ตอนที่ 142 จากลา
『เพราะเป็นคำสั่งของท่านพ่อ ฉันก็เลยต้องรับคุณเป็นคู่ครอง แต่นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะได้รับจากฉัน ร่างกายนี้ของฉันจะไม่มีวันให้คุณแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้วค่ะ』
เจ้าหญิงลำดับที่ 3 จากจักรวรรดิ แอด แอสเทอร่าผู้งดงาม เข้ามาพบกับองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรกได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
จากนั้นเธอก็เริ่มพูดต่อด้วยสีหน้าที่เย็นชาโดยที่ไม่ได้สนใจใบหน้าอันตื่นตระหนกขององค์รัชทายาท
『และสักวันหนึ่งฉันจะทำการรับเอาลูกสักคนของท่านพ่อหรือก็คือน้องชายของฉัน แล้วให้เขามาเป็นรัชทายาทสืบทอดประเทศต่อไปก็แล้วกัน เลยอยากจะให้รู้ว่าคุณก็เป็นเพียงสามี ไม่ใช่กษัตริย์』
ใบหน้าที่งดงามกับน้ำเสียงที่ไพเราะของเธอมันช่างน่าหลงใหล ทว่าเนื้อหาที่เธอพูดออกมานั้นช่างตรงกันข้าม
กล่ายอีกนัยหนึ่ง ก็คือเธอจะทำให้น้องชายของเธอมาเป็นผู้สืบทอดของอาณาจักรคานาเรีย และทำให้จักรวรรดิมีอำนาจเหนือคานาเรียอย่างแท้จริง องค์รัชทายาทก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดบังหน้า เจ้าหญิงพูดออกมาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่คำขอหรือคำปรึกษาหารือ เพราะคนที่จะมาเป็นสามีของเธอไม่มีทางจะต่อรองอะไรกับเธอได้
ทั้งหมดก็เป็นเพียงข้อตกลงทางธุรกิจของสองประเทศที่ถูกตัดสินเอาไว้แล้ว
『หรือถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์อะไรทำนองนั้น ก็สามารถไปหาผู้หญิงคนอื่นให้ช่วยได้ ฉันไม่สนใจว่าคุณจะพาใครหรือจำนวนเท่าไหร่เข้ามา นอกจากนี้ฉันก็ได้ยินมาว่าคุณต้องถอนหมั้นกับผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเรื่องในครั้งนี้ไปนี่ ทำไมไม่ลองรับเธอกลับมาดูล่ะ』
พอพูดจบเจ้าหญิงลำดับที่ 3 ก็ลุกออกไปโดยไม่มีท่าทีลังเลเลยสักนิด เหมือนจะบอกว่าเรื่องที่เธอต้องการจะบอกหมดแล้ว
องค์รัชทายาทไม่สามารถปริปากพูดอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่มองดูคู่แต่งงานของตนเดินจากไป จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่เธอเข้ามา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
นั่นแหละคือการพบกันครั้งแรกขององค์รัชทายาทเอซ่าแห่งคานาเรียกับเจ้าหญิงซาคุยะแห่งแอด แอสเทอร่า
หลังจากนั้นเอซ่าก็เดินทางกลับคานาเรียทันที แน่นอนว่าความโกรธขอเขาได้ระเบิดออกมาภายในรถม้าระหว่างการเดินทาง
มาร์ควิสโครเคียที่เป็นผู้ติดตามพอได้ยินก็พูดกับเอซ่าด้วยใบหน้าที่จริงจัง
――เขาพยายามจะบอกว่าอันที่จริงเจ้าหญิงกังวลเกี่ยวกับการที่ตนต้องออกจากประเทศของตัวเอง นั่นเลยทำให้เธอทำตัวแบบนั้น นอกจากนี้สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ต่างอะไรกับการทดสอบว่าที่สามีของตน หากเอซ่าไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวและปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยน เดี๋ยวท่าทีของเธอก็จะดีถึงเอง แต่หากยังใช้อารมณ์ในการโต้ตอบกัน หัวใจของเจ้าหญิงก็จะห่างไกลออกมา ดีไม่ดีอาจจะเอาไปฟ้องพ่อของเธอที่ถูกปฏิบัติด้วยไม่ดี ความสัมพันธ์ของสองประเทศก็จะลงเข้าไปอีก เลวร้ายที่สุดอาจจะเกิดความรุนแรงทางการทหารขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงทั้งหมดที่ว่ามา เอซ่าก็จำเป็นต้องทนต่อการกระทำของเจ้าหญิง….
ถึงเอซ่าจะเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังพวกนี้ดีเมื่อมาร์ควิสอธิบายให้เขาฟังอย่างสุภาพ แต่ความไม่พอใจก็ใช่จะหายไปง่ายๆ
ตัวเขานั้นเติบโตมาโดยไม่มีใครสามารถขัดได้มาก่อนในฐานะรัชทายาท คนเดียวที่เหนือกว่าเขาก็มีแค่พ่อของเขา กษัตริย์แห่งคานาเรีย แค่ต้องมารับเจ้าหญิงที่ดูถูกตัวเองมาเป็นภรรยาก็หนักหนาพออยู่แล้ว แถมมันไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่เป็นชั่วชีวิตของตัวเองนับจากนี้
ความหดหู่ใจจึงยังคงอยู่ แม้เข้าจะกลับประเทศตัวเองไปแล้วและมันก็หนักจนเขาต้องไปบอกพ่อของตนให้พิจารณาเรื่องพวกนี้ใหม่ แต่ความเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียวไม่สามารถโน้มน้าวได้ จึงจบเพียงแค่ฟังผ่านๆ ไป
ความไม่พอใจของเขาเริ่มมากขึ้น
และตอนนั้นเองก็เป็นวินาทีที่คลอเดีย ดรากูนอทเดินทางมาที่วัง
นี่ก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาได้พบกับคลอเดีย
เดิมที่เธอก็เป็นสาวสวยสุขภาพดี ดูร่าเริงอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความสง่างามแบบผู้หญิงมันถูกเพิ่มเข้ามาด้วย ความน่าดึงดูดใจของเธอก็ยิ่งโดดเด่น ร่องรอยของคำสาปและโรคร้ายก็ไม่หลงเหลือให้เห็น
พอเขาได้เห็นแบบนี้ คำพูดของเจ้าหญิงลำดับที่ 3 ก็ผุดขึ้นมาในหัว
หากเทียบกับเจ้าหญิงผู้จองหองนั่นแล้ว คลอเดียดีกว่าตั้งหลายเท่า ก็จริงอยู่ว่าเอซ่าไม่ค่อยชอบคลอเดียเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าจะบู้หรือบุ๋นคลอเดียก็เหนือกว่าเขา แต่เธอก็มักจะเลือกยอมถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อให้เขาได้เปร่งประกายกว่าเธอ
สำหรับเอซ่าใอดีตเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้มันต่างกันออกไป
ถ้าเป็นคลอเดีย แม้หลังแต่งงานกันไปแล้วเธอก็จะสนับสนุกเขาในฐานะที่เป็นสามีอย่างดีแน่ เธอจะไม่มีทางดูถูกเขาหรือให้ความสำคัญกับฐานะมากกว่าเขา ตรงกันข้ามเธอน่าจะตำหนิเจ้าหญิงผู้มีทัศนคติแสนเย่อหยิ่งนั่นแทนเขาได้ด้วย
เหตุผลที่เอซ่ายกเลิกการหมั้นกับคลอเดียไปก็เพราะคำสาป แต่ในเมื่อคำสาปมันหายไปแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก นอกจากนี้คำสาปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ยากในสังคมชนชั้นสูง การได้หมั้นหมายอีกครั้งของเธอมันก็น่าจะช่วยกลบความอับอายพวกนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตำแหน่งรัชทายาทมันมีพลังพอจะทำเช่นนั้นได้
หรือก็คือเอซ่าอยากจะให้คลอเดียมาเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเขา และเขาก็มองว่านี่คือความเมตตาที่สามารถมอบให้กับเธอได้ด้วย
เอซ่าไม่สงสัยเลยว่าคลอเดียจะต้องยอมรับมันด้วยความเต็มไปใจ เพราะในอดีตเธอก็ทุ่มเทให้กับเอซ่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นความรักที่เธอมีต่อเขาอย่างลึกซึ้งไม่มีทางจะหายไปอย่างแน่นอน น้ำตาของเธอคงจะไหลพรากเมื่อได้รับรู้ถึงขอเสนอของเอซ่า――นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
เมื่อเอซ่านำเรื่องนี้ไปบอกกับพ่อของเขา พ่อของเขาก็ขมวดคิ้วทันที
เพราะกษัตริย์ย่อมเข้าใจปัญหานี้มากกว่าลูกชายของตน เขารู้ว่าทางตระกูลดยุกโกรธแค้นขนาดไหนพอเกิดการถอนหมั้นขึ้น พวกเขาย่อมไม่พอใจทั้งดยุกดรากูนอทและแอสทริดคงคัดค้านเพราะในอดีตตนได้ทอดทิ้งคลอเดียที่ถูกสาปแล้วเข้าหาจักรวรรดิแทน ดังนั้นคลอเดียก็คงรู้สึกไม่ต่างกันมาก
นอกจากนี้ถึงจะมีการขอแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ความไม่พอใจของฝั่งดยุกก็ใช่จะหมดลงไปด้วย แย่ไปกว่านั้นอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพังลงกว่าเดิมจากการที่ต้องให้ลูกสาวของดยุกกลายมาเป็นภรรยาคนที่ 2 แทน
แต่ถ้าปล่อยปัญหานี้ทิ้งเอาไว้ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมแน่ พอเวลาผ่านไปความแตกแยกระหว่างกษัตริย์และชนชั้นสูงก็จะลึกขึ้น ――สำหรับกษัตริย์แล้วเขาคิดว่าเขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง คำพูดของเอซ่าก็เลยเป็นเหมือนเรือที่ช่วยในการตัดสินใจ
เขาก็เลยได้ข้อสรุปว่าจะให้เอซ่ากับคลอเดียไปช่วยดูแลพระสันตะปาปาที่จะเดินทางมาถึง คงจะดีไม่น้อยหากทั้งสองได้ซ่อมแซมสายสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่และถึงมันจะไม่ได้ผลแต่อย่างน้อยเขาก็สามารถแสดงให้คนรอบข้างเห็นได้ว่าเขาไว้วางใจต่อตระกูลดรากูนอทมากเพียงใด
แทนที่จะพุ่งไปเรื่องการแต่งงานแล้วคืนดีกัน สู้ไปซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลด้วยคลอเดียกับเอซ่ายังจะดีเสียกว่า นั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของกษัตริย์
ทว่าดยุกหรือแอสทริดอาจจะเข้ามาแทรกแซงได้ โดยการบอกปัดว่าคลอเดียกำลังฟื้นตัวจากอาการป่วย ด้วยเหตุนี้เขาก็เลยตั้งใจจะสั่งให้ทั้งสองออกไปติดตามเป็นองครักษ์ของพระสันตะปาปาแล้วออกจากเมืองหลวงไปทันทีที่คลอเดียเข้าวังมา เพื่อไม่ให้พวกเขามายุ่งอะไรได้
หากเป็นแค่คลอเดียคนเดียวคงไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญของเขาได้แน่ โดยเผชิญอย่างยิ่งเกียรติในการดูและพระสันตะปาปา ถึงเธอจะไม่สบายใจแต่เธอก็คงต้องยอมรับหน้าที่นี้แต่โดยดี
ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่เขาคิด
เป้าหมายจะเดินทางมาที่วังด้วยบัตรเชิญของเขาและเรื่องราวก็จะดำเนินไปตามที่ถูกที่ควร ทว่า
เมื่อคลอเดียปรากฏตัวเข้ามาภายในวังด้วยรอยยิ้มที่สดใส พร้อมกับจับมือของชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาด้วย กษัตริย์และองค์รัชทายาทก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
◆◆◆
หลังจากที่เข้ามาภายในวังแล้ว ผมกับคลอเดียก็ถูกนำทางไปยังห้องเล็กๆ ไม่ใช่โถงใหญ่
แต่ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเล็กๆ แต่นั่นมันก็ต้องเทียบกับห้องอื่นๆ ภายในวังแหละนะเพราะทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก็บ่งบอกได้แล้วว่าแตกต่างจากข้างนอก เห็นว่าเป็นห้องที่กษัตริย์จะใช้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับใครสักคหนึ่ง
จากที่ผมมองก็คงไม่ต่างอะไรกับห้องที่พวกราชวงศ์จะพูดคุยแบบเปิดอกสบายๆ ไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะให้พวกคนในวังคนอื่นได้ยินจริงๆ
ดังนั้นผมก็เลยมองว่า พวกเขาอาจจะอยากคุยกันเรื่องที่จะให้คลอเดียเป็นภรรยาคนที่ 2 แถมเป็นไปได้สูงด้วยว่าทางดยุกดรากูนอทพ่อของคลอเดียอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาเชิญคลอเดียเข้าวังมา
เป้าหมายแรกของกษัตริย์ก็คงจะเป็นโน้มน้าวใจคลอเดีย ก่อนจะให้เธอไปกล่อมดยุกอีกที หากการคาดเดานี้ถูกต้อง ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายก็เรียกว่าเลวร้ายสุดๆ แล้วล่ะนะ
จากมุมมองของผมแล้ว ผมว่ามันจะไม่ดีกว่าหรือไงกันนะ หากได้คุยเปิดอกกับดยุกแทนที่จะมาใช้อุบายแปลกๆ พวกนี้ แต่สำหรับกษัตริย์มันคงเป็นเรื่องยากละมั้ง
ทางดยุกเอกก็มีบุญคุณและภาระหน้าที่ผูกพันกับอาณาจักรอยู่เยอะ ก็ได้แต่หวังว่าไม่ให้เรื่องพวกนี้มันบานปลายใหญ่โตละกัน
ผมมองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ ผมขณคิดแบบนั้น คลอเดียที่เห็นก็หันมายิ้มให้กับผมขณะที่จับมือซ้ายของผมเอาไว้อยู่ ตั้งแต่ที่เข้ามาภายในวัง――ไม่สิถ้าจะพูดให้ชัดก็ต้องบอกว่าตั้งแต่ออกจากคฤหาสน์เธอยังไม่ปล่อยมือผมเลย
จากที่คุยกับคลอเดีย ความสัมพันธ์ของพวกผมตอนนี้มีไว้เพื่อการแสดงให้เห็นเฉยๆ ว่า พวกผมสองคนตั้งใจจะหมั้นหมายกัน แต่จะให้ไปบอกกับกษัตริย์เฉยๆ ว่าพวกเรากำลังจะหมั้นกันน้ำหนักมันก็น้อยเกินไปหน่อย ผลที่ได้ก็เลยกลายเป็นว่า――ผมต้องเดินจับมือกับลูกสาวของดยุกไปไหนมาไหนตลอด
คลอเดียดูไม่ได้จะสนใจเหงื่อที่ไหลออกมาจากมือเมื่อมือของพวกผมจับกันเป็นเวลานานเลยสักนิด แถมดูจะเพิดเพลินกับอะไรสักอย่างด้วย
เอาเป็นว่า พอถึงเวลาที่ทางกษัตริย์และองค์รัชทายาทมาถึงภายในห้อง ก็เห็นพวกผมนั่งจับมือกันอยู่บนโซฟา ก่อนจะแสดงสีหน้าแปลกๆ กันออกมา
……หรือว่าการมาจู่จี๋กันต่อหน้าราชวงศ์ถือเป็นเรื่องที่หยาบคายเหรอ? แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่คลอเดียบอกให้ผมทำนี่นา….หวังว่าเธอจะคิดมาดีแล้วใช่ไหม――ใช่ไหม?
ขณะที่ทุกคนยกเว้นคลอเดียกำลังสับสน ก็เป็นทางกษัตริย์ที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรก
「ขอโทษที่ต้องเรียกเจ้าออกมานะ คลอเดีย」
「มิได้ เพคะฝ่าบาท」
「แล้วก็ โซระด้วย ไม่ได้เจอกันมาสักพักเลยนี่」
「ฮ่ะ! ไม่ได้พบกันเสียนานเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท」
คลอเดียกับผมก้มหัวทักทายไปตามมารยาท ก่อนจะกลับไปนั่งบนโซฟาเมื่อกษัตริย์เชิญ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้เลยก็คือ คลอเดียยังคงแสดงรอยยิ้มออกมาส่วนคนที่เหลือก็แสดงใบหน้าที่ดูสับสนออกมา
และก็เป็นอีกครั้งที่กษัตริย์เป็นคนเริ่มพูดก่อน
「ว่ากันตามตรงข้าไม่คิดเลยว่า โซระจะมาที่นี่ด้วย ว่าแต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเช่นไรหรือ? 」
สายตาของเขาหันไปมองมือของผมกับคลอเดียที่กำลังกุมกันเอาไว้อยู่
คือแค่มองก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมาอะไรในกอไผ่ แต่ในฐานะกษัตริย์เขาก็จำเป็นต้องถามออกมาให้ชัดเจน
คลอเดียก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส
「อีกไม่นาน กระหม่อมจะย้ายไปอยู่กับเขาที่เมืองอิชกะ เพคะฝ่าบาท」
「…หา เป็นอย่างงั้นเองหรือ? 」
「เพคะ!」
คลอเดียพยักหน้าให้ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น
「เดิมทีตอนนี้ตัวของกระหม่อมควรจะอยู่ที่เมืองอิชกะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…แต่ด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายในป่าทีทิส ท่านพ่อก็เลยอยากจะให้เลื่อนกำหนดการออกไปก่อน ในขณะที่กำลังคิดว่าจะมาทูลลา ก็บังเอิญว่าได้รับจดหมายเชิญจากทางวังพอดี กระหม่อมเลยมองว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้พาเขามาด้วยเลยเพคะ」
「ฟุมุ…ถึงโซระจะเป็นถึงวีรบุรุษที่สามารถเทมไวเวิร์นครามได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงนักผจญภัยผู้หนึ่ง ทั้งเจ้าและป่าสคาลต่างก็กล้าได้กล้าเสียกันจริงๆ 」
สายตาของกษัตริย์จ้องมองมายังผม
ก็เหมือนที่ผมได้บอกไป ว่าผู้ที่เอาชนะจินโบลงได้ในเหตุวุ่ยวายของเมืองหลวงคือดยุกดรากูนอท เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมพูดคุยกับเขาไว้ก่อนแล้ว นอกจากนี้ทางกษัตริย์ก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าผมคือคนที่ช่วยชีวิตคลอเดียเอาไว้
ดังนั้นในมุมของเขาแล้ว จึงเป็นเรื่องแปลกมากที่คลอเดียจะมีความสัมพันธ์อะไรกับผม และไม่เข้าใจว่าทำไมดยุกถึงกล้ามอบอัญมณีสุดแสนล้ำค่าของตนให้นักผจญภัยธรรมดาคนหนึ่ง
คลอเดียก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบกลับไป
「แต่จะมีตระกูลไหนบ้างเพคะฝ่าบาท ที่จะลังเลในการสร้างความสัมพันธ์กับดราก้อนสเลเยอร์ ผู้สังหารมังกรร้ายในป่าทีทิส」
แต่คนที่ตอบกลับคำพูดของเธอไม่ใช่กษัตริย์แต่เป็นองค์รัชทายท
เอซ่าได้จ้องมองมายังผมก่อนจะโน้มตัวเข้าไปพูดกับคลอเดีย
「คลอเดีย! ดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้นะ แต่ว่าความสำเร็จของเขาในการสังหารมังกรได้น่ะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสาธารณชน ความน่าสงสัยในเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีข่าวลืออย่างดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอมอยู่ด้วย!」
「เรื่องนั้นกระหม่อมทราบดี」
「ถ้างั้น!」
องค์รัชทายาทแสดงสีหน้าและท่าทางออกมาจนเกินงามไปมาก เขาพูดและถามกับคลอเดียด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะพุ่งข้ามโต๊ะเข้าไปกอดเธอได้เลย
แต่สิ่งที่คลอเดียตอบสนองไปก็มีเพียงคำพูดและรอยยิ้มให้กับอดีตคู่หมั้นของเธอ
「นั่นออกจะหยาบคายไปหน่อยนะเพคะ」
「……อะไรนะ? 」
「มังกรพิษร้ายในตำนานตนนั้นปรากฏขึ้นมาในป่าทีทิส ――แค่การที่คุณโซระสามารถก้าวเท้าเข้าไปในป่าเพื่อจะท้าทายมัน แค่นั้นฉันก็มองว่ามันเพียงพอแล้วเพคะที่เขาจะได้รับฉายาดราก้อนสเลเยอร์มา กลับกันกระหม่อมสงสัยจริงๆ ว่าคนที่พูดจาใส่ร้ายคุณโซระพวกนั้นจะมีสักกี่คนที่กล้าเหยียบเท้าเข้าไปในป่าเหมือนเขา」
พอได้ยินการตอบกลับของคลอเดีย องค์รัชทายาทก็พูดอะไรไม่ออก
คลอเดียจับจ้องไปยังองค์รัชทายาท
「คำพูดของพวกที่ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับมังกรในวันนั้น ก่อนจะปฏิเสธคนที่ก้าวเท้าเข้าไปเผชิญหน้าว่า ดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม ในมุมมองของกระหม่อมแล้วมันก็เป็นเพียงคำป้ายสีที่ไม่ควรเอามาใส่ใจ」
ทั้งห้องเงียบลงโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ใบหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนเป็นสีแดง ปากของเขาก็สั่นไปมา นี่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบอกว่าตนรังเกียจผู้ที่ใส่ร้ายโซระว่าเป็นดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอม
และการที่องค์รัชทายาทเอาเรื่องนี้มาพูดก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกว่าตัวเองโดนต่อว่าไปด้วย
ในเวลาแบบนี้กษัตริย์ก็เลยต้องเป็นคนออกหน้าแทนลูกชายของตน
「แปลว่าเจ้าเชื่อมั่นในตัวของโซระสินะ คลอเดีย」
「เพคะ ฝ่าบาท」
เมื่อกษัตริย์ได้ยินคำพูดของคลอเดีย เขาก็หลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
「……น่าเสียดายจริงๆ หากเป็นไปได้เราก็อยากได้เจ้ามาเป็นลูกสาวแท้ๆ 」
「ขอบพระทัยในความปรารถนาดี แต่กระหม่อมคงไม่สามารถทำตามที่พระองค์ปรารถนาได้」
「ถ้างั้นเรื่องที่จะมาช่วยเหลืองานของเราได้ครั้งนี้ล่ะ? 」
「นั่นถือว่าเป็นเกียรติแก่ตระกูลดยุกของพวกกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมขอน้อมรับแต่โดยดีเพคะ」
คลอเดียก้มหัวอย่างสุภาพ ก็ตามที่คาดว่าเธอไม่สามารถปัดความต้องการของกษัตริย์ได้หมดหรอก ถึงจะเป็นการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ แต่เรื่องคราวนี้ฝ่ายนั้นคงเสียหน้าหนักมากจริงๆ
――ก็จริงอยู่ว่า นี่อาจจะเป็นภาพที่กษัตริย์วางแผนว่าต้องการจะเห็นก่อนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องใส่ใจเพิ่ม
หลังจากที่กษัตริย์ออกจากห้องไป ทางองค์รัชทายาทก็เหมือนจะตามออกไปด้วย ทว่าก่อนที่เขาจะเดินออกประตูไปเขาก็ได้ยืนหยุดนิ่งไปเสียก่อน
พอผมกับคลอเดียกำลังสงสัยว่าเขาทำอะไรอยู่ องค์รัชทายาทก็หันมามองพวกผมด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง ไม่สิแทนที่จะบอกว่าพวกผม――น่าจะเป็นคลอเดียคนเดียวมากกว่า เห็นได้ชัดว่าเขามีอะไรอยากจะพูดกับคลอเดีย
「คลอเดีย! ทั้งที่พวกเราก็ผ่านอะไรด้วยกันมาขนาดนี้….ให้เป็นแบบนี้จะดีแล้วงั้นเหรอ?! หรือบางทีผู้ชายคนนี้ไม่ก็ดยุก กำลังบังคับฝืนใจให้เธอพูดแบบนั้น――」
「ฝ่าบาทเพคะ」
「ใช่ไหมล่ะ?! กะแล้วเชียวว่า――」
「ตอนนี้กระหม่อมมีความสุขดี และก็หวังว่าฝ่าบาทจะมีความสุขกับท่านซาคุยะ」
หลังเธอพูดจบ เธอก็ก้มหัวให้กับเขา การแสดงท่าทีที่ดูเคารพเป็นอย่างมากนั้นช่างเหมือนกับเป็นการกระทำเพื่อร่ำลาเขาโดยแท้จริง――ผมมั่นใจเลยว่าผมไม่ได้คิดไปเอง
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code