ตอนที่ 152 การสนทนายามบ่าย
หลังจากไปพิสูจน์ความสามารถที่เกาะอสูรยักษ์ และได้รับความไว้วางใจให้ดูแลซูซูเมะต่อไปได้ จากนี้ไปเธอก็คงจะไม่ถูกคนจากตระกูลมาเพ่งเล็งอีก
ผมก็เลยได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป แต่ปัญหามันก็ใช่ว่าจะหมด
เพราะตามที่โอเค็นได้พูด ซูซูเมะก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเทพปีศาจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลมากน้อยขนาดไหนกับเธอ หากพูดออกไป
ผมพยายามคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีข้อสรุปในการรับมือ แม้ว่าจะเป็นตอนที่ผมมานั่งตรงม้านั่งข้างเธอผมก็ยังคิดไม่ตก
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่โอเค็นเอามาบอกกับผมในวาระสุดท้ายของเขา ถึงจะโดนดาบจ่อคออยู่แต่ก็ใช่ว่ามันจะพูดความจริงไปเสียหมด
และถึงมันจะพูดความจริง แต่ก็ยังต้องมาคิดอีกว่าซูซูเมะจะได้รับอิทธิพลจากเทพปีศาจมากขนาดไหน ดังนั้นสำหรับคนที่ควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปเช่นเธอการที่ได้รู้เรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรกัน นอกจากนี้หากเธอได้รับรู้ถึงมันเข้า―― ความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับเทพปีศาจอาจจะลึกซึ้งขึ้นจนเกิดเรื่องที่เกินแก้ไขได้
ว่ากันตามตรงผมก็ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเธอจริงๆ เธอที่อาศัยอย่างปกติสุขในเมืองอิชกะ ความวุ่นวายอย่างการถือกำเนิดของเทพปีศาจไม่ควรจะให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้อง เป้าหมายของผมมีเพียงแค่หวังให้เธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป
ทว่าผมก็ตระหนักได้ดีถึงความรับผิดชอบที่ต้องตกมายังผม
ตราบใดที่โลกใบนี้ยังมีคิจินอยู่ โอกาสที่เทพปีศาจจะจุติขึ้นก็ไม่ใช่ศูนย์ นอกจากนี้ผมก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอตลอดไปได้ด้วย
ตอนแรกผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอต้องการให้ผมปกป้องเธอจริงๆ ไหม ยิ่งไปกว่านั้นหากผมไม่พาเธอมาอยู่ด้วย บางทีเธอคงไม่ต้องมาถูกพวกโกซุทำร้ายเอา
เอาเป็นว่าหลังจากฟังปัญหาของซูซูเมะเสร็จ ผมค่อยพูดเรื่องทางผมละกัน
「นี่ คุณซูซูเมะครับ」
「อ-อื้อ อะไรเหรออยู่ดีๆ มาเรียกแบบนั้น?!」
พอผมเรียกชื่อเธอ ซูซูเมะก็ยืนตัวขึ้นและขานรับ
พอพวกผมมานั่งกันตรงม้านั่นเสร็จ ซูซูเมะก็ดูเหมือนจะประหม่าอะไรสักย่าง ผมก็เลยพยายามพูดให้เธอผ่อนคลายลงด้วยการหยอกล้อนิดหน่อย สงสัยจะไม่ได้ผล ท่าทางของเธอยังดูแข็งทื่อและเครียดหน่อยๆ
ผมที่เห็นเธอเป็นแบบนั้นก็เลยสงสัยและถามเธอโดยไม่พยายามกดดันจนเกินไป ทางซูซูเมะก็แสดงท่าทีไหล่ตกออกมาด้วยความหนักใจ สุดท้ายผมก็ต้องนิ่งเงียบและรอให้พูดเป็นคนพูดขึ้นมาเอง
หลังจากนั้นไม่นานนัก ประมาณ 20 วิได้ ริมฝีปากเล็กๆ เธอก็เริ่มเปิดขึ้น
「….ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ฉันก็เป็นภาระให้กับโซระแล้วก็คนอื่นๆ เสมอเลย」
พอได้ยินผมก็ขมวดคิ้วเธอไม่ได้เป็นภาระให้ผมสักหน่อย ทั้งงานบ้าน เรื่องภายในต่างๆ เธอก็ช่วยพวกผมเป็นอย่างดี….แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ขัดเธอและปล่อยให้เธอระบายมันออกมาให้หมด
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งฟังเธอระบาย ผมก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อขึ้นมาบ้างแล้ว
เอาง่ายๆ ก็คือ เธอรู้สึกกลัว
เพราะการมีอยู่ของเธอมันทำให้คนรอบข้างต้องได้รับบาดเจ็บจนถึงอาจจะเสียชีวิตได้โดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะอยู่กับพวกผม――นั่นคือความกลัวของเธอ
จนถึงก่อนหน้านี้ ผมก็มองว่าเธออาจจะมีปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่พอปรับตัวอาศัยอยู่ในเมืองอิชกะได้ปัญหานั้นก็ควรจะหายไปสิ ทว่าสุดท้ายความกังวลที่สะสมอยู่ภายในใจของเธออย่างเรื่องที่คิจินจะสามารถอาศัยร่วมกับมนุษย์ได้จริงหรือก็ไม่หายไป
ชีลและลูนามาเรียใจดีกับเธอ มิโรสลาฟก็คอยสอนเวทมนตร์ให้กับเธอ ทุกคนคือคนสำคัญของเธอ ซูซูเมะก็เลยพยายามอย่างมากที่จะเป็นกำลังให้กับพวกเธอได้ ผมมั่นใจว่าเธอต้องคิดแบบนั้น
ทว่าจิตใจของเธอก็ต้องสั่นไหวอีกครั้ง――ผมไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร เนื่องจากสิ่งที่จะสร้างแรงกระทบมากขนาดนั้นย่อมเป็นตอนที่โกซุเข้ามา
พอผมนึกภาพทั้ง 3 คนกำลังบาดเจ็บปางตายก็อดเดาะลิ้นไม่ได้
ผู้บุกรุกตั้งใจจะเอาชีวิตคิจินสาว ชีลพยายามสุดชีวิตโดยเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องเธอ ไม่แปลกเลยที่เรื่องนั้นจะทำให้ซูซูเมะรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
หลายครั้งหลังเหตุการณ์นั้นจบลงผมก็พยายามบอกไม่ให้เธอคิดมาก ――แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล
หากลองคิดดูแล้วก็คงไม่แปลก เพราะหากเป็นผม คนที่ผมรักโดนทำร้ายเพราะตัวผม แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากความผิดของผมก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าผมคือสาเหตุนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ผมก็คงรู้สึกอดกังวลไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ยิ่งเป็นคนเอาจริงเอาจังและอ่อนโยนแบบเธอด้วยแล้วน่าจะหนักขึ้นไปอีก
ในตอนนั้นยังมีปัญหาทั้งเรื่องรังมังกร ไคลอา เบฮีมอธถาโถมเข้ามา คือผมก็ไม่ได้จะเมินเธออะไรหรอกนะ――แต่พอได้ย้อนกลับไปคิด บางทีผมควรจะคุยเรื่องพวกนี้กับเธอแล้วมาคิดหาทางแก้ไขกันให้เร็วกว่านี้น่าจะดี
อย่างน้อยข่าวดีจนถึงตอนนี้ก็คือ การกระทำของซูซูเมะยังออกมาในทิศทางที่ดี ประมาณว่าเป็นเพราะเธอ เธอก็เลยพยายามฝึกฝนให้มากขึ้น ความกระตือรือร้นที่จะตามผมไปเบลก้าก็เป็นส่วนหนึ่ง ผมเลยรู้สึกดีใจที่เธอไม่เลือกตัวเลือกอย่าง จะออกจากเมืองอิชกะไปอยู่ตัวคนเดียวเพราะไม่อยากให้ใครลำบาก
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าการตัดสินใจของผมจะส่งผลไปในทิศทางใด
….ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาเธอไปเบลก้าด้วย แต่การเดินทางครั้งนี้คนที่จะติดตามผมไปด้วยต้องเป็นคนที่เหมาะสมกับการรับมือเรื่องที่ไม่คาดฝัน ดังนั้นการนำตัวเธอตอนนี้ไปเบลก้าด้วย เธออาจจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรผมได้เลย ไม่สิอาจจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
สำหรับผมแล้วตัวเธอก็เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของความดีที่ยังหลงเหลือในตัว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอไม่ว่าจะส่งผลดีหรือร้ายกับผม จากสายตาของผมแล้วเธอยังไม่ได้มีพลังเพียงพอในการต่อสู้นัก แต่ถ้าเธอต้องการจริงๆ ผมก็คงจะขัดอะไรเธอไม่ได้
――พอผมพูดความตั้งใจของตัวเองให้เธอฟัง ซูซูเมะก็ตกใจราวกับคาดไม่ถึงในคำตอบของผม จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่ดูสดใสพร้อมรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่เหมือนกับทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบานมันทำให้ตัวเธอน่ารักเป็นอย่างมาก
「อึก อื้อ ขอบคุณนะ!」
「แน่นอนว่า ฉันเข้มงวดนะ หากระหว่างทางฉันตัดสินว่าเธอไม่สามารถ ติดตามพวกฉันต่อได้อีก ฉันคงต้องขอให้เธอกลับอิชกะ」
「อื้อ ฉันจะพยายาม!」
หากจะพาเธอไปด้วย ผมคงไม่สามารถแสดงแต่ด้านใจดีให้เธอเห็น ผมจำเป็นต้องเข้มงวด และไล่เธอกลับบ้านทันทีเมื่อเห็นว่าไม่ไหว แต่ทางซูซูเมะที่แสดงความมุ่งมั่นออกมา ก็กำมือเอาไว้แน่นบริเวณหน้าอก ก่อนจะตอบรับผมกลับมาด้วยความจริงจัง
ให้ตายสิ เธอนี่น่ารักจริงๆ
จากนั้นผมก็เริ่มคุยกับเธอเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะ จนถึงตอนนี้ผมก็แอบกังวลไม่หาย ว่าจะบอกเธอดีไหม แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเธอแล้วผมคิดว่าคงไม่เป็นไร
ซูซูเมะรับฟังเรื่องราวด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ยิ่งพอพูดถึงเรื่องเทพปีศาจใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนสีไป ผมที่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามไป เธอก็เลยเล่าถึงความฝันที่เธอเคยเจอ
บางครั้งเธอก็ฝันว่ามีใครบางคนที่มีดวงตาสีแดงเลือดปรากฏขึ้น
ในตอนแรกความทรงจำพวกนั้นจะหายไปทุกครั้งหลังจากที่เธอตื่น――ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่ผมเดินทางไปยังเกาะ ความทรงจำหลังตื่นของเธอมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
「จากที่สัมผัสได้ยังไงมันก็เกิดกว่าสิ่งที่เรียกว่าความฝันแล้ว ฉันก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกันน่ะ」
「ฟุมุ นั่นก็จริงนะ….」
แต่ไม่ต้องกังวลนะ ผมปลอบซูซูเมะ ส่วนเธอก็พยักหน้าให้
ซูซูเมะก็เป็นคิจิน และคิจินก็มีความเชื่อมโยงอันแรงกล้ากับเทพปีศาจ ผ่านเขาของพวกเขา
สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของผมในช่วงท้ายที่ผมจัดการเทพปีศาจไปอย่างคำว่า 「……เจอตัวแล้ว」นั่นด้วย ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ ผมแอบคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ยินผิดไปไหม บางทีมันอาจจะพูดว่า「ได้ตัวแล้ว」ก็ได้ โดยความหมายที่มันสื่อมานั้นไม่ใช่กับผม――แต่เป็นซูซูเมะ ภาชนะของเทพปีศาจที่อยู่ใกล้ชิดกับผมแทนล่ะ
จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ หากเทพปีศาจมีความสนใจตัวของเธอ แล้วเธอเองก็มีความปรารถนาในใจเช่นกัน การผสานกันของพวกเธออาจจะเกิดขึ้นก็ได้
เฉนเช่นเดียวกับการผสานของอนิม่ากับเจ้าของร่าง
แน่นอนว่าความเป็นไปได้ก็ยังมีน้อยอยู่สำหรับการผสาน เพราะไม่ใช่ว่าคิจินกับเทพปีศาจจะสามารถผสานเข้าถึงกันและกันได้ไปเสียหมด พวกเขาไม่น่าจะผสานกันจนเปิดใช้อาภรณ์วิญญาณได้ง่ายแน่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกคิจินคงไม่ถูกขับไล่ออกไปจนเกือบหมดทวีปหรอก
ผมคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก แต่การที่เธอบอกถึงความฝันที่สื่อไปหาเทพปีศาจได้บ่อยครั้ง ผมก็ไม่อาจจะปล่อยผ่านได้
ผมคงต้องจับตาดูเธอระหว่างเดินทางไปเบลก้าด้วยกัน ในขณะที่คิดแบบนั้นผมก็บอกความคิดของผมกับเธอ
ว่ากันตามตรงผมไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องอาภรณ์วิญญาณอะไรทำนองนั้นเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้สำคัญมากผมจึงจำเป็นต้องพูดเนื้อหาทั้งหมดที่ตัวเองรู้ให้เธอฟัง เพราะการที่เธอขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป อาจจะทำให้เธอเป็นอันตรายได้แทน
พอซูซูเมะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ ผมสัมผัสได้ถึงความกังวลภายในฝันของเธอเกี่ยวกับคนดวงตาสีแดงเลือดนั่น ทว่าในขณะเดียวกันผมก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อเห็นการตัดสินใจของเธอ สิ่งหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาในหัว
ผมมั่นใจแล้วว่าการตัดสินใจของลูนามาเรียและมิโรสลาฟที่เห็นว่าซูซูเมะพร้อมเข้าสู่สนามรบแล้วนั้นเป็นของจริง
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code