป็นชนชั้นสูงระดับสูงจากจักรวรรดิอีกด้วย งานไว้ทุกข์ครบรอบวันตายของเธอย่อมมีคนมากหน้าหลายตาพร้อมใจกันมาอยู่แล้ว และคงเป็นแบบนั้นตลอดมาไม่ว่าผมจะอยู่ที่เกาะนี้หรือไม่
สำหรับคนที่มารวมตัวกันในวันนี้ ผมก็ไม่ต่างอะไรเลยกับผู้บุกรุกที่เข้ามารบกวนงานไว้ทุกข์ หากจะบอกว่าพวกเขารอก็คงเป็นการรอให้เรื่องไร้สาระที่เข้ามาแทรกงานในวันนี้จบๆ ไปเสียทีนั่นแหละ
พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินผ่านเหล่าผู้คนที่เรียงรายอยู่สองข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ผู้นำตระกูลอยู่ ถึงแม้ระหว่างนั้นจะเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ แม้สายตาพวกนั้นจะจ้องมองมาในรูปแบบไหน หัวใจของผมก็ไม่สั่นไหวเหมือนในอดีตแล้ว
ตามองต่ำ ไหล่สั่น หลังงอ ท่าเดินเก้ๆ กังๆ ในอดีตมันไม่มีอีกแล้ว อกยืด คางเชิดขึ้นเล็กน้อย มองตรง และจังหวะก้าวเดินที่มั่นคง นั่นคือตัวผมในตอนนี้ พอบางคนเห็นผมมีการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ก็ถึงกับส่งเสียงว่า “โฮ่” ออกมา แต่ก็อย่างที่บอก――ผมไม่ได้สนใจพวกเขาหรอก
ผมไปยังในตำแหน่งที่พวกเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนจะคุกเข่าลงและ โค้งคำนับผู้นำตระกูล จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคยจากเบื้องหน้า
「――นี่ก็ผ่านมานานแล้วสินะ…โซระ」
คำพูดแรกของพ่อผมในรอบ 5 ปีที่ได้ยิน เป็นน้ำเสียงที่เย็นชา ในขณะเดียวกันก็ปราศจากความมุ่งร้ายใดๆ
อาจจะดูเป็นการตอบรับที่ดี แต่หากคิดดูดีๆ การที่เขาพูดออกมาโดยไม่ได้แฝงน้ำเสียงมุ่งร้ายใดๆ เลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับความเฉยเมยที่มีต่อสิ่งตรงหน้า
น้ำเสียงที่หนักแน่นและเยือกเย็นของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
กี่ครั้งกันแล้วนะที่ผมรู้สึกหวั่นไหวเพราะน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นี้
กี่ครั้งกันนะที่ผมต้องไหล่สั่นเพราะสายตาที่จ้องมายังผมราวกับมองก้อนหินริมทาง
บางทีในสายตาของพ่อผม ผมในตอนนี้กับผมเมื่อ 5 ปีก่อนก็คงไม่ต่างอะไรกัน เขาอาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามันต่างกันสักแค่ไหน มุมมองของเขาก็คงเป็นเหมือนพระเจ้าทรงอำนาจที่มองเหล่ามนุษย์ทุกคนไม่ต่างอะไรกัน คำพูดของเขาที่มีต่อผมนั้น ไม่ได้มีร่องรอยของความรักที่พ่อมีต่อลูกตัวเองเลยสักนิด
――เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้รู้สึกคิดถึงหรือโหยหาอะไรแบบนั้นหรอก แม้มันจะผ่านมา 5 ปีแล้วก็ตาม ผมว่าจุดนี้ผมกับพ่อผมน่าจะเหมือนกัน
ผมก็เลยตอบกลับผู้นำตระกูลมิตสึรุกิไปอย่างใจเย็น
「ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ท่านผู้นำตระกูล」
「ดูเหมือนแม้เจ้าจะออกจากเกาะไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังหมั่นฝึกฝนอยู่สินะ」
「ฮ่ะ อย่างที่ท่านกล่าว」
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคำถามที่เขาถามผม แต่ผมก็ตอบกลับไปด้วยความเยือกเย็น ผมไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว พอถึงคำถามที่บอกว่าผมเป็นคนฆ่ามังกรได้จริงหรือ ผมก็บอกไปตามตรงเหมือนกันว่าใช่
แน่นอนว่าปฏิกิริยาจากคนรอบข้างไม่ใช่ความชื่นชม แต่เป็นรอยยิ้มสีหน้าที่ดูเหมือนเชื่อไม่ลง เย้ยหยันตัวผมที่โอ้อวดตนเกินจริงไป
ก็นะหากเป็นตัวผมที่พวกเขาเห็นมาตลอดตอนอยู่บนเกาะก็ไม่แปลกอะไร อย่างที่คิดไว้เลย ถึงโกซุกับคลิมจะมารายงานให้ฟังก่อนแล้วพวกเขาก็คงเชื่อกันไม่ลงหรอก
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ ธงที่ 4 ถูกส่งไป แม้ทางไคลอาจะแก้ปัญหาส่วนนั้นไปแล้ว และทำให้ธงที่ 4 กลับมายังเกาะ แต่คนที่นี่ทุกคนดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับคำรายงานนั้นอยู่ดี
แถมจะให้ส่งพวกมือสังหารหน่วยไล่ล่าอะไรมาอีกก็ยุ่งยาก สุดท้ายพวกเขาก็ยังปักใจเชื่อว่าผมใช้ข้ออ้างเรื่องราวอะไรทั้งหมดนี้เพื่อมาร่วมงานครบรอบการตายของแม่ผมเฉยๆ
และแล้วก็มีคนหนึ่งที่พยายามเคลื่อนไหวเพื่อยืนยันเรื่องที่พวกเขาต้องการ
「ขออภัย ท่านผู้นำ แต่ข้าขอพูดอะไรสักหน่อยได้หรือไม่? 」
「ตามที่เจ้าต้องการ กิลมอร์」
1 ใน 4 เสาหลักของตระกูล ชิโตะ กิลมอร์ เบิร์ช ก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนจะลูบเคราสีขาวของตัวเองแล้วมองผมด้วยสายตาราวกับจ้องมองเหยื่อ จากนั้นผู้นำตระกูลเบิร์ชก็พูดออกมาอยากฉะฉานราวกับประทับใจเรื่องราวของผม
「ข้ารู้สึกประทับใจมากจริงๆ ที่ท่านโซระกล่าวถึงตอนสังหารเผ่าพันธุ์อย่างมังกรด้วยมือของตัวเองได้สำเร็จ ช่างน่าอัศจรรย์ ลูกๆ ของข้าทั้งไคลอา คลิม กระทั่งโกซุซึ่งเป็นนักรบแห่งผืนป่าก็ไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย ข้าจึงอดชื่นชมไม่ได้ที่ท่านสามารถพัฒนาตัวเองมาได้ขนาดนี้ในเวลาเพียงแค่ 5 ปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเพียงแค่ความอัปยศของรุ่นทองคำซึ่งไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบได้แท้ๆ 」
และเหมือนกับจะสอดรับคารมของกิลมอร์ เสียงหัวเราะในที่ประชุมก็ดังขึ้นมาจากเหล่าคนในห้องประชุม ถ้าจะให้พูดครึ่งหนึ่งคงหัวเราะเพราะดูถูกผมส่วนที่เหลือก็ตามน้ำเพื่อประจบผู้นำตระกูลเบิร์ช ซึ่งครองขุมอำนาจส่วนใหญ่ในเกาะ
ก็คิดอยู่หรอกว่าหมอนี่คงจะหาทางยั่วโมโหผม แต่ก็ไม่คิดเลยแฮะว่าจะโจ่งแจ้งเบอร์นี้
ผมเชื่อว่าตระกูลมิตสึรุกิเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์แห่งอำนาจในเกาะนี้ ถึงจะเป็นหนึ่งเสาหลักของตระกูลก็ใช่ว่าจะพูดจาดูถูกอะไรคนตระกูลมิตสึรุกิได้ง่ายๆ แม้จะไม่ชอบหน้าก็ตาม แต่คราวนี้ดูเหมือนกิลมอร์จะไม่พอใจมากที่สองพี่น้องนั่นพ่ายแพ้ให้กับผม ก็เลยหาทางเอามาลงที่นี่
ไม่ก็อาจจะเป็นแนวทางที่เขาอยากจะชักจูงรากุนะซึ่งเป็นทายาทคนถัดไปของตระกูลหลักมาดูถูกผมตามด้วยก็ได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการยั่วยุโกซุไปด้วย
พอมาคิดๆ แล้วคงเป็นแบบหลังแฮะ เพราะจากที่ผมได้ยินไคลอาเล่าตอนอยู่อิชกะ ตระกูลเบิร์ชนั้นเป็นพวกเย็นชากับคนที่ไร้ประโยชน์ในตระกูล ดังนั้นหากมองว่าเป็นการเล่นเกมการเมืองเพื่อเพิ่มอำนาจของตระกูลแทนที่จะแก้แค้นให้กับลูกของพวกเขาน่าจะเข้าท่ากว่า
ในขณะที่ผมกำลังนั่งเงียบและคิดอยู่ กิลมอร์ก็มองมาทางผมด้วยรอยยิ้ม บางทีเขาอาจจะเห็นว่าผมกำลังกลัวจนหัวหดพูดอะไรไม่ออกในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับ 5 ปีก่อน จากนั้นเขาก็เริ่มพูดต่อด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
「หากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็เลยอยากจะเสนอทุกท่านให้เปลี่ยนเนื้อหาการพิจารณาข้อเรียกร้องที่ท่านผู้นำเมตตากรุณาขึ้นมา สำหรับคนอย่างท่านโซระที่โค่นมังกรลงได้ แค่นักรบเขี้ยวมังกรมันจะไปเหมาะสมอะไรกันเล่า ข้าเชื่อว่าเราควรให้เขาได้เผชิญหน้ากับแมงมุมดินแทนจะเหมาะสมกว่า」
ทันทีที่กิลมอร์พูกจบ ทั่วทั้งโถงประชุมก็สั่นสะเทือนขึ้นด้วยเสียงซุบซิบ ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขาประเมินผมกันต่ำไปมาก ครั้งนี้มันคือเสียงแห่งความประหลาดใจซึ่งออกมาจากคนในนั้น
「นอกจากนี้ข้าก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย เพราะยังไงวันนี้ก็เป็นวันสำคัญที่ต้องไว้อาลัยให้กับดวงวิญญาณของท่านหญิงชิซึยะ ดังนั้นพวกเราก็ควรจะจัดการธุระอย่างอื่นให้เสร็จโดยเร็ว」
กิลมอร์กล่าวออกมา
พอโกซุได้ยินเขาก็ตอบสนองต่อคำพูดของกิลมอร์ทันที เขาเปิดปากพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจน
「เดี๋ยวก่อน! ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพิธีทดสอบนั้นจะใช้แมงมุมดิน นอกจากนี้ท่านโซระก็เดินทางมาไกลมากแล้ว ไม่มีเหตุผลให้เขาจำเป็นต้องรับพิธีทดสอบโดยไม่ได้หยุดพักเลยนี่ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญด้วย ข้าคิดว่าเราควรเลื่อนเรื่องนี้ไปวันอื่นเสียด้วยซ้ำ! 」
「นั่นก็เรื่องจริง หากเป็นคนธรรมดาข้าก็คงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก ท่านโกซุ ชิมะเอ๋ย แต่นี่เป็นถึงท่านโซระผู้สามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตในตำนานลงได้ด้วยตัวคนเดียว แม้จะไม่ได้เรียนเคล็ดวิชามายาดาบเดียวอย่างเป็นทางการเชียวนะ เราก็ไม่ควรจะใช้มาตรฐานเดียวกันกับพวกคนธรรมดาสิ นอกจากนี้ข้ามองว่าท่านโซระก็คงอยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วๆ แล้วไปเยี่ยมวิญญาณแม่ของท่านอย่างสบายใจด้วย หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป? 」
กิลมอร์พูดก่อนจะยิ้มแล้วมองมายังผม
「ทางท่านโซระล่ะจะว่าอย่างไร คงไม่มีทางที่คนซึ่งสามารถฆ่าได้กระทั่งมังกรจะมากลัวตัวอย่างแมงมุมดินหรอกเนอะ ข้ามั่นใจว่าท่านก็คงไม่ติดขัดอะไร…เว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่ท่านพูดกับท่านผู้นำทั้งหมดเป็นเพียงคำลวง ไร้สาระ」
「…」
「เป็นอะไรไปเล่า ข้าก็แค่ล้อเล่นน่า แต่หากนั่นเป็นเรื่องจริง ข้าคิดว่าท่านก็ควรจะรีบขอโทษทุกคนในที่นี้เสียแต่ตอนนี้ เพราะโทษของการหลอกลวงผู้นำตระกูล และคนภายในห้องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ 」
เมื่อกิลมอร์พูดจบ ทั้งห้องประชุมก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงัน
รู้สึกเหมือนทุกสายตาภายในห้องจ้องมายังผมอีกครั้ง ผมจึงตอบสนองพวกเขากลับไปเพียงแค่ปิดปากและหลับตา ปล่อยให้บรรยากาศภายในนีเงียบต่อไป
ทุกๆ วินาทีที่ผ่านไป บรรยากาศภายในห้องนั้นก็ยังดูกดดันมากยิ่งขึ้น ความรุนแรงของบรรยากาศพุ่งสูงขึ้น ราวกับพร้อมจะกลืนกินทั้งร่างของผมไป หากเปิดปากช้ากว่านี้อาจจะมีใครในห้องนี้โมโหจนถึงขั้นลงไม้ลงมือก็ได้
แต่ถึงจะรู้แบบนั้น ผมก็ยังเลือกจะเงียบต่อไป
1 วินาที 2 วินาที 3 วินาที 4 วินาที….ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พอมองไปยังกิลมอร์ก็เห็นได้ชัดเลยว่าหมอนี่ที่เริ่มเปิดประเด็น ก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน
เขามองว่าผมมีเพียงสองทางที่จะแสดงออกมาได้ นั่นคือตระหนกและแสร้งทำตัวแข็งกร้าวยอมรับบททดสอบ ไม่ก็ยอมรับผิดแต่โดยดี การแสดงออกอย่างสงบนิ่งในตอนนี้ของผมเขาไม่เข้าใจเลยว่ามันหมายถึงอะไร
ดูเหมือนว่าชิโตะคนนี้จะไม่คิดว่าเรื่องที่ผมฆ่ามังกรลงได้เป็นเรื่องจริงแน่ๆ ก่อนที่บรรยากาศภายในห้องจะหนักไปกว่านี้ ผมก็เลยถามกิลมอร์ออกไปอย่างใจเย็นโดยไม่แฝงอารมณ์ใดๆ เอาไว้เลยเหมือนกับที่พ่อของผมทำ
「นั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการพูดทั้งหมดแล้วใช่ไหม ท่านชิโตะ?」
「ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? 」
「ผมกำลังถามท่านว่านั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการจะพูดทั้งหมดแล้วใช่ไหม ท่านชิโตะ เพราะผมก็เดินทางมาไกลเลยอยากจะจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ไปให้เสร็จๆ เสีย จะได้ไปไว้อาลัยให้กับแม่ของผมโดยไม่ต้องคิดอะไรมากอีก ผมไม่มีเวลามาพอจะมาฟังคำประชดประชันของท่านหรอกนะ หากท่านมีอะไรจะพูดอีกก็รีบพูดมาให้หมดเสีย ไว้ถึงตอนนั้นผมจะถามท่านอีกทีว่า ท่านพูดจบแล้วใช่ไหม ท่านกิลมอร์ เบิร์ช」
「…โฮ่ แบบนี้นี่เองเพียงแค่ 5 ปีดูเหมือนท่านโซระจะลืมมารยาทที่มีต่อผู้บังคับบัญชาไปแล้วสินะ ถึงแม้จะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลมิตสึรุกิ ที่ขาดความแข็งแกร่ง บุคลิกภาพ และอุปนิสัยที่เหมาะสมไปบ้าง แต่อย่างน้อยเมื่อก่อนก็มีมารยาทที่ดีกว่านี้แท้ๆ ดูตอนนี้สิกระทั่งมารยาทที่เป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของท่านก็ดูเหมือนจะไม่หลงเหลือเสียแล้ว」
「หากท่านชิโตะเป็นคนพูดเองก็คงจะเป็นเช่นนั้น ผมมองว่าตัวเองก็แสดงมารยาทออกมาดีมากพอแล้วแท้ๆ เชียว แต่สุดท้ายหากมันไม่ถูกใจท่านผมก็ต้องขออภัย」
「ถ้าเช่นนะ–」
「อ้อ แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง」
ผมพูดตัดประโยคของเขาทันที
「กะอีแค่แมงมุมดิน เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว อย่างที่ผมได้บอกไปผมอยากจะจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ให้เสร็จโดยเร็ว และได้โปรดอย่าล้อเล่นพูดไปในเชิงว่าผมตั้งใจจะค้างคืนอะไรที่นี่ด้วย」
ผมพูดเหมือนเป็นการบอกให้โกซุได้รับฟังว่าผมปฏิเสธที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ในเวลาเดียวกันผมก็เห็นสีหน้าของกิลมอร์ที่เปลี่ยนไป เขาทั้งรู้สึกแปลกใจและไม่พอใจที่ถูกขัดโดยคนแบบผม
เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่กิลมอร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี แต่ไม่นานนักเขาก็คิดได้ว่าเสียเวลาไปกับคนแบบผมมากกว่านี้ก็คงไม่ได้อะไรเพิ่ม
เขาก็เลยพยักหน้าให้และพูดกับผม
「ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจ หากท่านผู้นำไม่ได้ขัดข้องอะไรด้วย เราก็มาเริ่มพิธีทดสอบกันเลยดีกว่า มีใครจะคัดค้านอะไรอีกหรือไม่? 」
「ไม่สิ ก่อนหน้านั้น ผมมีคำถามอยากจะถามข้อหนึ่ง」
ผมพูดขัดกิลมอร์ที่หมายจะจบเรื่องนี้อีกครั้ง ตอนนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน
「ท่านยังอยากจะมาดึงเกมอะไรเอาป่านนี้อีกเล่า? 」
「ข้าว่าเป็นท่านมากกว่านะที่คิดจะดึงเกม เรื่องที่เราตกลงกันไว้ก็คือ หากผมมีพลังมากพอที่จะจัดการกับมังกรลงได้จริง การจะปล่อยให้คิจิหนึ่งหรือสองตนอยู่ด้วยก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แน่นอนว่าผมไม่เกี่ยงที่จะแสดงพลังให้เห็น จะเป็นแมงมุมดินผมก็ไม่ขัดด้วย แต่พวกท่านคงไม่ได้คิดกันหรอกใช่ไหม ว่าผมจะเข้ามาร่วมกับสำนักมายาดาบเดียวหรือตระกูลมิตสึรุกิอีกครั้งน่ะ」
「นี่ท่าน…หมายความว่าอย่างไรกัน? 」
กิลมอร์แสดงสีหน้าที่เหมือนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง สีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตเลย แต่คิดว่าคนในห้องส่วนใหญ่ก็คงไม่ต่างอะไรกับเขาหรอก
แม้มันจะเป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยาก แต่ก็น่าเสียดายที่คนสนุกกับเรื่องแบบนี้ดันมีแค่ผมคนเดียวซะงั้น ทุกคนในห้องนี้ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผมเลย
แต่ถ้าจะให้พูดคนที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าท่าทางอะไรเลยสักนิดก็ต้องเป็นพ่อของผมนี่แหละ ขนาด 2 คนคุ้มกันที่นั่งอยู่ข้างๆ นั่นยังเปลี่ยนสีหน้าไปนิดหน่อยเลย
คนส่วนใหญ่ในห้องนี้รวมถึงกิลมอร์ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าผมฆ่ามังกรได้ หรือก็คือพวกเขาคิดว่าผมกำลังพยายามหาทางกลับมาในตระกูลด้วยเรื่องราวโป้ปดนั่น แม้จะมีการยืนยันมาจากทางโกซุแล้วแต่หากดูเรื่องความสัมพันธ์มันก็เชื่อได้ว่าโกซุทำไปเพราะอยากช่วยผม
ผมที่ถูกทุกคนปฏิเสธมาโดยตลอด พอพูดแบบนี้ไป มันก็เลยทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบอีกครั้ง
ไม่นานนักก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม
「ท่านโซระครับ」
「มีอะไรเหรอ ท่านชิมะ? 」
「อย่างที่ผมได้สัญญาไว้ตอนอยู่ที่อิชกะ ผมรายงานไปแล้วว่าท่านโซระสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้และยังอยู่ในระดับที่เชี่ยวชาญอีกด้วย ดังนั้นท่านไม่สามารถหลุดพ้นจากการดูแลของตระกูลมิตสึรุกิไปได้ครับ แต่ว่ามันก็มีอีกกรณีหนึ่งหากท่านกลายเป็นนักรบธงแห่งผืนป่าครับ」
「…」
「อย่างที่ท่านทราบดีว่า นักรบบางคนได้ถูกส่งออกไปทำภารกิจนอกเกาะ แน่นอนว่านายท่านก็ยินดีที่จะรับท่านเข้ามาอยู่ในหน่วย ท่านยังจะได้รับอิสระในการอยู่นอกเกาะเช่นเดิมเพื่อสร้างชื่อ หากเป็นแบบนี้วันหนึ่งข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถยอมรับและพร้อมกลับมาใช้นามของตระกูลมิตสึรุกิเป็นแน่!」
「ก็แปลว่า สุดท้ายตระกูลมิตสึรุกิ ก็จะใช้ผมเป็นเบี้ยเหมือนเดิมสินะ ถึงจะบอกมาในจดหมายว่าหากผมแสดงความแข็งแกร่งให้ได้เห็นก็จะยอมรับความต้องการของผม แต่สุดท้ายก็เล่นลิ้นเปลี่ยนเป็นว่าความต้องการของผมจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมาอยู่ใต้พวกเขาแทน…」
「ท่านโซระ! นี่คือความเมตตาสูงสุดที่นายท่านจะมอบให้ได้แล้วนะครับ ได้โปรดรับมันเอาไว้ด้วยความขอบคุณเถิด…!」
ผมโบกมือขวาไปมาให้กับโกซุซึ่งพยายามพูดอย่างสุดความสามารถเพื่อปฏิเสธโดยไม่หันกลับไปด้วยซ้ำ
「ไม่รู้ว่าจะแรงไปไหม แต่นั่นมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยท่านชิมะ ยังไงผมก็คิดเอาไว้อยู่แล้วสุดท้ายก็ต้องลงเลยแบบนี้」
「..ท่านโซระ? 」
「ตามกฎของตระกูลมิตสึรุกิ สังหารพวกปีศาจและผนึกเทพมาร จงทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดพวกมัน จะเป็นการโกหกหรือลวงมาฆ่าก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล สิ่งที่ท่านทำตอนอยู่เมืองอิชกะก็ไม่ถือว่าแตกต่างจากแนวทางนั้นหรอกผมเข้าใจ」
「――――!」
ดูเหมือนพวกเขาจะพูดอะไรกันไม่ออก ก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าเขาจะตกใจอะไรกัน เพราะสุดท้ายเขาคิดจริงเหรอว่าตัวเองต่างจากกิลมอร์
เอาเถอะ ก็อย่างที่ผมว่านั่นแหละ ผมคิดเอาไว้แล้วว่าสุดท้ายก็ต้องลงเอยแบบนี้
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาใช้ประโยชน์จากจุดนี้เลยแล้วกัน ช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่นี้ผมได้ทำการมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ทั้งนักบุญดาบ 2 ผู้คุ้มกัน 4 เสาหลัก ธงทั้ง 8 ผมสัมผัสได้ถึงความสามารถของพวกเขาทุกคนที่มารวมตัวกันในวันนี้แล้ว
แล้วสิ่งที่ผมรู้เลยก็คือ พวกเขาทุกคนแข็งแกร่ง
ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะทุกคนที่นี่คือพวกระดับสูงของตระกูล หากเป็นผมเมื่อ 5 ปีก่อนคงถูกความน่ากลัวที่แผ่ออกมาบดขยี้ไปหมดแล้วแน่ๆ
โดยเฉพาะนักบุญดาบตรงนั้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังมองไปยังยอดเขาสีเสียดฟ้าซึ่งเหนือเมฆไปอีก
ยอดเขาที่เป็นเหมือนสถานของเหล่าทวยเทพซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้กระทั่งมังกรก็คงไม่ใช่คู่มือของเขา
แต่ถถึงจะเป็นแบบนั้น…
ผมก็เห็นถึงจุดที่เขาอยู่แล้ว…
ผมหัวเราะออกมาอยู่ภายในลำคอ
ความสุขนี้มันมากกว่าตอนที่ผมฟันโกซุ กระทืบคลิม หรือจัดการไคลอาเสียอีก ไม่สิมันมากกว่าตอนที่เอาชนะไฮดราลงได้หลายเท่าเลย
ผมได้เห็นสิ่งที่ผมไม่สามารถเห็นได้เมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว ผมเห็นจุดที่นักบุญดาบกำลังยืนอยู่ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันเหนือกว่า 2 ผู้คุ้มกันนั้นเสียอีก
นี่แหละหลักฐานที่บอกว่า 5 ปีของผมไม่ได้สูญเปล่า
และสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจเลยก็คือ บางทีแล้วนักบุญดาบคนนี้ มิตสึรุกิ ชิกิบุ ตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นไปมากกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนเลย
นี่คงจะเป็นจุดสูงสุดที่เขาจะไปได้แล้วในฐานะของผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณที่จะสามารถไปถึงได้ ปลายทางที่ไม่หลงเหลืออะไรอยู่แล้ว
หรือก็คือตรงจุดนี้แหละที่เป็นขีดจำกัดความสามารถของเขา ไม่เหลือช่องว่างอะไรให้เขาได้แข็งแกร่งไปมากกว่านี้แล้ว
นั่นสินะ วิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็คือการเพิ่มเลเวล แต่เงื่อนไขการเพิ่มเลเวลก็คือสู้กับสิ่งที่แกร่งกว่าตัวเอง
แต่บนโลกนี้มันจะมีใครที่แข็งแกร่งกว่านักบุญดาบไปได้อีกหรือ? ที่ได้รับฉายาว่าแกร่งที่สุดมาก็เพราะไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าตนนี่ ดังนั้นฉายาดังกล่าวมันก็ไม่ต่างอะไรกับโซ่พันธนาการว่าคนที่รับฉายานั้นจะไม่สามารถแข็งแกร่งไปกว่านี้ได้อีกแล้วนั่นเอง
บางทีหากเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน ก็คงจะพอช่วยให้เลเวลของนักบุญดาบเพิ่มขึ้นมาได้
แต่ผมที่ฆ่าไฮดราซึ่งเป็นหนึ่งในชีวิตในตำนานลงได้ก็ยังไปไม่ถึงระดับนักบุญดาบเลยนี่เนอะ ดังนั้นหากจำแนกระดับของพวกมันลงไปอีกที บางทีตัวที่จะเพิ่มเลเวลของเขาได้――
―― คงจะไม่มีอะไรไปเสียแต่ก็อดอีทเตอร์…มังกรผู้กลืนกินพระเจ้าก็ได้
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code