ตอนที่ 134 เทพปีศาจ
「แต่ถ้านายมาเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดีนะ ไม่ใช่เอาแต่แอบดูเงียบๆ แถมนายยังรู้จักกับไอ้เจ้าไทซานอะไรนี่ด้วย――แบบนี้ไม่ใช่ว่านายมาถึงที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะ? 」
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าการพูดของซาอินั้นเป็นการประชดประชัน เพราะหากลองแปลความหมายจริงๆ ที่เขาอยากจะบอกก็คือ 「อย่าเอาแต่แอบดูสิฟะ ถ้าจะออกก็ออกมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องมาทำเท่แล้วเอาผลงานไปหมดแบบนี้」
พอเห็นแบบนี้ผมก็นึกวิธีการตอบโต้ได้สารพัดเลย
ผมไม่ได้เป็นคนที่มีหน้าที่หรือต้องมารับผิดชอบช่วยเหลืออะไรตระกูลมิตสึรุกิสักหน่อย นอกจากนี้แค่ผมมาช่วยนี่ก็เป็นพระคุณแค่ไหนแล้ว เจ้าพวกนี้ไม่มีสิทธิ์มาบ่นอะไรผมเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นคำพูดของซาอิก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงเห่าหอนของพวกขี้แพ้เลย ผมจะเอาเรื่องนี้มาเย้ยเขาแล้วบอกว่าเป็นความผิดของพวกเขาที่อ่อนแอต่างหากเลยทำให้ลงเอยแบบนี้
แต่ผมก็ไม่ได้เลือกจะทำแบบนั้นอ่านะ
「ก็จริงว่าผมมาถึงที่นี่ได้สักพักอย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ」
หากเป็นซาอิ คุมอนที่ผมเคยรู้จัก หมอนี่จะเป็นพวกเฉียบแหลมแถมมีบุคลิกที่วอนเท้าพอสมควร ซึ่งตอนนี้เขากำลังถืออาภรณ์วิญญาณลองกินุสเอาไว้อยู่ สัญชาตญาณผมบอกว่าถ้าไปต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระเพิ่มคงได้เข้าทางเขาแน่
แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ซาอิเลิกคิ้วขวาขึ้นด้วยความประหลาดใจเพราะคำตอบที่ผมมอบให้กับเขา
「โห นายนี่พูดมาตรงๆ จนทำฉันตกใจเลยนะเนี่ย ทำไมนายต้องซ่อนตัวด้วยล่ะแล้วน้องของนายมาที่นี่ด้วยไหม? 」
พอพูดจบเขาก็ยิ้มออกมาเหมือนอยากแกล้งผม น่าขนลุกชะมัดถ้าท่านเอ็มมะไม่อยู่ที่นี่ก็จะเล่นให้สักหน่อย
ให้ตายสิหมอนี่คิดจะยั่วผมไม่หยุดเลยแฮะ ผมก็เลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามเดิม
「เหตุผลที่ผมไม่ได้เข้ามาขวางพวกท่านก็เพราะท่านและท่านซิดนีย์ต่างก็เป็นศิษย์สำนักรุ่นทองคำ ไหนจะมีท่านสกายชิพที่เป็นถึงอดีตหัวหน้าหน่วย นอกจากนี้ก็มีท่านชิมะที่เป็นอดีตนักรบแนวหน้าของธงที่ 1 หากผมเข้ามายุ่งก็อาจจะกลายเป็นแกะกะแทนได้ไม่ใช่หรือไงกัน? 」
ผมไม่ได้เยาะเย้ยหรือดูถูกเลยนะเออ ก็แค่ถามคำถามเฉยๆ
พอเห็นผมพูดแบบนั้นทางซาอิก็ทำหน้าเหมือนไปกินของแสลงมา รอยยิ้มที่แสดงออกมาก็ดูบิดเบี้ยวไปกว่าเดิมอีก คงรู้แล้วสินะว่าผมไปหลงคำยั่วยุง่ายๆ หรอก
บางทีที่หมอนี่ทำมาทั้งหมดก็น่าจะเพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับพวกคิจินเหมือนที่รากุนะเป็นก็ได้
ในขณะที่ผมฆ่าพวกลูกกระจ๊อกของโอเค็นด้วยอาภรณ์วิญญาณ ผมกลับเลือกโจมตีโอเค็นด้วยเวทมนตร์ไม่ให้ถึงตาย จนกลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยท่านเอ็มมะกับคนอื่นๆ ดังนั้นหากจะสงสัยว่าผมเล่นละครลิงกับอีกฝ่ายก็ไม่แปลกอะไรนัก
เพราะงั้นหมอนี่ก็เลยพยายามจะกระตุ้นให้ผมโมโหและปั่นหัวผมเพื่อดึงข้อมูลจากผมไปด้วยคำพูดของเขา
แต่แทนที่เขาจะถามผมตรงๆ แบบรากุนะ เขากลับถามออกมาแบบกึ่งเล่นกึ่งจริงแทน
――ผมมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมรุ่นผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า
แม้ท่าทางของซาอิจะยังทำตัวสบายๆ แต่ดวงตาของเขาไม่ใช่เล่นๆ เลยแฮะ
ผมและผิวสีน้ำตาลเข้ม กับร่างที่ผอมสูง ซึ่งมีลักษณะการยืนหลังค่อมเล็กน้อยเขาไม่เปลี่ยนไปจาก 5 ปีก่อนเลยสักนิด
ตอนที่ผมอยู่บนเกาะเมื่อก่อนหมอนี่ก็ชอบล้อชื่อโซระของผมว่าคาระ (ความว่างเปล่า) เสมอ
แค่นึกก็ชักโมโหขึ้นมาละสิ เมื่อก่อนผมสวนอะไรกลับไปไม่ได้ด้วยเพราะคำพูดและการกระทำของเขาก็มักจะมีคนหนุนอยู่เสมอเนื่องจากความสำเร็จของเขาที่เหนือกว่าผมไปหลายเท่า
พอรู้ว่าทางเขาเองก็พยายามฝึกฝนอย่างหนักจนได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทางผมเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าฝึกต่อไป โดยไม่ตอบโต้อะไรซาอิที่หยอกล้อผม
5 ปีก่อนทางผมเองก็รักษาระยะห่างกับซิดนีย์เอาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนนิสัยแย่อะไร แต่เพราะซิดนีย์เป็นเพื่อนสนิทของซาอิ ผมก็เลยไม่อยากจะไปสานสัมพันธ์อะไรกับซิดนีย์แม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยดี――เอาเป็นว่าซาอิ คุมอน เป็นของแสลงสำหรับผมในอดีตมากจริงๆ
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมค่อนข้างจะระวังตัวไม่ให้ไปยุ่งอะไรกับซาอิในตอนที่กลับมายังเกาะ แม้ว่าหลังจากผมเอาชนะไฮดราได้สำเร็จ ผมจะมั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเขาแน่ๆ แต่ความรู้สึกอันแสนอ่อนแอตอนยังอยู่ที่เกาะก็ใช่จะหายไปง่ายๆ ผมยอมรับว่าในใจของผมยังกลัวซาอิอยู่ ไม่ต่างอะไรกับผมกลัวพ่อของผมและรากุนะ――กระทั่งไม่นานมานี้แหละ
จากนั้นซาอิก็หันมามองผมและเปิดปากพูดขึ้น――ระหว่างนั้นเขาก็ใช้ปลายหอกส่วนทื่อกระแทกเข้ากับพื้นด้วย
「แบบนี้นี่เองๆ นอกจากจะสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้แล้ว ดูเหมือนจะเติบโตในฐานะลูกผู้ชายจนสามารถสบตาฉันได้แล้วสินะ」
น้ำเสียงของเขายังชวนวอนเท้าเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เหมือนเข็มทิ่มแทงผมมันดันหายไปซะงั้น
หรือว่าหมอนี่มันจะชมผมจริงๆ ฟะ――ไม่สิจะเรียกว่าชมก็คงไม่เชิง ความรู้สึกมันเหมือนทักทายคนที่กลับมาถึงบ้านแบบสบายๆ มากกว่า ความรู้สึกที่ส่งผ่านคำพูดมาก็เหมือนจะไม่อยากกวนอะไรผมแล้ว
ทางซิดนีย์ที่เข้าไปดูแลปู่ของเขาก็มองมาทางผมด้วยความโล่งอก ดูเหมือนซิดนีย์ก็จะรู้ถึงความตั้งใจจริงของซาอิแต่แรกอยู่แล้ว แต่เขาก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอหากสถานการณ์มันบานปลายเกินแกล้งกัน
บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นแบบนี้ต่อไปผมว่าผมคงจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับทั้งสองซึ่งต่างไปจาก 5 ปีก่อนก็ได้นะ อย่างน้อยก็เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่างพวกผม
――แต่ใครมันจะไปทำกัน
ผมก็เลยเลือกเดินจากซาอิมาเงียบๆ แทน
ความกลัวที่ผมมีต่อซาอิก็หายไปแล้วเหลือเพียงแค่ความทรงจำในอดีต ทั้งที่ตอนแรกผมจัดเขาอยู่ในตำแหน่งที่น่าจับตามองแท้ๆ ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ไม่ว่าจะซิดนีย์ มอร์แกนหรือเซซิลดันมาจอดกับคิจินแค่ 7 8 ตัว
ผมเลยมองว่าจากนี้ไปคนที่ผมพอจะให้ความสนใจได้คงจะเป็นคนระดับที่สามารถใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้เช่นเดียวกับโกซุแล้วแน่ๆ
นอกจากนี้ที่ผมไม่จัดหนักเจ้าซาอิก็เพราะไม่อยากให้ท่านเอ็มมะเข้าใจอะไรผมผิดด้วยสิ――
「แกนะแก แกนะแก หนอยยยย เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ!」
เอาเป็นว่าผมก็ให้เวลาเจ้าโอเค็นนี่มากพอแล้วมั้ง
คิจินได้ส่งเสียงคำรามออกมาก่อนจะกระพือปีกของมันแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บาดแผลที่เกิดจากองค์หญิงแห่งเปลวเพลิงส่วนใหญ่ก็หายแล้วด้วย ดวงตาทั้งสองของมันที่ควรจะถูกหลอมละลายไปแล้วก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม
พอบอกว่าเป็นสาวกแห่งทวยเทพ ผมก็พอเดาได้อยู่แล้วอ่ะนะว่าหมอนี่ต้องใช้เวทฟื้นฟูได้
พอมองขึ้นไปดูก็เห็นเลยว่า ดวงตาของคิจินนี่มันแค้นจนไฟลุกไม่ต่างอะไรกับเตาหลอมเลยวุ้ย
จากนั้นโอเค็นก็เริ่มร่ายเวทด้วยเสียงที่ดังลั่น
「『เขาแห่งอสูรบนศีรษะ ลายเสือดาวบนลำตัว เกล็ดงูที่ปลายหาง』!」
เป็นบทร่ายที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ แต่ก็ดูจะเป็นเวทระดับสูงพอสมควรด้วยบทร่ายที่ยาว
คนที่พูดเตือนขึ้นมาก็คือมอร์แกน สกายชิพอดีตหัวหน้าหน่วยธงที่ 6――ซึ่งผ่านสมรภูมิมาแล้วนักต่อนัก
「นั่นมัน เวทลมระดับ 9…..นี่มันตั้งใจจะพัดทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นนี้ให้หายไปจนหมดแน่…!」
เสียงของมอร์แกนดังขึ้น โดยมีทางซิดนีย์หลานชายของเขาคอยพยุงร่างเอาไว้อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลหรือความกลัวต่อเวทนี้กันแน่ท่าทางของเขาเลยเป็นแบบนั้น
ในระหว่างนี้เองบทร่ายก็ถูกร่ายต่อไปเรื่อยๆ สายลมรอบตัวของโอเค็นก็เริ่มพัดแรงขึ้น เสียงเสียดสีกันของอากาศก็เริ่มก่อตัวดังราวกับฟ้าผ่า
「『เสียงคำรามแห่งสัตว์ร้าย คำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์ สลักกรงเล็บ ณ ทุ่งเมเปิลสีแดงฉาน』」
ดูเหมือนว่าเวทจะใกล้ร่ายเสร็จแล้ว แถมทางโอเค็นก็ดูจะเค้นพลังหนักกว่าเดิมอีก
ท่าทางหมอนี่จะเสริมความแรงของเวทด้วยพลังกายตัวเองเข้าไปด้วยแน่ๆ สายลมตอนนี้ได้คำรามออกมาและหมุนรอบๆ ตัวของคิจินเอาไว้ ราวกับมันกำลังสวมชุดที่ทำมาจากพายุ
พอเห็นว่าเป้าหมายของลมพายุนั้นคือพื้นดินทั้งหมด พวกภรรยาน้อยและคนอื่นๆ ที่ตามมาด้วยก็ต่างกรีดร้องกันออกมาอีกครั้งเพราะแค่ตอนนี้ลมมันก็แทบจะพัดร่างของพวกเขาให้ปลิวไปได้แล้ว
「『จงทะลวงสายลมและกลุ่มเมฆ ว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด』」
ความแม่นยำในบทร่าย และพลังที่ใช้ เทียบไม่ได้กับตอนที่มันใช้แกล้งอิบุกิเลยสักนิด
จากนั้นก็มีเสียงแห่งความสุขดังขึ้นภายในลมพายุที่โหมกระหน่ำนั้น
「เอาล่ะ จงหนีให้พ้นปีกฟินิกซ์แห่งข้าเสียสิ!『วายุทมิฬ――ขาทั้ง 4 ที่จะทะยานตัดเส้นขอบฟ้า――โคคุฮิเร็น (เฟยเหลียน) 』!!」
และแล้วเวทมนตร์ที่ทรงพลังก็ถูกร่ายจนเสร็จ
เวทระดับ 9 คือเวทระดับสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะรู้จัก นอกจากนี้พอรวมเข้ากับพลังของคิจินด้วยแล้ว ก็คงไม่ต้องถามมั้งว่าจะแรงได้อีกขนาดไหนกัน
――แต่สำหรับผมแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ
「เห้อ ได้แค่นี้เองเหรอ」
อยากจะอ้วกออกมาด้วยความผิดหวังเลยวุ้ย
เมื่อก่อนผมเคยรับมือกับเวทระดับ 8 มาแล้วตอนอยู่ที่เมืองหลวงของคาราเรีย ความโหดของเวทตอนนี้คงมากกว่านั้น 2 เท่าได้ ทว่าความสุดยอดของเวทระดับ 9 ก็ไม่สามารถทำให้ผมตกใจได้อีกแล้ว
พลังที่เสริมเข้ามาในเวทมนตร์เองก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนัก
ก็จริงว่าเจ้าโอเค็นมันแข็งแกร่งแน่ๆ แต่หากจะให้เอาไปเทียบกับไฮดราเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ผมสู้ในป่าทีทิสแล้วคงไม่ไหว ไม่สิผมว่าโกซุที่ใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่ายังหินกว่าเยอะ ดังนั้นภัยคุกคามระดับนี้ผมไม่เห็นจะกลัวเลยสักนิด
ภาพตรงนี้ก็เลยกลายเป็นทันทีที่เวทระดับ 9 ถูกปล่อยออกมา ผมก็ใช้โซลอีทเตอร์ออกกระบวนท่า วายุ ใส่แบบสบายๆ เข้าปะทะกับเวทของโอเค็น พายุที่โหมกระหน่ำนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นแล้วสลายออกไปเฉยเลย
「………………หา」
ผมจ้องมองไปยังใบหน้าของโอเค็นที่เหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ดูจากสีหน้าของมันแล้วนี่น่าจะสุดกำลังของมันแล้วด้วยสิ นี่ขนาดว่าให้เวลาเตรียมไพ่ตายแล้วนะเห้ย ผิดหวังชะมัด
ผมก็ทำได้เพียงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
เอาเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็รีบๆ ฆ่ามันแล้วตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลดีกว่า ว่าแล้วผมก็ใช้โซลอีทเตอร์ฟันวายุออกไปอีกครั้งใส่โอเค็น
วายุได้ตัดผ่านห้วงอากาศด้วยความเร็วสูงและตัดแขนขวาของโอเค็นได้อย่างง่ายดาย โอเค็นที่ไม่สามารถประคองการทรงตัวได้ด้วยปีกข้างเดียวก็ร่วงลงมาที่พื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
แต่ก่อนที่มันจะได้กระแทกถึงพื้น ผมได้ทำการพุ่งไปยังจุดที่มันจะร่วงแล้วใช้มือข้างหนึ่งในการรับร่างของโอเค็นแทน
หากมาตายเพราะร่วงลงพื้นก็อดกินวิญญาณกันพอดีสิฟะ นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ผมอยากจะถามก่อนฆ่ามันด้วย
พอรับร่างของมันได้ ผมก็โยนโอเค็นลงไปที่พื้น ทันทีที่โอเค็นล้มลงมันก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สภาพร่างกายที่คล้ายกับนกได้คืนสู่ร่างปกติเสียแล้ว จากที่ดูมันคงไม่เหลือแรงพอให้รักษาร่างนั้นไว้ได้แล้ว
พอผ่านไปครู่หนึ่ง โอเค็นก็พยายามประคองร่างของตัวเองขึ้น และพบกับใบหน้าของผมที่อยู่ในระยะประชิด สีหน้าของเขาได้กระตุกและเปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะตะโกนอะไรออกมาก็ไม่รู้ด้วยความสิ้นหวังและพยายามถอยห่างผมออกไป
แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้มันหนีหรอกนะ ผมก็เลยใช้ปลายดาบของโซลอีทเตอร์จ่อไปที่คอของโอเค็น
「เอาล่ะ ไอ้เจ้าไทซาน หากปล่อยไว้แบบนี้แกได้ตายเอาแน่ๆ ถ้ามีไพ่ตายอะไรอีกก็งัดออกมาให้หมดซะ」
「….จะ….เจ้าเป็นใครกันแน่? ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีตัวประหลาดแบบนี้อยู่ด้วย――」
「ตอบคำถามกันก่อนสิเห้ย」
ผมได้กดดาบลงไปที่คอของโอเค็น คมดาบได้เฉือนเข้าไปที่คอของมันจนทำให้เลือดไหลออกมา
ผมก็เลยถามโอเค็นต่อ
「แกก็เป็นพวกเดียวกันกับที่โจมตีคฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิไม่ใช่หรือไง? ทำไมไม่ใช้พลังที่ทำให้แกร่งพอๆ กับพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานเหมือนตรงนั้นล่ะ? 」
「….ถ้าข้าบอก เจ้าจะยอมปล่อยข้าไปงั้นหรือ? 」
「ถ้าแกไม่ตอบ ให้มั่นใจได้เลยว่าแกตายแน่」
「……」
โอเค็นมองผมเงียบๆ ดูเหมือนเขากำลังพยายามจะคิดคำนวณถึงทางรอดอยู่
ในที่สุดโอเค็นก็ยอมเปิดปากพูดเพราะเหมือนได้คำตอบที่ตัวเองควรตอบแล้ว
「คนที่กำลังโจมตีคฤหาสน์อยู่ตอนนี้น่าจะมอบร่างให้กับเทพปีศาจไปแล้ว…หากถามว่าข้าทำได้แบบเดียวกันไหมก็ต้องตอบว่าทำได้ แต่ข้าไม่มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นเลย…」
「ทำไมล่ะ? ยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี สู้ลากศัตรูลงหลุมไปด้วยให้มากที่สุดไม่ดีกว่าเหรอ」
「…..มันไม่ได้หมายความว่าคิจินทุกตนจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับเทพปีศาจเสียหน่อย….คิจินทุกตนนั้นเชื่อมโยงกับเทพปีศาจชียูไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ในเรื่องนี้บางตนก็มองว่ามันคือพร บางตนก็มองว่ามันคือคำสาปและเกลียดมันยิ่งกว่าอะไร」
ก็ได้ยินเรื่องที่มันบอกผมก็เลิกคิ้วขวาขึ้นเหมือนที่ซาอิทำก่อนหน้านี้เลย ชียูที่ว่าน่าจะเป็นชื่อของเทพปีศาจ พอได้ยินว่ามีคิจินเกลียดเทพปีศาจแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ แฮะ
「ถ้าให้ฉันเดาแกเป็นอย่างหลังสินะ」
「ฟุฟุ….อายุขัยของสาวกแห่งพระเจ้า (บุตรอันเป็นที่รัก) น่ะช่างสั้นนัก เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไม…..เพราะความสามารถของคิจินตนหนึ่งนั้นมันน้อยนิดเกินจะรับพลังของชียูได้น่ะสิ พ่อของข้ากษัตริย์แห่งไทซานก็ได้สิ้นชีพไปเพราะรับพลังของชียูไม่ไหวเช่นเดียวกัน….」
โอเค็นได้เอามือซ้ายปิดใบหน้าของตนเอาไว้และขยับปากพูดต่อไปในขณะที่ลมหายใจเริ่มหอบขึ้น
「ข้าน่ะ….ข้าน่ะไม่อยากจะตายเพราะมัน ใช่แล้วข้ายังไม่อยากตาย….! เพราะงั้นข้าถึงได้เข้าร่วมกับลัทธิแห่งแสงเพื่อทำลายคำสาปนี้ลงยังไงล่ะ――แล้วทำไมข้าจะต้องมาตายในที่แบบนี้กัน? พ่ายแพ้ให้กับมนุษย์น่ะหรือ คึกคึก คึกคึก ….หึหึหึหึหึหึหึหึ!」
โอเค็นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับคนเสียสติ
ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันเสียสติได้ขนาดนี้เป็นเพราะผมหรือนึกถึงอดีตที่พ่อตัวเองตายไปจนเป็นบ้า ไม่ก็เสียเลือดมากเกินไปจนทำให้ประคองสติไม่อยู่
อันที่จริงผมก็มีอีกหลายเรื่องที่จะถามนะ แต่สภาพของมันตอนนี้ไม่น่าไหวแฮะ
จากนั้นโอเค็นก็ตะโกนออกมา
「――มีใครเหลืออยู่ที่แห่งนี้บ้าง?! ท่านคาการิ ท่านอิซากิ! ข้ายังไม่อยากตาย ข้าจะมาตายในที่แบบนี้ไม่ได้! ใครก็ได้ช่วยข้าที!!」
มันคือเสียงคำราม มันคือเสียงกรีดร้อง มันคือเสียงวิงวอน โอเค็นเค้นเสียงออกมาจนถึงขีดสุด เส้นเลือดสีแดงในดวงตาของเขามันแทบจะทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินจาก
เสียงที่สิ้นหวังของโอเค็นมันดังสะเทือนท้องฟ้าเมืองชูโตะ จนทำให้รู้สึกว่าคนทั้งเกาะน่าจะได้ยินเลย
ทว่ามันก็ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ราวกับจะบอกว่าการกระทำของโอเค็นไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าการดิ้นรนอย่างสิ้นหวังต่อความตายตรงหน้า
ทว่าในวินาทีต่อมา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
「――――หือ!」
ผมสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากอีกฝ่าย ก็เลยเลือกที่จะถอยหนีออกมาก่อน
ได้เกิดประกายแสงขึ้นเพื่อกวาดเอาพื้นที่ที่ผมยืนอยู่ก่อนหน้านี้ให้หายไป ผมมั่นใจเลยว่าหากผมยังยืนอยู่ตรงนั้น ผมได้ถูกผ่าครึ่งซีกแน่
ผมค่อยๆ ปรับท่าทางของผมเสียใหม่แล้วมองไปยังเบื้องหน้า
เบื้องหน้าของผมยังมีโอเค็นอยู่ แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือมีคิจินตนหนึ่ง ไม่สิถ้าจะให้พูดชัดๆ น่าจะเป็นเสาต้นยักษ์ต้นหนึ่งมากกว่า
ลักษณะของมันค่อนข้างโดดเด่นพอสมควร
คิจินที่สูงกว่า 3 เมตร แขนขาใหญ่โตราวกับเสาเหล็กยักษ์ ดวงตาสีแดงก่ำ มาพร้อมกับคมเขี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ออกมาจากปาก
จะเรียกว่ามนุษย์ก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าคิจินก็ไม่เชิง จะเรียกว่ามอนสเตอร์ก็ไม่น่า
เทพปีศาจ――นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าผมเป็น
——–
Note 1 : ในโนเวลจะมีจุดเสริมตรงที่ว่า ชูคุยะมองว่าการที่ชิกิบุไม่ให้พวกตนเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในเมืองคราวนี้คือต้องการจะให้พวกเด็กรุ่นใหม่ได้เจอของแข็งกันบ้างเพื่อเป็นการฝึกฝน เพราะหากพวกตนเข้ามายุ่ง เรื่องราวคงจะจบก่อนที่พวกเด็กๆจะได้แสดงฝีมือแน่
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code