ตอนที่ 130 ลอบโจมตี
ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้สักพัก
การต่อสู้ระหว่างอิซากิกับมิตสึรุกิ รากุนะยังคงดำเนินต่อไปและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากดูในด้านของทักษะอิซากิก็คงจะเรียกว่ากินขาด ถึงรากุนะจะเป็นอัจฉริยะซึ่งสามารถขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ของธงที่ 3 ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ แต่ทางอิซากินั้นก็เป็นยอดนักรบที่ผ่านมาหลายสมรภูมิก่อนที่รากุนะจะเกิดเสียอีก ในฐานะของนักรบแล้วเขาย่อมเหนือกว่า
นอกจากนี้อาภรณ์วิญญาณของอิซากิอย่างโคโฮก็ทรงพลังมากอีกด้วย เพราะมันคือยักษ์ที่พยายามโค่นเอาดวงอาทิตย์ลงมาจากฟากฟ้าเพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้ประสบภัยแล้ง ในด้านพลังทำลายล้างแล้วก็ต้องบอกว่าเขามีมากที่สุดในกองทัพของคาซาน จนถึงขนาดเจ้านายของเขาอย่างกิเอนก็กล่าวชมกว่าเขามีพลังมากพอที่จะโค่นหุบเขาลงได้ แน่นอนว่าเขาที่ว่าคือเขาทั้ง 5 หากได้รวมกับความกล้าหาญของเขาแล้ว ก็คงจะมีหลายคนเชื่อว่่าเขาอาจจะสามารถทำมันได้สำเร็จจริงก็ได้
แต่ที่การต่อสู้ในครั้งนี้ รากุนะยังสามารถต้านกับอิซากิได้นอกจากความแข็งแกร่งพื้นฐานของตัวเขาแล้ว ศัตรูที่เขาเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้ยังเป็นคู่มือที่เหมาะสมสำหรับอาภรณ์วิญญาณของเขาอีกด้วย
เพราะอาภรณ์วิญญาณที่มาในรูปแบบดาบสองมือสีทองของเขานั้นมีชื่อว่า ฮาร์ป อาวุธที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายล้างก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับเทพ อสูร และ ยักษา
นั่นจึงทำให้อิซากิต้องระมัดระวังการโจมตีของฮาร์ปเป็นอย่างมาก เพราะมันคือศัตรูตามธรรมชาติของเหล่าคิจินและอาภรณ์วิญญาณของเขาอย่างโคโฮ ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากเทพปีศาจ
และนอกเหนือจากฮาร์ปที่อิซากิต้องระวังแล้วก็ยังมีภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังของรากุนะอย่าง อายากะ อาซึระอิ
แน่นอนว่าการต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้ยังเป็นการดวลแบบตัวต่อตัว ทางอายากะและนักรบคนอื่นๆ ไม่ได้เข้ามาแทรงแซง เพราะมันคือหนึ่งในกฎของธงแห่งผืนป่าซึ่งให้ความสำคัญกับการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่กล้าที่จะทำให้มือของตัวเองสกปรก ปัญหาจริงๆ มันอยู่ตรงที่เมื่อคนหมู่มากนำอาภรณ์วิญญาณออกมา ในบางครั้งอนิม่าของพวกเขาอาจจะมีความขัดแย้งกันเองและทำให้เกิดความผิดพลาดโจมตีกันเองได้
แต่ถึงอายากะจะไม่ได้เข้ามาแทรงการต่อสู้ของทั้งสอง แต่ทุกครั้งที่อิซากิเห็นจังหวะที่จะทำการโจมตีรากุนะ อายากะก็จะแวบเข้ามาในระยะสายตาของเขาตลอดราวกับกำลังเตือนบางอย่าง เพื่อให้อิซากิถอยมารักษาระยะห่างอีกครั้ง ดังนั้นในจุดนี้หากรากุนะเกิดเสียเปรียบขึ้นมาจริงๆ อายากะก็คงไม่ลังเลที่จะเข้ามาช่วย
ด้วยเหตุนี้เองอิซากิก็เลยพลาดโอกาสที่จะบั่นคอรากุนะไปหลายครั้ง แม้ว่าเขาจะเลือกฝืนจัดการกับรากุนะให้สำเร็จแต่ก็คงไม่มีประโยชน์หากตนต้องมาโดนอายากะเล่นข้างหลังจนตายในจังหวะต่อมา
ตอนที่เขาสังหารผู้คุ้มกันประตูก่อนหน้านี้ เขาได้กล่าวออกมาอย่างกล้าหาญว่าตนคงจะสามารถฆ่ามนุษย์ทุกคนบนเกาะได้ แต่ตอนนี้เขาคงต้องยอมรับแล้วว่าพวกมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้านี้ตึงมือพอสมควร
นอกจากความผิดพลาดในเรื่องนี้แล้วยังมีข้อผิดพลาดอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะแผนการโจมตีในครั้งนี้หอกทั้ง 16 ที่มีบทบาทในการนำพาพวกมอนสเตอร์เข้ามาภายในเมืองได้ถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ แล้ว อิซากิสัมผัสได้ถึงสัญญาณชีวิตที่หายไปของพวกพ้อง แถมออร่าของพวกมอนสเตอร์ที่พยายามบุกกันเข้ามาก็หายไปในเวลาอันสั้นด้วย
จึงทำให้รู้ว่าอย่างน้อยก็มี 3 คนแล้วที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากบนเกาะนี้ ตัวตนที่อิซากิไม่สามารถเอาชนะได้แม้จะทุ่มสุดตัว หากคนพวกนั้นกลับมารวมตัวกันที่นี่ อิซากิก็คงจะไม่รอด
ตอนนี้อิซากิเริ่มมองแล้วว่าไม่ใช่เวลาที่ตนจะมาเล่นกับทายาทของตระกูลมิตสึรุกิอีกแล้ว
จุดประสงค์ของนากายามะในครั้งนี้ก็คือ――การประเมินความแข็งแกร่งของตระกูลมิตสึรุกิที่เป็นศัตรูของพวกเขา หากยังปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้อยู่ พวกเขาคงไม่อาจเข้าถึงตัวผู้นำตระกูลเพื่อประเมินความสามารถได้แน่
อันที่จริงความสามารถของ 3 คนที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้าควรจะต้องให้คาการิซึ่งเป็นหัวหอกในแผนครั้งนี้ตรวจสอบ แต่ก็ต้องขอขอบคุณพวกพ้องที่ตายจากไปก่อนหน้านี้ซึ่งทำหน้าที่ได้ดีเป็นอย่างมากในการตรวจสอบความสามารถคนพวกนั้น ตอนนี้ทางอิซากิเองก็จำเป็นต้องอาละวาดอย่างเต็มที่เพื่อให้นักบุญดาบเปิดเผยพลังของตนออกมา นั่นถึงจะเรียกว่าแผนการในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
พอคิดได้แบบนั้นอิซากิก็หยุดโจมตี ราวกับไม่อยากจะสู้ต่อแล้ว พอเห็นแบบนั้นรากุนะก็เลยคิ้วกระตุกด้วยความสงสัย
「รู้ตัวแล้วหรือไงว่าไม่มีทางเอาชนะได้ คิจิน」
「ไม่หรอกๆ แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของเจ้าเกินความคาดหมายไปมาก อย่างที่คิดดาบวิชาดาบนั่น พวกตระกูลมิตสึรุกิเอาทักษะของพวกข้าไปปรับปรุงจนถึงจุดนั้นแล้วสินะ」
「พล่ามอะไรไร้สาระออกมาน่ะ หรือนั่นเป็นคำสั่งเสียกัน? 」
「ฮ่าๆๆ! สำหรับทายาทของหัวขโมยแล้ว คำว่าสั่งเสียก็ไม่ผิดอะไรนักหรอก」
พอสิ้นเสียงนั้นอิซากิก็เอามือทั้งสองประสานกันไว้ตรงหน้าของเขา สิ่งที่อิซากิเห็นเบื้องหน้าตอนนี้ไม่ใช่รากุนะ แต่เป็นทิวทัศน์บ้านเกิดของเขา
ภาพดังกล่าวมันฉายอยู่ภายในหัวของอิซากิมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ในอดีต
เผ่าคิจินทุกตนจะมีจุดเชื่อโยงกับเทพปีศาจอยู่ตรงอวัยวะพิเศษที่เรียกว่าเขา
จิตวิญญาณของพวกปีศาจทุกเผ่าพันธุ์จะมีจุดเชื่อมโยงกับเทพปีศาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และหากพวกเขามีความเชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณของพวกเขาก็มากขึ้นไปเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกที่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้ทรงพลังก็คือผู้ที่ได้รับการปกปักจากเทพปีศาจเป็นอย่างมาก
สำหรับเผ่าคิจินที่ทำการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่จำนวนเล็กน้อยภายในประตูปีศาจนั้น แม้ด้านเทคโนโลยีวัฒนธรรมจะไม่ได้เติบโตอะไรนัก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นเรียกได้ว่ามากเป็นพิเศษ
เหล่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณที่บูชาเทพปีศาจ ต่างก็เชื่อกันว่าเทพปีศาจได้ประทานมันให้กับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเขาคาซานหรือเขาอื่นๆ เพื่อค้นหาเส้นทางของตัวเอง
สุดท้ายการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจก็จบลงที่คาซานพ่ายแพ้ให้กับนากายามะ และอิซากิที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในหอกทั้ง 16 ของคาซานก็เดินทางมายังเกาะอสูรยักษ์ในฐานะแนวหน้าของนากายามะ
เหล่าแนวหน้าของคาซานที่ยังหลงเหลืออยู่จะทำการบุกโจมตีตระกูลมิตสึรุกิ เพื่อเก็บข้อมูลไว้เป็นแนวทางในการเคลื่อนไหวครั้งถัดไป การบุกโจมตีครั้งใหญ่ของทางนากายามะ หรือก็คือพวกอิซากิถูกใช้เป็นเบี้ยในการลดความเสียหายของกองทัพนากายามะ
อิซากิเองก็แอบคิดไว้อยู่ว่าความตั้งใจของนากายามะจริงๆ แล้วน่าจะเป็นการลดจำนวนทหารและพลเรือนของฝั่งคาซานที่เอาชนะมาได้เพื่อประหยัดอาหารทรัพยากรที่ต้องใช้
เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอะไร――เพราะทางคาซานเองในอดีตก็ทำเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะให้คุณค่ากับพันธมิตรมากกว่าศัตรูที่ยอมจำนน กลับกันครั้งนี้พวกอิซากิมองว่านากายามะใจอ่อนด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาคัดเลือกคนที่จะมาใช้ในแผนการนี้ด้วยความสมัครใจแทนที่จะบังคับ
แต่นั่นมันก็ทำให้พวกอิซากิและกองทัพคาซานขำไม่ออกเหมือนกันเพราะการสมัครใจมันก็เหมือนเล่นขี้โกง กษัตริย์นากายามะอย่างอาซึมะนี่เจ้าเล่ห์พอสมควร ไม่สินี่อาจจะเป็นแผนของฮาคุโระพี่น้องคนที่ 3 ก็ได้ เอาเป็นว่าสุดท้ายก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่มันสมองของพวกเขาจะมุ่งร้ายไปยังพวกมนุษย์ไม่ใช่คาซานเสียทั้งหมด
อนาคตภายภาคหน้าของพันธมิตรเขาทั้ง 5 คงจะสดใสนั่นรวมไปถึงคาซานด้วย เท่านี้อิซากิก็ไม่มีอะไรจะต้องค้างคาใจอีกแล้ว
――นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อิซากิตัดสินใจอัญเชิญเทพออกมา
วิธีการที่เผ่าปีศาจจะอัญเชิญเทพปีศาจออกมาได้นั้นมีด้วยกัน 2 วิธี อย่างแรกก็คือพวกเขาต้องเข้าถึงอาภรณ์วิญญาณให้ได้โดยสมบูรณ์ ไม่ก็เป็นภาชนะที่มีความเข้ากันได้กับเทพปีศาจจริงๆ หากจะให้พูดแบบแรกคือความสามารถในแง่ของนักรบ แบบหลังคือในแง่ของพวกนักบวชทำกัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพิธีกรรมเทพจุติของพวกมนุษย์เลย
พิธีกรรมเทพจุติแต่เดิมเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่สามารถทำได้หากไม่ใช้ภาชนะระดับพระสันตะปาปาสังเวย แต่กับพวกคิจินที่มีจุดเชื่อมโยงกับเทพปีศาจด้วยเขาของพวกเขาแล้วเป็นข้อยกเว้น
ก็แน่นอนว่าถึงพวกเขาทุกคนจะสามารถอัญเชิญเทพปีศาจได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทนพลังนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณคงได้แตกสลายไปในเสี้ยววิแน่ แม้แต่ตัวอิซากิที่เชี่ยวชาญในการใช้อาภรณ์วิญญาณก็คงจะรักษาการมีอยู่ของเทพปีศาจได้เพียงชั่วครู่ นอกจากนี้พลังที่สามารถสำแดงออกมาได้ก็คงไม่ถึง 1 ใน 10
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ยังมากกว่าพลังที่อิซากิมีในตอนนี้หลายเท่านัก
เนื่องจากเทพปีศาจนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะบิดเบือนสิ่งมีชีวิตและพื้นที่โดนรอบเพราะออร่าปีศาจที่รุนแรง ดังนั้นจึงมีข้อห้ามไม่ให้อัญเชิญเทพปีศาจออกมาข้างในประตูปีศาจ แต่บนเกาะนี้ไม่ได้มีโซ่ตรวนเช่นนั้นอยู่ ถึงคนที่นี่จะสามารถสังหารเทพปีศาจลงได้ แต่ดินแดนของพวกผู้ทรยศก็จะได้รับผลกระทบมากเป็นแน่
อิซากิเริ่มร่ายคาถาโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด ออร่าปีศาจเริ่มแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา จนทำให้ รากุนะ อายากะ และนักรบคนอื่นๆ ที่หมายจะเข้ามาสังหารเขาเนื่องจากความผิดปกติหยุดชะงักไป
――พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย แด่ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยเถ้า แด่ดินแดนที่แห้งแล้ง
――ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด หยาดฝนราวกับเสียงร่ำไห้
――ขอให้ท่านได้จุติลงมาเพื่อยุติเสียงร่ำไห้ เพื่อเหล่าวิญญาณผู้ล่วงลับ
「เจ้าพวกมนุษย์ จงรับผลกรรมแห่งการทรยศเมื่อ 300 ปีก่อนด้วยร่างกายของพวกเจ้าเสีย ――――ร่างกายนี้ข้าขออุทิศให้แก่ท่าน」
เมื่อสิ้นบทร่ายคาถาสุดท้าย อิซากิก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา จนทำให้พื้นที่โดยรอบทั้งอากาศและผืนแผ่นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับทนรับพลังดังกล่าวไว้ไม่ไหว
ร่างกายของอิซากิก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไปจากผลกระทบดังกล่าว
แม้ร่างกายของเขาจะใหญ่โตมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แขน ขาลำตัว คอ ของเขากลับขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า
อาจจะเพราะส่วนต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถตามการขยายตัวได้ทัน ผิวหนัง กล้ามเนื้อของเขาก็เลยแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ เช่นเดียวกับกระดูกที่อยู่ข้างใน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้หยุดลง
ใบหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ในตอนนี้ผิวหนังของเขาได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ให้แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ปากก็มีเขี้ยวยาวยื่นออกมา
ไม่เหลือร่องรอยของคิจินตนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกนักรบก็คือเทพปีศาจยักษ์ซึ่งจุติลงมายังโลกมนุษย์
ปากของเทพปีศาจตนนั้นอ้าออกกว้างและส่งเสียงคำรามสะเทือนสวรรค์ ไปทั่วเกาะ
มันคือเสียงสาปแช่งและความเคียดแค้น
มันคือเสียงแห่งความปีติยินดี
มันคือเสียงแห่งการร่ำไห้ให้กับการถือกำเนิดอีกครั้งของเทพปีศาจ
◆◆◆
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เมื่อเสียงคำรามดังทั่วเกาะอสูรยักษ์ ผลกระทบของมันก็ย่อมมาถึงภายในอุโมงค์ที่เชื่อมภายในและภายนอกของคฤหาสน์มิตสึรุกิ
ภรรยา ภรรยาน้อยของชิกิบุ พวกสาวใช้และเด็กซึ่งกำลังทำการอพยพก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมกัน
เพราะเสียงคำรามของเทพปีศาจนั้นมีผลกระทบไม่ต่างอะไรกับมังกรคำราม หากไม่ใช่นักรบแห่งผืนป่าที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี ก็คงจะไม่สามารถต้านทานได้
ในบรรดาภรรยาน้อยของชิกิบุ ก็คงจะเป็นเซซิล ชิมะ――น้องสาวของโกซุซึ่งเคยเป็นหนึ่งในนักรบแห่งผืนป่าเท่านั้นที่ทนไหว
จากนั้นทาง มอร์แกน สกายชิพก็เป็นคนที่เข้าไปช่วยสงบสติอารมณ์ของพวกผู้หญิงและเด็ก ในอดีตเขาคือหัวหน้าตระกูลสกายชิพที่ทรงเกียรติ แต่ก็ต้องสูญเสียอำนาจไปเพราะการมาของกิลมอร์ เบิร์ชชิกิบุเป็นคนสั่งให้เขาซึ่งทิ้งหน้าที่ประจำตำแหน่งของตนและพาคนที่เหลืออพยพไป ก็เพราะว่ามอร์แกนเป็นคนที่เข้าใจถึงโครงสร้างของเส้นทางหลบหนีภายในนี้มากที่สุด เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นเขาจึงเหมาะในการเป็นผู้นำทางอพยพ
มอร์แกนที่รับคำสั่งมาจากผู้นำตระกูลก็รู้สึกยินดีที่ตนได้รับเกียรติเช่นนี้ โดยในการอพยพนี้ เขาได้พาซิดนีย์หลานชายของเขากับซาอิ น้องชายของชูคุยะ คุมอนติดตามมาด้วย ไม่นานนักแรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้นมาอีกจนทำให้อุโมงค์สั่งสะเทือนมอร์แกนถึงกับย่นคิ้วทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของเสียงคำรามนั่น นั่นจะต้องเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานแน่นอน แถมจากที่เขาสัมผัสได้นี่ไม่ใช่เสียงที่ส่งออกมาจากภายในประตูปีศาจแน่ นั่นก็หมายความว่าตอนนี้มันปรากฏตัวขึ้นที่ใจกลางของเมืองชูโตะแล้ว มอร์แกนสงสัยเป็นอย่างมากว่าข้างบนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ก็อย่างที่บอกภารกิจของเขาในครั้งนี้คือการอพยพคนพวกนี้ให้หนีไปอย่างปลอดภัย ส่วนสายพันธุ์ในตำนานนั่นก็ปล่อยให้ธงที่ 1 ซึ่งทำการดูแลคฤหาสน์อยู่จัดการเสีย มอร์แกนส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดความอยากรู้อยากเห็นออกไป
「ท่านปู่ เมื่อกี้นี้มัน――」
「ชู่ว! ซิดนีย์ เราไม่ควรจะพูดอะไรไปมากกว่านี้นะ นั่นจะทำให้พวกภรรยากับลูกๆ ของท่านผู้นำเป็นกังวลเอาได้」
「เข้าใจแล้วครับ」
「ทราบแล้วครับ ท่านผู้เฒ่า」
มอร์แกนพยักหน้าให้กับคำพูดของซิดนีย์และซาอิเล็กน้อย
ทั้งตระกูลสกายชิพและคุมอนต่างก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อตั้งเกาะรุ่นแรกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำตระกูลสกายชิพและคุมอนก็ถือว่าดีมาตั้งแต่ในอดีต ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความเห็นของทั้งสองตระกูลสอดคล้องกัน พวกเขาก็เลยคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอ
ห่างออกไปจากทั้ง 3 คนเล็กน้อยก็มีมิตสึรุกิ เอ็มมะกำลังถามคำถามกับเซซิลอยู่
「――เซซิล เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? 」
เอ็มมะเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้จากเสียงคำรามนั้น และถามเซซิลด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
ทางเซซิลได้ตอบคำถามนี้กลับไปด้วยการส่ายหัวไปมาราวกับจะบอกว่าตนก็ไม่ทราบ
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องโกหก
เซซิลเองก็เป็นผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณแถมยังเคยเข้าไปในประตูปีศาจมาแล้ว จึงทำให้เธอเดาได้ไม่ยากว่าเสียงคำรามนั่นมาจากอะไร แต่ถ้าเธอบอกความจริงไปในตอนนี้พวกคนอื่นๆ ก็อาจจะโวยวายจนทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิม ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพาทุกคนหนีไปโดยสวัสดิภาพ
ทางเอ็มมะเองก็เหมือนจะเข้าใจเจตนาของเซซิลเมื่อดูท่าทีที่เธอแสดงออกมา จากนั้นก็ทำการวางมือไว้บนอกและหายใจเข้าออกช้าๆ หากเธอสติหลุดไปด้วยอีกคน เซซิลอาจจะเดือดร้อนเอาได้ เธอพยายามข่มสติตัวเองเอาไว้
「ขอโทษที่ถามขึ้นมานะ เอาเป็นว่าพวกเรารีบไปกันเถอะ」
พอพูดจบเอ็มมะก็หันไปมองอิบุกิลูกชายของเซซิลที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ซึ่งถูกพ่อหรือแม่ของพวกเขาอุ้มหรือจูงมือ อิบุกิได้เดินด้วยขาของตัวเองมาตั้งแต่ที่อพยพแล้ว
แม้ว่าเสียงคำรามนั่นจะดังลั่นออกมา อิบุกิก็ไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาแม้แต่คำเดียว ช่างเป็นสิ่งที่ไม่สมกับเด็กอายุเพียง 4 ปีจริงๆ ทำให้เอ็มมะรู้ได้เลยว่าอิบุกิน่าจะกำลังกดดันตัวเองเป็นอย่างมาก เธอก็เลยอยากจะเข้าไปปลอบ แต่ก็เป็นทางเซซิลที่ส่ายหน้าและห้ามเอาไว้เพราะเธออยากจะให้ลูกชายของเธอได้ทำตามที่ตัวเองต้องการ
หากมีศัตรูปรากฏตัวขึ้น เซซิลในฐานะของนักรบแห่งผืนป่าก็ต้องออกไปสู้ สิ่งที่อิบุกิทำได้ในตอนนี้ก็คือไม่ไปขวางทางแม่ของตน เซซิลที่เห็นลูกชายของเธอทำแบบนั้น ก็รู้สึกเอ็นดูมาก แม้ลูกของเธอจะยังเด็ก แต่เขาก็พยายามเท่าที่สถานะของตนจะทำได้
หากผ่านอุโมงค์นี้ไปได้ ปลายทางนั้นก็จะมีเหล่านักรบแห่งผืนป่ารอรับอยู่
แต่ก็เพราะมันคือเส้นทางอพยพฉุกเฉิน มันจึงพูดไม่ได้ว่าสามารถเดินได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ด้วยแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว มันอาจจะทำให้เพดานพังได้ทุกเมื่อด้วย
พอพวกเขาเดินกันไปได้อีกสักพัก แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็สาดส่องมา คงจะไม่แปลกอะไรหากเหล่าผู้อพยพจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโล่งใจ
ทว่าสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ตรงปลายอุโมงกลับเป็นเสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือกที่ทำลายบรรยากาศปีติสุขของทุกคนไปในทันที
「ฟุฟุฟุฟุ! คลานหนีออกมาจากรังกันได้สักทีนะ เจ้าพวกหนูสกปรกผู้ฝ่าฝืนประสงค์แห่งทวยเทพ ข้าจะเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการลงโทษพวกเจ้าเอง」
สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขานั้นคือคิจินที่สวมชุดคลุมสีขาวของนักบวชเอาไว้อย่าง โอเค็น
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code