การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 139 งานแต่งงาน

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 139 งานแต่งงาน

 

หลังจากออกมาจากเกาะอสูรยักษ์ ผมก็มุ่งหน้าไปยังถนนแห่งกฎเกณฑ์ทางตะวันตกของจักรวรรดิ มันไม่ได้เหมือนกับขามา ย่างก้าวและหัวใจของผมในตอนนี้มันช่างเบาหวิว จนอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงออกมา

 

เอาง่ายๆ ก็คือแรงใจผมตอนนี้เต็มเปี่ยมเลย

 

 

ถึงแม้การกลับบ้านเกิดในครั้งนี้ของผมมันจะสั้นและใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่ผมก็ได้อะไรกลับมามากมาย ทั้งยืนยันการเติบโตของตัวเอง ทั้งภูเขาสูงที่ผมได้เห็นและต้องก้าวข้าม

 

 

 

นอกจากนี้เลเวลของผมก็เพิ่มขึ้นจากการฆ่าเทพปีศาจได้ด้วย แล้วจะให้ผมไม่อารมณ์ดีได้ยังไงกัน

 

 

เลเวลของผมตอนนี้อยู่ที่ 30 พอนึกถึงตัวเลขนี้ทีไรก็อดยิ้มไม่ได้เลยแฮะ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพอผมอารมณ์ดีแล้วส่งเสียงฮัมเพลงออกมา คนที่สวนทางกันไปมาถึงพยายามหลบหน้าผม

 

ก็แอบคิดหรอกนะว่าถ้าเกิดเป็นพวกทหารที่ดูแลตามทางหลวงมาเจอเข้า ผมอาจจะถูกลากเข้าไปสอบสวนก็ได้ แต่โชคดีว่าตลอดเส้นทางจนถึงพรมแดนของคานาเรีย ไม่ได้เจออะไรทำนองนั้นเลย

 

 

――ก็ได้แต่หวังว่า อนาคตก็จะโชคดีแบบนี้ต่อไปละกัน

 

 

 

เพราะจากสายตาของผมเมื่อเดินทางมาถึงพรมแดนแล้ว ผมเห็นคนต่อคิวกันยาวเหยียดเต็มถนนข้ามพรมแดนไปหมดเลย ก็เข้าใจหรอกว่ามันยาวเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็ยาวเกินไปจนคิดว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้

 

 

 

ถึงจะบอกแบบนั้น แต่สัญญาณแห่งความวุ่นวายหรือความตึงเครียดก็ไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาบนใบหน้าของผู้คน ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องร้ายสักเท่าไหร่อย่างมีมอนสเตอร์ขนาดยักษ์โผล่มา หรือเกิดสงครามระหว่างสองประเทศขึ้น

 

 

 

สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันน้อ ผมเอียงหัวสงสัย

 

 

 

 

 

「ถ้าหากเป็นแถวของทางฝั่งคานาเรียมันก็พอเข้าใจได้หรอกนะ」

 

 

 

เพราะหากเป็นแถวฝั่งนั้นก็คงจะไม่แปลกอะไร ก่อนหน้านี้ไหนจะเรื่องเมืองหลวงถูกพวกศพลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวายเอย มอนสเตอร์คลุ้มคลั่งเอย ไฮดราเอย แค่ไม่กี่เดือนเรื่องต่างๆ มากมายโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แถมไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าจะไม่เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก

 

 

นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมเข้าใจได้ หากคนจากทางคานาเรียจะหนีไปยังจักรวรรดิกัน

 

 

 

แต่แถวที่ผมเห็นมันตรงกันข้ามนี่สิ เพราะคนดันต่อแถวข้ามชายแดนไปทางอาณาจักรคานาเรียแทนซะงั้น

 

 

 

พวกพ่อค้าที่เห็นโอกาสทำเงินก็เริ่มตั้งแผงลอย พวกทหารรับจ้างก็เริ่มหางานคุ้มกัน――พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็เลยลองแอบฟังพวกคนแถวนี้คุยกันดู

 

 

 

พอได้ลองฟังเรื่องราวของพวกคนแถวนี้ไปได้สักพัก ก็เจอทั้งเรื่องไร้สาระ เรื่องส่วนตัว เรื่องนั่นนี่ แต่สิ่งที่เป็นเหตุผลหลักให้พวกเขามาที่นี่ก็คือ

 

――การแต่งงานระหว่างเจ้าหญิงซากุยะแห่งจักรวรรดิแอด แอสเทอร่ากับรัชทายาทเอซ่าแห่งอาณาจักรคานาเรีย ส่วนสถานที่จัดงานก็คือเมืองหลวงโฮรัส หนึ่งเดือนหลังจากนี้

 

 

อันที่จริงผมก็เลยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน ตอนที่ไปเมืองหลวง ดังนั้นเรื่องการแต่งงานน่ะผมไม่ได้แปลกใจอะไรหรอก ที่คาใจก็คงจะเป็นกำหนดการต่างหาก

 

 

เพราะมันใช้เวลาอีกเพียงแค่ 1 เดือน หากพูดถึงการแต่งงานระหว่างสองประเทศแล้ว ปกติมันก็ควรจะใช้เวลาเตรียมการประมาณสัก 1 ปี แล้วไหงถึงใช้เวลาแค่นี้กัน ว่าตามตรงขนาดคนธรรมดาแต่งงาน ยังต้องใช้เวลาเตรียมหลายๆ อย่างมากกว่านี้เลย

 

 

 

เวลาแค่นี้มันจะไปพอเตรียมการอะไรจริงหรือ นอกจากนี้ก็เหมือนที่บอกไปตอนแรกอาณาจักรคานาเรียเผชิญความวุ่นวายสารพัด ระบบการทำงานภายในประเทศก็ยังไม่กลับไปเป็นเหมือนเก่า ทั้งที่เป็นแบบนั้นก็ยังสามารถจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โตได้เหรอ――

 

 

 

 

 

「ไม่สิ หรือเพราะแบบนั้นก็เลย..」

 

ผมวางมือไว้บนคางแล้วคิด หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากฝั่งชนชั้นปกครองจะเริ่มโครงการขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายภายในอาณาจักร ทั้งคนที่สูญเสียงาน สูญเสียบ้าน

 

และด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาจักรคานาเรีย พวกเขาไม่ได้มีทรัพยากรมากพอจะทำโครงการขนาดใหญ่ได้ แต่หากมีการสนับสนุนของจักรวรรดิ ความขาดแคลนนั้นก็จะหายไป สุดท้ายแล้วจักรวรรดิก็จะกลายเป็นทางออกสำหรับปัญหาในตอนนี้ของพวกเขา ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คน

 

แถมการเคลื่อนไหวครั้งนี้นอกจากจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของคานาเรียที่กำลังเจอปัญหา การแต่งงานยังสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของคนในชาติให้มั่นคงขึ้นได้ด้วย

 

พอคิดแบบนี้อะไรหลายอย่างมันก็ลงตัว แทนที่จะจัดงานแต่งงานหลังผ่านไปเป็นปีแล้ว สู้จัดมันให้เร็วเพื่อฟื้นฟูความหวังของผู้คนจะดีกว่าเสียอีก――ดังนั้นพอเห็นกำหนดการที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนแล้ว ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี

 

 

 

「พอดูเผินๆ แล้วก็ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้น่าเป็นห่วง แต่มันก็แค่พื้นผิวอ่ะนะ」

 

 

 

เพราะผมรู้ดีว่าเป็นทางจักรวรรดิสั่งให้ตระกูลมิตสึรุกิส่งคนไปกำจัดคลอเดียซึ่งเป็นคู่หมั้นของรัชทายาท ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็คงจะสมใจอยากพวกเขาเหมือนกัน

 

 

 

นอกจากนี้ทางจักรวรรดิเหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องของจินโบ ถึงทางฝั่งต่อต้านจักรวรรดิของอาณาจักรคานาเรียจะต่อต้านเรื่องพวกนี้ แต่เพราะสถานการณ์ภายในจึงทำให้ยากที่จะไม่ขอยืมมือจากจักรวรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นความเสียงที่จะโดนจักรวรรดิรุกรานหากพวกเขายังดื้อดึงปฏิเสธก็ไม่ใช่ศูนย์

 

 

 

ดยุกดรากูนอทกับแอสทริดเองก็คงจะยุ่งพอตัวแน่ จะว่าไปคลอเดียทำอะไรอยู่นะ ก็รู้ว่าทางนั้นโดนยกเลิกการหมั้นไปแล้ว คงไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับงานแต่ง แต่ความเป็นไปได้ที่เธอจะโดนดึงเข้าไปในเกมการเมืองในฐานะอดีตคู่หมั้นก็ยังมีอยู่

 

 

ผมก็เลยแอบกังวลเกี่ยวกับเธอเหมือนกัน ยิ่งผมเป็นคนฆ่าจินโบแล้วกินวิญญาณเขาด้วย คนบนเกาะจะทำอะไรเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่หากอ้างอิงจากจดหมายที่ผมได้รับก่อนจะเดินทางไปยังเกาะ ก็เหมือนจะไม่มีความผิดปกติอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขา คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง…

 

 

พอคิดได้แบบนี้ ผมว่าไหนๆ ก็แวะไปเมืองหลวงสักหน่อยให้หายคิดถึงแล้วกัน ผมคิดระหว่างรอต่อแถวที่ยาวเหยียด

 

 

 

 

 

◆◆

 

 

 

ในขณะเดียวกัน คลอเดีย ดรากูนอทก็กำลังอยู่ที่คอกมังกรตามลำพังแล้วครุ่นคิด

 

สภาพร่างกายที่ผอมแห้งเพราะคำสาป หากถูกลมพัดก็คงจะปลิวไม่เหลืออยู่แล้ว

 

 

 

แก้มของเธอเริ่มมีเลือดฝาด ผิวของเธอก็ดูดีขึ้น

 

 

 

ความงดงามของเธอในตอนนี้มันมากพอที่จะทำให้เหล่าสาธารณชนประหลาดใจ ขนาดเมื่อวันก่อนที่เธอเดินทางไปยังพระราชวังพร้อมกับพ่อและพี่สาวของเธอ เหล่าชนชั้นสูงภายในนั้นก็ต่างตกใจกับภาพที่ได้เห็น

 

 

 

เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ รู้จักกับคลอเดียตอนที่ถูกคำสาปกัดกินอยู่เท่านั้น พวกเขาก็เลยอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของเธอ

 

 

เดิมทีเธอก็เป็นหญิงสาวที่ได้ชื่อเรื่องความงามและความเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว พอเธอสามารถก้าวข้ามเรื่องนี้มาได้สำเร็จ แม้แต่อดีตคู่หมั้นของเธออย่างรัชทายาทเอซ่าที่ไม่ได้เจอกันมานานก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกใจพอได้เห็นเธอ

 

 

 

พอคลอเดียนึกถึงใบหน้าขององค์รัชทายาทเธอก็ถอนหายใจออกมา

 

 

 

 

「กิ้ว? 」

 

 

พอเห็นคลอเดียทำหน้าแบบนั้น เงาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็ขยับไปมา อย่างที่บอกก่อนหน้าว่าเธอเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่ ดังนั้นอีกสิ่งตรงนี้จึงไม่ใช่คน

 

คลาเร็น ไวเวิร์นประจำตระกูลดรากอนอท กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของคลอเดีย ก็อย่างที่รู้ว่าไวเวิร์นตัวนี้เป็นไวเวิร์นประจำตัวของเธอเอง

 

 

 

 

「ฉันไม่เป็นไรหรอก คลาเร็น…แต่ถ้าถามว่ามีอะไรคาใจไหม…ก็คงจะเป็นเรื่องที่อยากจะเข้าไปอัดที่แก้มขององค์รัชทายาทสักครั้งก่อนจากลามั้ง」

 

 

 

「กี้!? 」

 

 

 

「คิดจะทำแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ? แน่อยู่แล้วสิใครมันจะไปทำได้กัน!」

 

 

 

เพราะแบบนั้นก็เลยแอบเซ็งๆ อยู่นิดหน่อย คลอเดียคิดขณะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย

 

 

เธอไม่ได้โกรธที่ตัวเองถูกถอนหมั้น หากนึกถึงสภาพของเธอจนถึงก่อนหน้านี้แล้ว มันก็ช่วยไม่ได้หรอกที่เธอจะถูกตัดสินให้อยู่ในสภาพไม่พร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งคู่หมั้นขององค์รัชทายาทและว่าทีราชินีในอนาคต

 

 

นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ความผิดขององค์รัชทายาทเลย เพราะการเจรจาเรื่องการแต่งงานกับเจ้าหญิงซากุยะเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผลก็มาจากฝีมือของมาร์ควิสโครเคีย แถมทางกษัตริย์ก็ยอมรับแล้วด้วย องค์รัชทายาทก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน

 

 

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ ถึงจะรู้แบบนั้นก็เถอะ…

 

 

 

แค่ไม่ชอบนิสัยบ้าอำนาจ เย่อหยิ่งของเจ้าหญิงซากุยะตอนมาเจอกันก็เลยมาทำเป็นส่งสายตาให้เธออย่างหวานชื่น คิดหรือไงกันว่าเธอจะยินดีอ้าแขนกระโดดเข้าไปหาแล้วยอมเป็นภรรยาคนที่สองของเขา จะบ้าหรือเปล่า

 

 

 

「ให้ตายสิ! โชคดีไปนะที่ท่านพ่อกับท่านพี่ไม่ได้มารู้เรื่องพวกนี้เข้า ไม่งั้นได้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นอีกแน่!」

 

คลาเร็นที่เห็นคลอเดียบ่นออกมาด้วยความโมโหจนแก้มป่องก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมา

 

 

เขาไม่รู้จะต้องรับมือกับเจ้านายของตนที่โมโหเป็นฟืนไฟยังไงดี

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท