ตอนที่ 149 มิโกะและผู้สังหารทวยเทพ
「สวัสดีค่ะ ฉันโนอาห์ คาร์เนเลียส เป็นพระสันตะปาปาแห่งนครศักดิ์สิทธิ์คาริตัส」
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก้มหน้าทักทายผมขณะพูดแบบนั้นออกมา ผมที่ไม่รู้จะต้องตอบกลับไปแบบไหนดีก็เลยเผลอหันไปมองดูรอบๆ
ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่กองบัญชาการของแนวป้องกันที่ 4 มันเป็นห้องเดียวกันตอนที่ผมได้ฟังเรื่องราวจากลิดเดลและพวกซูซูเมะก่อนจะเกิดการโจมตีของกูลทมิฬ แต่ความแตกต่างก็คงจะเป็นในห้องนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากผมกับเธอ เพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าต้องการเช่นนั้น
หลังจากจัดการกับอันเดธที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกกูลทมิฬภายในป่าผมก็เดินทางกลับมาที่แนวป้องกันที่ 4 โดยทำการปกป้องมิโรสลาฟและคนที่เหลือ ก็เลยไม่มีเวลามาฟังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
พอเธอขอมาคุยส่วนตัวกับผม ผมก็พอจะคิดได้ว่าเธอคงอยากจะบอกถึงเรื่องเจ้าสเกลตันพูดได้นั่น
หากให้พิจารณาความรู้สึกหลังกินวิญญาณมันเข้าไป ว่ากันตามตรงมันเทียบเท่าเผ่าพันธุ์ในตำนานไม่ได้เลยสักนิด เลเวลของผมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ไปจัดการกับเทพปีศาจที่เกาะ ก็แอบหวังว่ามันจะขึ้นหน่อยๆ นะ เพราะฝีมือของอีกฝ่ายก็นับว่าเก่งหน่อยๆ
เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพลังของมันสามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้ด้วยตัวคนเดียว ผมก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามอนสเตอร์ระดับนี้จะโผล่มาในป่าเฉยๆ แต่ถ้าบอกว่าเป้าหมายของมันคือพระสันตะปาปาก็พอฟังขึ้น
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่าทำไมพระสันตะปาปาถึงเข้าไปในป่า ยิ่งไปกว่านั้นทำไมเธอถึงเลือกมาที่นี่กัน? ถ้าจำไม่ผิดกำหนดการของเธอต้องเดินทางไปที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอ
ผมก็เลยแอบสงสัยว่าเธอจะเป็นสันตะปาปาจริงเหรอ
เพราะผมไม่เคยเจอเธอมาก่อนเลย หากเป็นตอนที่อยู่ในตระกูลผมก็เคยคุยกับดยุกคาร์เนเลียสที่เป็นพ่อของเธอในงานเลี้ยงอยู่หรอก แต่ช่วงเวลานั้นลูกสาวของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แต่ถึงพวกผมจะไม่เคยพบกันตรงๆ แต่จากที่ผมได้ยินในข่าวลือเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ส่วนที่ดังที่สุดก็คงจะเป็นเธอมีดวงตาแค่เพียงข้างเดียว
ทว่าหญิงสาวตรงหน้าของผมเธอมีลูกตาครบ 2 ลูก――ระหว่างที่ผมคิดแบบนั้นเธอก็เหมือนจะรู้สึกได้ เลยบอกกับผมว่า 「สักครู่นะคะ」ก่อนจะหันหลังให้กับผม
เธอที่หันหลังไปก็ได้ใช้มือทำอะไรสักอย่างกับใบหน้าและผมของเธอ
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็หันกลับมาหาผม พร้อมกับถืออะไรกลมๆ เหมือนก้อนกรวดไว้ในมือ ทรงผมของเธอก็เปลี่ยนไปโดยมีหน้าม้ากำลังปิดรอบๆ ดวงตาซ้ายอยู่
เมื่อยังเห็นผมทำหน้าสงสัย หญิงสาวจึงเสยผมและเปิดดวงตาซ้ายของเธอให้ผมดู จากนั้นผมก็เห็นโพรงที่ว่างเปล่าอยู่ภายในนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา
「แบบนี้นี่เอง ลูกตาเทียมสินะ」
「ค่ะ ท่านนักดาบ มันคือไอเท็มเวทมนตร์ที่ออกแบบมาให้เหมือนดวงตาปกติมากจนไม่มีใครสังเกตเห็นค่ะ ทว่าสำหรับคนที่มีความสามารถในการสังเกตอาจจะรู้สึกอึดอัดใจบ้างเมื่อมองมัน ทางท่านจอมเวทมิโรสลาฟและท่านปราชญ์ลูนามาเรีย ก็เป็นเหมือนท่านค่ะ」
จากนั้น――สันตะปาปาโนอาห์ คาร์เนเลียสพูดจบเธอก็ทำการกะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับการมองเห็นของตัวเองให้ดีขึ้น
จากที่เธอเล่าดูเหมือนว่าพวกเธอจะพอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าจะมีการโจมตีจากฝ่ายศัตรูมาตั้งแต่แรก
เพราะตอนที่เธออยู่ภายในเมือง เธอจะได้รับการปกป้องทั้งทางกายและเวทมนตร์ บาเรียที่แข็งแกร่งของเมืองทำให้พวกอันเดธไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นการที่เธอออกมาจากเมืองจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับศัตรู
ด้วยเหตุนี้ทางนครศักดิ์สิทธิ์จึงตัดสินใจใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ หรือก็คือมันเป็นโอกาสที่ดีในการกำจัดศัตรูที่แฝงอยู่ในเงามืด
เพื่อให้เป็นไปตามแผนการนั้น ทางนครศักดิ์สิทธิ์ได้เตรียมการโดยการนำเธอมาแฝงตัวอยู่กันทีมที่ล่วงหน้ามา เพื่อล่อให้ศัตรูออกมาโจมตี โดยตัวปลอมของเธอก็ได้เดินทางไปเมืองหลวงจากทางใต้ตามปกติ
แน่นอนว่าหากมีนักบวชตาเดียวอยู่ภายในนี้ด้วย ก็มีความเสี่ยงที่แผนจะแตกตาเทียมนี้ก็เลยเป็นมาตรการอย่างหนึ่ง
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเธอเสร็จ ผมก็พอทำใจเชื่อได้เหมือนกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่คาใจนิดหน่อย
「โดยปกติแล้ว หากเป็นถึงผู้นำก็ควรจะอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูแผนการดำเนินไปไม่ใช่เหรอครับ」
「เรื่องนั้นคงจะยากค่ะ หากฉันยังอยู่ที่นั่นมันก็มีความเสี่ยงสูงที่แผนของพวกเราจะแตก นอกจากนี้หากยังรออยู่ที่นั่น ความล่าช้าในการสร้างบาเรียเวทมนตร์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย」
แล้วการลดความเสียหายที่เกิดจากพิษจะช้าไปกว่าเดิม กลับกันหากเธอเดินทางมากับทีมที่ออกมาล่วงหน้า เธอก็จะมีเวลาอีกมากในการสร้างบาเรีย
เมื่ออธิบายมาจนถึงตรงนี้เธอก็หัวขอโทษผมอีกครั้ง
「สุดท้าย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่ฉันพาคนของประเทศอื่นไปตกอยู่ในอันตรายด้วย หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น สหายของท่านนักดาบก็คง….ทางฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ」
「ถ้าอยากจะขอโทษก็ไปบอกพวกเขาเองเถอะครับ ผมไม่ใช่คนที่ควรจะมารับคำขอโทษนั้นเสียหน่อย」
「นั่นสินะคะ แทนที่จะขอโทษฉันควรจะพูดขอบคุณท่านนักดาบเสียมากกว่า」
เธอพูดก่อนจะจ้องมองมาทางผม
ใบหน้าของผมได้สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียวสดใสของเธอ
「เรื่องคราวนี้ หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ ลิชตนนั้นคงได้สังหารทั้งฉันและพวกพ้องทั้งหมดแน่ๆ ในนามของโนอาห์ คาร์เนเลียสผู้นี้ ฉันขอสาบานว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ให้ได้อย่างแน่นอนค่ะ」
「รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคำชมเชยจากท่านสันตะปาปานะครับ แค่ได้รับมันก็ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว」
จากนั้นผมก็ก้มหัวให้กับเธอลึกสุดเท่าที่จะทำได้
ตอนแรกผมพยายามจะบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรผมก็ได้ เพราะทางผมเองก็รู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ ที่ยอมเสี่ยงออกนอกประเทศมาเพื่อสร้างบาเรียให้ประเทศอื่น
แต่การจะปฏิเสธไปตรงก็คงจะดูไม่สุภาพเท่าไหร่นัก ยิ่งกับคนที่สาบานในชื่อของตัวเองด้วยแล้ว สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจตอบรับน้ำใจของอีกฝ่าย
เอาละทีนี้ยังเหลือปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
――ผมจะทำลายความเงียบงันที่อยู่ภายในห้องต่อจากนี้ได้ยังไง?
ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในห้องนี้ ไม่สิตั้งแต่ตอนที่พบกันในป่าทีทิสสีหน้าของเธอคนนี้ช่างอ่านออกได้ยากเสียเหลือเกิน มันก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่การเปลี่ยนแปลงสีหน้าเพียงเล็กน้อยของเธอมันทำให้ยากจะบอกได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
ผมก็เลยเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้ต้องพูดอะไรออกไป หรือเธอกำลังรอให้ผมลุกออกจากที่นี่กันนะ ให้ตายสิไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรต่อ
ก็จริงอยู่ว่าการที่เราพูดคุยกันมาจนถึงตอนนี้ก็สัมผัสได้ว่าเธอเป็นคนที่ดีประมาณหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันผมก็สัมผัสได้ว่านั่นยังไม่ใช่ใจจริงของเธอทั้งหมด เธอเหมือนจะยังแอบแฝงบางอย่างอะไรเอาไว้อยู่
คงไม่แปลกนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นพระสันตะปาปาหรือกษัตริย์ คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนั้นยังไงก็ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นธรรมดา ผมเองก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยมาก
ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ เสียงอันสดใสของเธอก็ดังขึ้น
「――คือว่าท่านนักดาบคะ」
「อ๋อ ว่าไงครับ」
「ฉันมีหนึ่ง..ไม่สิสองคำถามที่อยากจะถามท่านสักหน่อยค่ะ พอจะสะดวกใจตอบไหมคะ? 」
หลังจากเธอถามเสร็จเธอก็เคียงคอเหมือนทำท่าสงสัย ท่าทางที่เธอแสดงออกมามันดูน่ารักดี จนความตึงเครียดที่อยู่บนไหล่ของผมมันหลุดลอยไปหมดเลย
「ได้สิครับ เชิญถามมาเลย」
พอผมตอบกลับไป ทางพระสันตะปาปาก็พยักหน้า
「จากที่ได้ยินมา ชื่อของท่านคือโซระ ไม่ผิดแน่นะคะ? 」
「ครับ เป็นไปตามที่ท่านได้ยินมา」
พอผมตอบเสร็จ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า 「ขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ」 อย่างสุภาพ
ไม่ได้รู้สึกถึงแรงจูงใจแปลกๆ จากคำถามนี้ บางทีผมน่าจะคิดมากไปเองเกี่ยวกับตัวของเธอ
จากนั้นเธอก็ถามคำถามถัดไปทันที――มันเป็นน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นและเฉียบขาดราวกับกำลังรอให้ผมลดการป้องกันตัวลง
「ส่วนชื่อจริงของท่านคือ มิตสึรุกิ โซระ ถูกต้องหรือเปล่าคะ? 」
——–
Note 1 : มาจากตระกูลของจักรวรรดิ เป็นถึงสันตะปาปา รู้ก็ไม่แปลกละน้อ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code