ตอนที่ 127 ผู้บุกรุก
ผู้คุ้มกันประตูคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิคือคนแรกที่สังเกตเห็นได้ว่ากำลังมีใครบางคนเข้ามาใกล้คฤหาสน์
โดยชายคนนั้นค่อยๆ เดินขึ้นบันไดยาวที่เชื่อมระหว่างตัวคฤหาสน์กับเมืองชูโตะเอาไว้ ทีละขั้นๆ ราวกับกำลังนับจังหวะเท้าตน
รูปร่างของเขานั้นสูงใหญ่ราวกับจะทะลุขึ้นไปเหนือกลุ่มเมฆได้ ซึ่งมาพร้อมกับผ้าพันรอบศีรษะจำนวนมากและรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ เหล่าผู้คุ้มกันจึงได้บอกคู่หูของตนและแสดงความระมัดระวังออกมา
ผู้ที่จะได้รับหน้าที่ในการปกป้องคฤหาสน์ที่นักบุญดาบและครอบครัวของเขาอาศัยอยู่นั้นย่อมไม่ใช่หน้าที่ที่กระจอกงอกง่อย พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นคนของธงที่ 1
โดยข้อกำหนดขั้นต่ำของผู้ใช้มายาดาบเดียวที่จะเป็นธงที่ 1 ได้อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเข้าถึงศาสตร์ลับของมายาดาบเดียว หรือก็คือพวกเขาสามารถใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้
อย่างไรก็ตามนั่นมันก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะในตอนนี้ทั้งสองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจำนวนมากจากชายที่กำลังเดินเข้ามา เขี้ยวที่แหลมคมได้โผล่ออกมาจากปากของชายที่กำลังยิ้มอยู่ พลังคิอันแกร่งกล้าก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาราวกับภูเขาไฟปะทุ
แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างมากหากธงที่ 1 จะต้องมากลัวกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ทราบนามผู้นี้ ในฐานะผู้คุ้มกันประตูแล้วพวกเขาก็เลยเค้นพลังพูดออกมาอย่างสุดเสียง
「หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดต้องมาที่แห่งนี้ในเวลานี้ด้วย? 」
「เหตุผล งั้นเหรอ? 」
ชายคนนั้นไม่ได้หยุดเดินและหัวเราะลั่นขึ้น
「ฮ่าๆๆๆ! ถามได้สบายใจกันจริงๆ เลยนะเจ้าพวกผู้ทรยศเอ๋ย! ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ศัตรูแทบจะหายใจรดต้นคอพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังจะมาถามคำถามโง่เง่าพวกนี้อีก มันจะไปมีประโยชน์อันใดเล่า เอาล่ะเตรียมรับมือ!!!」
「คึก! อาภรณ์――」
「ช้าเกินไปแล้วว้อย!」
ด้วยเสียงคำรามอันดังลั่น ความเร็วของชายคนนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้พื้นที่โดยรอบระเบิดกระจุยกระจาย ร่างขนาดยักษ์ที่ทำให้นึกถึงหมีตอนนี้ได้กลายเป็นวายุคลั่งเข้าโจมตีผู้คุ้มกันประตูเสียแล้ว
ก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกตัว กำปั้นของชายคนนั้นก็ได้ชกทะลุท้องของพวกเขาไปแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่กำปั้นธรรมดา――แต่มันคือกำปั้นที่เคลือบด้วยพลังคิทะลวง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดแรงระเบิดขึ้นภายในร่างของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะชุดเกราะหรือเกราะคิก็ไม่อาจจะป้องกันการโจมตีดังกล่าวได้เลย
แม้จะเป็นนักรบระดับสูงแห่งธงทั้ง 8 ซึ่งสวมฮาโอริสีน้ำเงินซึ่งหลายๆ คนหมายปองว่าจะได้สวมในสักวันหนึ่งก็มิอาจจะป้องกันการโจมตีของชายผู้นี้ได้
「อึ.คึก?!」
ผู้คุ้มกันรู้สึกได้ถึงแรงกระทบมหาศาลที่เกิดขึ้นในร่างของตน ก่อนที่วินาทีต่อมาเลือดจำนวนมากจะพุ่งออกมาจากปากของผู้คุ้มกัน ไส้ของของเขาถูกบีบเอาไว้ก่อนจะถูกชักออกมาแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงเพียวๆ เลือด เครื่องใน และชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายได้กระจายอยู่ทั่วบันไดหิน
คงไม่ต้องบอกว่าสภาพของเขาตอนนี้จะเรียกว่าปลอดภัยได้อีกหรือไม่ พอผู้คุ้มกันคนแรกล้มลงไปจมกองเลือดของตน มันก็คือวินาทีเดียวกับที่เขาได้ลาโลกใบนี้ไป
แน่นอนว่าชายคนนั้นไม่ได้รอยืนยันว่าคนที่เขาโจมตีไปจะอยู่หรือตาย ทันทีที่เขาชกหมัดแรกใส่ผู้คุ้มกันคนที่หนึ่งเสร็จ เขาก็พุ่งเข้าไปหาอีกคนทันที
ความเร็วของเขามันมากพอที่จะทำให้พวกคุ้มกันอีกคนซึ่งสามารถเอาอาภรณ์วิญญาณของตนออกมาได้แล้วก็ยังถูกมือขวาของเขาจับไปที่ใบหน้าของผู้คุ้มกัน แล้วยกร่างนั้นขึ้นด้วยแรงกายของเขาเอง
「คุ อึก……!」
เสียงกะโหลกของผู้คุ้มกันได้ส่งเสียงร้าวออกมา ราวกับจะบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของชายคนนั้นที่กระทำกับร่างของผู้คุ้มกัน
ผู้คุ้มกันที่รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากได้พยายามแกว่งอาภรณ์วิญญาณของตนไปมาอย่างสิ้นหวัง จนในที่สุดมันก็ได้พุ่งไปโดนร่างของชายคนนั้น ทว่าอาวุธที่น่าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของอนิม่ากลับถูกกล้ามเนื้อที่เปลือยเปล่าของชายคนนั้นสะท้อนกลับมา
「อ่อนแอ อ่อนแอ อ่อนแอจริงๆ! ช่างเปราะบางเสียนี่กระไร! พวกเจ้าจะอยู่กันอย่างสงบสุขเกินไปแล้ว! นี่น่ะหรือผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ แค่ชักดาบฟันใส่ศัตรูของตนก็ยังทำได้ไม่ดีเลยสักนิด!」
「คึก…น่ะ-!? 」
「ถึงแม้จะเป็นพวกผู้ทรยศเหมือนกัน แต่ถ้าฝีมือยังไม่เท่าไหร่….ก็หมายความว่าข้าต้องเข้าไปให้ลึกกว่านี้สินะถึงจะเจอของจริง」
พอเขาพูดจบ ท้องของชายคนนั้นก็สั่นและส่งเสียงหัวเราะออกมา
「ฮ่าๆๆๆ! แค่รู้ว่ายังเหลืออีกเยอะเลยก็เกินพอแล้ว! เอาละมาดูกันหน่อยซิว่าข้าจะพาพวกผู้ทรยศลงหลุมไปด้วยได้อีกสักกี่คน แต่ถ้าเป็นไปได้ข้าก็หวังว่าจะพาไปด้วยได้หมดเกาะเลยนะ!!」
ชายคนนั้นได้ทำการส่งพลังไปยังแขนขวามากขึ้น กล้ามเนื้อของเขาเริ่มขยายตัวราวกับเป็นคลื่นยืดหดไปมา ก่อนจะรวบรวมเอาพลังทั้งหมดนั้นไว้ตรงนิ้วมือของเขา
ในตอนนี้ผู้คุ้มกันไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้อีกแล้ว ร่างกายของเขาก็ห้อยต่องแต่งไปมาอยู่บนมือขวาของชายคนนั้น
แน่นอนว่าหากชายคนนั้นเพิ่มแรงอีกสักนิด กะโหลกศีรษะของผู้คุ้มกันก็น่าจะแหลกละเอียด….ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ทำนี่――
「ช่วยเป็นผู้บุกเบิกยมโลกไปกับเพื่อนของเจ้าก่อนแล้วกัน แล้วก็ฝากบอกยมบาลด้วยนะว่าข้าจะส่งไปเพิ่มอีกเยอะเลย!!」
เขาหมายจะบดขยี้ส่วนหัวของผู้คุ้มกันพร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นเขาก็ทำการปล่อยมือและกระโดดถอยด้วยความรวดเร็ว
เพราะเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นเองประกายแสงบางอย่างก็ได้พุ่งผ่านบริเวณจุดที่แขนขวาของชายคนนั้นเคยยืนอยู่
ร่างของผู้คุ้มกันได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นก่อนจะเกิดเสียงโครมครามขึ้น แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไร แล้วจ้องมองไปยังศัตรูคนใหม่ที่ปรากฏแทน
เขาคือชายหนุ่มผู้ถือดาบสองมือสีทอง ซึ่งเดินเข้ามาโดยไม่ได้เกรงกลัวต่อสายตาของชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
「ฉันมิตสึรุกิ รากุนะ หากแกมีชื่อก็จงเอ่ยมันออกมาซะ เพราะฉันจะต้องเอาไปติดไว้กับคอของแกที่ถูกตัด」
「ฮ่าๆๆๆ! ช่างเป็นเด็กน้อยที่ดูร่าเริงจังเลยนะ ก็จริงอยู่ว่าข้าไม่อยากให้พวกผู้ทรยศเอ่ยนามของข้าออกมา แต่ไหนๆ เจ้าก็ทำถึงขั้นนี้แล้ว…ได้สิ ข้าอิซากิ 1 ใน 16 หอก นักรบแห่งกษัตริย์คาซาน!」
ทันทีที่พูดจบ ชายคนนั้น――อิซากิก็ได้ถอยผ้าพันศีรษะออก เผยให้เห็นเขาสีดำที่เป็นประกายบนหัว
ดวงตาของรากุนะสั่นไหวทันทีที่ได้เห็นมัน
「คิจิน เป็นพวกแกเองสินะที่สร้างความวุ่นวายตรงกำแพงเมือง? 」
「ของมันแน่อยู่แล้ว งั้นข้าของถามเจ้าบ้างแล้วกัน เจ้าที่เรียกตัวเองว่ามิตสึรุกิ――ก็แปลว่าเป็นหนึ่งในพวกมิตสึรุกินั่นสินะ? 」
จากน้ำเสียงที่ดูสบายๆ กลับกลายเป็นน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังและความเคียดแค้น
ดวงตาของเขาเบิกโพลงออกมาราวกับจะระเบิดได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
เพียงพริบตาเดียว ข้างๆ อิซากิก็มีอายากะ อาซึระอิโผล่มาราวกับสายลม แล้วเข้าไปยกร่างของผู้คุ้มกันที่หมดสติไปอยู่ แต่ทางอิซากิก็ไม่ได้สนใจอะไรและจ้องมองไปยังรากุนะเพียงผู้เดียว
ตอนนี้รากุนะเป็นเพียงคนเดียวที่ตกเป็นเป้าหมายของการจ้องมองที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนี้
「ระวังปากของแกให้ดีด้วย พวกฉันคือผู้พิทักษ์แห่งประตูปีศาจที่สืบทอดปณิธานของนักบุญดาบรุ่นแรก ศัตรูของเหล่าคิจิน ฉันคือลูกชายของนักบุญดาบรุ่นที่ 17 มิตสึรุกิ ชิกิบุ มิตสึรุกิ รากุนะ ฝากบอกยมบาลด้วยแล้วกันนะ ว่าเดี๋ยวจะมีคิจินอีกจำนวนมากถูกฆ่าโดยทายาทของตระกูลมิตสึรุกิ」
ทันทีที่รากุนะเผยตัวตนทั้งหมดของเขาเสร็จ ดวงตาของอิซากิก็เปลี่ยนไป มันไม่ใช่สายตาแห่งความเกลียดชังอีกแล้ว
หากจะให้อธิบายมันก็คงจะเป็นดวงตาที่รู้สึกถึงความปีติยินดี จนทำให้อิซากิต้องขอขอบพระคุณสวรรค์และพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานโชคนี้มาให้กับตัวเขา
「ฮ่าๆๆๆๆ!! น่าประหลาดใจยิ่งนัก ข้าคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าจะได้พบกับหัวหน้าของพวกผู้ทรยศเร็วขนาดนี้! นี่แหละคือความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของพวกข้า ได้โปรดดูไว้เถิดท่านกิเอน จากนี้ไปหอกของท่านจะเป็นคนส่งลูกหลานของพวกผู้ทรยศที่แสนขี้ขลาดและน่ารังเกียจไปสู่ยมโลกเอง」
อิซากิผู้ได้สาบานตนกับเจ้านายผู้ล่วงลับของเขาเสร็จ ก็เริ่มนำอาภรณ์วิญญาณของตนออกมาใช้ในทันที
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ (อาภรณ์แห่งจิต) ――จงล่าสังหารดวงตะวัน โคโฮ!!」
◆◆◆
มีคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของเมืองชูโตะ ซึ่งใกล้กับคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิ
พื้นที่ของมันมีขนาดใหญ่ และการออกแบบก่อสร้างก็ดูแข็งแรง การป้องกันรอบนอกก็แข็งแกร่ง เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและป้อมปราการนั่นเอง เผื่อในกรณีที่มีศัตรูสามารถบุกเขามาภายในเมืองชูโตะได้
หากสังเกตถึงที่ตั้งดูแล้ว ก็คงเดาไม่ยากว่าผู้สร้างคฤหาสน์แห่งนี้ต้องการจะใช้มันในการปกป้องตระกูลมิตสึรุกิที่อยู่ใกล้เคียง
โดยในอดีตนั้นคฤหาสน์แห่งนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลอันทรงเกียรติแห่งเกาะอสูรยักษ์อย่างสกายชิพ แต่ทว่าเมื่อมาถึงรุ่นปัจจุบันตระกูลดังกล่าวกลับตกต่ำลงเป็นอย่างมาก กลับกันทางตระกูลได้ขึ้นมามีอำนาจแทนพวกเขา
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลสกายชิพต้องโอนกรรมสิทธิ์ของคฤหาสน์แห่งนี้ไปยังตระกูลเบิร์ชแทน แน่นอนว่าทางสกายชิพก็ต่อต้านการกระทำของกิลมอร์อย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวไปเมื่อแผนของกิลมอร์ได้ดึงเอามิตสึรุกิ ชิกิบุเข้ามาปิดท้าย
และเมื่อคฤหาสน์ถูกออกแบบมาให้รับมือกับภัยสงคราม สถานที่แห่งนี้จึงได้มีคุกใต้ดินอยู่ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะพวกเขาสามารถจับข้าศึกหรือพวกคนทรยศมาขังไว้ได้ทันที
เอาเป็นว่าทุกอย่างที่กล่าวมามันก็เป็นประโยชน์ต่อกิลมอร์ทั้งสิ้น แม้จะไม่ใช่ช่วงสงคราม แต่คุกใต้ดินนี้กิลมอร์ก็มักจะใช้เป็นสถานที่ในการกักขัง ลงโทษ และกำจัดผู้ที่ไร้ความสามารถหรือผู้ทรยศเขาในบางครั้ง
――เสียงหยุดน้ำค้างที่อยู่เหนือเพดานได้ย้อยลงมาเป็นจังหวะ
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคุกใต้ดินแห่งนี้ แต่ในวันนี้มันดันมีเสียงอื่นเข้ามาแทรกด้วยนั่นเอง
มันคือเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดินอย่างรุนแรงที่ดังมาแล้วสักพักหนึ่ง แถมแรงของมันก็มากพอจะทำให้รู้สึกว่าคุกใต้ดินแห่งนี้อาจจะถล่มลงไปเลยก็ได้
ไคลอา เบิร์ชได้พยายามมองไปรอบๆ ที่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนจะควบคุมสติอันเลือนรางของตนไม่ให้จมลงไปในความมืด
เนื่องจากว่าคุกดังกล่าวออกแบบมาไม่ให้สามารถมองเห็นว่ามีนักโทษคนอื่นนอกจากตนหรือเปล่า นอกจากนี้หากมีการส่งเสียงผู้กระทำการดังกล่าวก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ แน่นอนว่าไคลอา เบิร์ชที่เป็นลูกบุญธรรมของตระกูลเบิร์ชและยังเป็นนักรบธงแห่งผืนป่าก็ไม่ยกเว้น
อันที่จริงไคลอาก็สามารถเอาอาภรณ์วิญญาณของตัวเองออกมาใช้ได้ แต่หากเธอเลือกทำแบบนั้น ลิ่มที่ตอกเข้าไปในร่างของเธอก็จะฉีกกระชากร่างของเธอออกมาด้วยรุนแรง นั่นทำให้ไคลอาตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงอดีตวัยเด็กของเธอ
สภาพของเธอในตอนนี้คือถูกล็อกมือทั้งสองไว้ด้านหลังและขาของเธอก็ถูกล็อกให้เหมือนกับอยู่ในสภาพคุกเข่าอยู่กับพื้นแม้ว่ามือเท้าของเธอจะยังพอสามารถขยับได้อยู่ แต่เธอก็ไม่มีความคิดจะหลบหนีเลยสักนิด
อันที่จริงแม้จะไม่มีปลอกคอ โซ่ตรวนอะไรมากักขังเธอไว้ เธอก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเธอคือนักโทษที่ไม่มีทางหนีรอดพ้นจากตระกูลไปได้ตั้งแต่อดีต….นั่นคือสิ่งที่เธอถูกสั่งสอนมาในวัยเด็ก
「…แรงสั่นสะเทือนนี่…มันอะไรกันนะ」
ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นแผ่นดินไหว พอมันเกิดนานๆ เข้าเธอก็มองว่ามันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ขนาดยักษ์เข้ามาโจมตีเกาะ แต่มันต้องเป็นมอนสเตอร์ตัวไหนกันล่ะที่จะสามารถทำให้คุกใต้ดินที่อยู่ใจกลางของเมืองชูโตะสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้
ไม่นานมานี้ เธอได้เห็นเผ่าพันธุ์ในตำนานปรากฏขึ้นมาที่เมืองอิชกะ หากให้เทียบระดับการสั่นสะเทือนแล้ว――พอเธอนึกได้แบบนี้ เธอก็ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
「……จะ..ต้อง……!」
ชุดที่เธอสวมตอนนี้คือกิโมโน――ไม่สิถ้าจะให้พูดมันคือซากของกิโมโนมากกว่า ลำคอ ต้นแขน ต้นขา ของเธอเปลือยเปล่าไปหมดแล้วอีกทั้งยังเต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการเฆี่ยน แถมยังมีหลายจุดที่มีสีแดงเลือดออกมาให้เห็น แสดงว่ามันไม่ใช่แผลเก่า
――ถ้าคลิมได้มาเห็นสภาพตอนนี้ของเธอเขาคงอยู่ไม่สุขแน่
สติที่พร่ามัวของเธอเริ่มทำให้นึกเตลิดไปทั่ว เธอก็เลยอดยิ้มออกมาไม่ได้ แถมดูเหมือนว่าเพราะสติของเธอในตอนนี้มันยังทำให้เธอนึกถึงเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นอีก
นี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยทำให้ร่างกายของตัวเองบรรเทาความเจ็บปวดลงด้วยก็ได้
ทันใดนั้นเอง พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง พื้น ผนัง เพดานคุกใต้ดินได้เกิดเสียงดังขึ้น
ไคลอาที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มคิดบ้างแล้วว่าบางทีตนอาจจะต้องถูกฝังทั้งเป็นอยู่ภายในคุกใต้ดิน
แต่แล้ววินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินเสียง ปัง ปัง ปัง มันคือเสียงที่ใช้เท้าในการกระแทกอะไรบางอย่างด้วยความรุนแรง
เสียงนั้นมันค่อยๆ ไล่มาตามห้องขังแต่ละห้องเรื่อยๆ ไคลอารู้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานมันก็น่าจะมาถึงห้องที่เธออยู่ และแล้ว――
「สภาพดูไม่จืดเลยนะ โฮ่ย」
เมื่อได้เห็น มิตสึรุกิ โซระโผล่เข้ามาในสายตาของเธอ ดวงตาของสีแดงของไคลอา เบิร์ชก็เบิกกว้างขึ้นทันที
——–
Note 1 : มาช่วยเมียละจ้า รอดูรากุนะโดนตบหน้าสั่น
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code