ตอนที่ 171 ความต่างของความแข็งแกร่ง
เธอได้ยินเสียงหัวเราะอันแหลมสูง ฮิๆๆๆๆ
มันเป็นเสียงที่น่าขนลุกและแสดงถึงความไม่พอใจ ตั้งแต่ที่เธอได้ยินเสียงดังกล่าวในความฝัน เธอก็ไม่สามารถนอนหลับได้สบายในช่วงกลางคืนอีกเลย
บอกตามตรงว่าถึงเธอจะรับรู้ตัวตนที่เรียกกันว่าอนิม่า สถานการณ์ของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก สิ่งที่อยู่ภายในใจของเธอยังคงแสดงอาการต่อต้านออกมาราวกับเป็นตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของเธอ
แม้แต่ในตอนนี้ปีศาจตนนั้นก็ยังส่งเสียงหัวเราะออกมา ราวกับจะหัวเราะแทนเธอที่เห็นภาพทะเลทรายคาตาลานถูกกระหน่ำด้วยพายุแห่งการทำลายล้าง
เมื่อเธอคิดว่าฝูงมอนสเตอร์กำลังจะมาเข้าใกล้ พวกมันทั้งหมดก็ถูกพายุน้ำแข็งพัดพาไป ทว่าจากนั้นไม่นานลำแสงขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนกินพายุน้ำแข็งและย้อมวิสัยทัศน์ของเธอให้ขาวโพลนก็มาแทนที่
วิสทีเรียไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยเธอก็พอจะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอคือแดนศักดิ์สิทธิ์ที่โซระสร้างขึ้น หากเธอคิดจะก้าวออกไปจากจุดที่เธออยู่ตอนนี้ วิสทีเรียคงได้สลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาแน่
สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้มีเพียงการเฝ้ามองอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ขัดขวางโซระซึ่งกำลังต่อสู้อยู่
และแล้ววิสทีเรียก็ยิ้มออกมาราวกับอยากจะสมเพชตัวเอง ช่างเป็นสิ่งที่ไม่สมกับเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์เอาเสียเลย บางทีเทพปีศาจที่อยู่ภายในตัวเธออาจจะหัวเราะเยาะสภาพของเธอในตอนนี้ก็ได้――บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่เธอสามารถสื่อสารกับอนิม่าได้จริงๆจังๆ เธอรู้สึกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอคิดเรื่องแย่ๆการสื่อสารของพวกเธอจะชัดขึ้น
「วิสทีเรีย」
「อ-อื้ม?!」
อยู่ดีๆโซระก็เรียกชื่อของเธอ ทำให้เธอตกใจเล็กน้อยและรีบเงยหน้าขึ้น
ตรงกันข้ามกับวิสทีเรียที่ลนลาน โซระถามกับเธอด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
「ฉันอยากถามเธอหน่อย ว่าเธอมีวิธีรับมือกับการโจมตีนี้ไหม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเธอพอจะยื้อมันให้ได้สักประมาณ 10 วิไหวหรือเปล่า?」
เมื่อได้ยินเช่นนี้ วิสทีเรียก็ตกตะลึงและมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
โซระทำการยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อสร้างบาเรียต้านคลื่นพลังงานที่พุ่งมาจากทางทิศตะวันตก มันเหมือนกับน้ำที่ไหลเชี่ยวจากเขื่อน ภาพตรงหน้าคือการปะทะกันของพลังงานทั้งสอง
เสียงดังจนทำให้หูแทบแตก
ร่างกายของเธอคงจะสลายหายไปเป็นฝุ่นทันที ไม่มีทางที่เธอจะต้านทานมันไหว ถึงจะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีของเธอ เธอคงจะทนได้สักครึ่งวินาทีเท่านั้นเอง
เธอบอกสิ่งที่เธอคิดให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จากนั้นโซระก็พยักหน้าให้กับเธอ
「งั้นเหรอ คงเหลือแต่ต้องไปลุยตรงๆเลยสินะ」
「เข้าไปตรงๆงั้นเหรอ?」
「อื้อ ก็เหลือแค่แบบนั้นแล้วนี่นา」
โซระบอกเธอว่าเขาจะพุ่งเข้าไปสู้กับศัตรูในระยะประชิดโดยต้านพลังงานดังกล่าวไปด้วยความคิดนั้นมันทำให้วิสทีเรียตกตะลึงมาก
จากนั้นโซระก็ทำการอธิบายต่อ
เพราะไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพลังเวทของอีกฝ่ายจะหมดลงตอนไหน การทนป้องกันไปเรื่อยๆก็เสียเวลาเปล่าและถึงแม้จะต้านพลังของศัตรูไว้ได้ แต่หากปล่อยไว้นานไปฝ่ายนี้อาจจะเสียเปรียบแทน แถมลำแสงของอีกฝ่ายก็มีระยะที่กว้างมากเสียจนไม่มั่นใจว่าจะหักล้างมันได้หมด
ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการประชิดระยะห่างกับศัตรูในขณะที่รับการโจมตีไปด้วยเลย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้แค่พูดลอยๆ แต่การกระทำของเขามันบอกแบบนั้น ในขณะที่เขากำลังต้านพลังงานที่เหนือจินตนาการนี้ เขาก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้า
ตอนนี้เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายจะอยู่นอกทะเลทรายไหมด้วยซ้ำ เพราะจากระยะสายตาเธอ วิสทีเรียไม่เห็นเลยว่าสิ่งนั้นอยู่ตรงไหนและต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใดในการย่นระยะห่าง
ไม่ใช่แค่เรื่องเวลาเท่านั้น แต่พลังที่ใช้ในการป้องกันการโจมตีของศัตรูจะต้องใช้เป็นจำนวนมากแน่
นอกจากนี้ การเดินภายในทะเลทรายคาตาลานในปัจจุบันถือเป็นเรื่องยากมากเพราะคลื่นความร้อนสูงที่แผดเผาผืนทราย หากเหยียบไปโดนเข้ามีหวังได้กลายเป็นกระดูกแน่
ดังนั้นคือพูดที่ว่าเข้าไปลุยตรงๆของโซระ จึงถือเป็นการกระทำที่ประมาทมาก แต่ถึงจะรู้แบบนั้นโซระก็ไม่ได้ลังเลที่จะลงมือ เพราะสุดท้ายมันก็ดีกว่าการอยู่เฉยๆ
แทนที่จะภาวนาให้สถานการณ์มันดีขึ้น เขาเลือกที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองไม่ว่าจะเสี่ยงสักแค่ไหน
――แข็งแกร่งจริงๆ
วิสทีเรียถูกเสียงหัวเราะของเทพปีศาจเย้ยความไร้พลังของเธอที่ทำให้เพียงยิ้มสมเพชตัวเอง
อันที่จริงวิสทีเรียคิดว่าการทอดทิ้งเธอที่เป็นภาระในการต่อสู้ครั้งนี้ออกไป น่าจะทำให้โซระมีวิธีในการรับมือมันมากขึ้น
แต่โซระก็ไม่ได้เลือกทางนั้น ไม่สิเขาคงไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำไมชายคนนี้ถึงยังมีเวลามาสนใจคนที่อ่อนแอซึ่งเป็นตัวถ่วงอย่างเธอกันนะ
――นอกจากความแข็งแกร่งทางกาย จิตใจของเขาก็ยังแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน
มันอาจจะเป็นคำตอบที่เธอเคยถาม――ว่าทำไมคนที่มีพลังถึงขนาดนั้นถึงสามารถรักษารูปลักษณ์เดิมของตัวเองไว้ได้――การกระทำของเขานี่แหละคือคำตอบ
ไม่ว่าจะมีพลังมากมายสักเพียงใด เขาก็ไม่ได้มีความคิดที่บิดเบี้ยว ไม่ได้ถูกมันกลืนกิน หรือสั่นคลอนกับการล่อลวงของพลัง
วิสทีเรียรู้สึกอิจฉาชายคนนี้ที่สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ไม่เหมือนเธอที่ต้องมาฟังเสียงหัวเราะของปาซูซุ
จากนั้นเสียงอันดังลั่นที่กระทบหูของเธอก็แปรเปลี่ยนไป
เวลาเดียวกันนั้นเอง โซระก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากพูด
「เหมือนมันจะเพิ่มพลังทำลายขึ้นแฮะ….คงรู้ตัวแล้วสินะว่าการโจมตีไม่ได้ผล? คงหงุดหงิดน่าดู」
「หงุดหงิด……?」
「ปกติศัตรูของมันคงจะถูกพัดหายไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี่ไม่หงุดหงิดคงแปลก พอเป็นแบบนี้มันก็เลยเปลี่ยนไปรวบรวมพลังเวทไว้จุดเดียวแล้วโจมตีเข้ามาแทน ก็แปลกทั้งที่พลังเวทเยอะขนาดนี้ทำไมมันถึงไม่ยิงลำแสงจนมาเรื่อยๆล่ะ」
โซระกำลังพยายามจะบอกว่ามันจะต้องมีสาเหตุที่อีกฝ่ายไม่ทำการโจมตีต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
「บางทีอาจจะเป็นเพราะความร้อนที่สูงมากจนเกินไปของการบีบอัดพลังงานดังกล่าว จะทำให้พวกพ้องของมันที่อยู่รอบๆโดนหางเลขไปด้วยก็ได้」
「…หากการคาดเดานั้นถูกต้องก็แปลว่าต้องมีพวกมอนสเตอร์อื่นๆอยู่ใกล้สิ่งนั้นด้วย」
「คงจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเราเริ่มเข้าใจลักษณะของศัตรูก็เป็นเรื่องดีมากใช้ประโยชน์จากจุดนี้เลยละกัน――วิสทีเรีย」
「อื้อ!」
เธอตอบกลับไป
「เมื่อมันบีบการโจมตีของตัวเองให้แคบลงแบบนี้ มันก็พอจะมีหนทางให้เบี่ยงลำแสงนี้ออกไปได้ หากฉันทำได้สำเร็จเธอช่วยขี่คราว โซราสกลับไปที่โอเอซิสเลโลแล้วแจ้งว่าศัตรูรอบนี้คือเบฮีมอธที」
「เบฮีมอธ…มั่นใจแล้วเหรอคะ?」
「อ่า อนิม่าของฉันบอกมาน่ะ อันที่จริงทางเธอก็น่าจะเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?」
วิสทีเรียเผลอก้มหน้าลงเพราะเห็นได้ชัดว่าเขากำลังหมายถึงเทพปีศาจปาซูซุ
「นอกจากเสียงหัวเราะของมันแล้ว…ฉันก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย…」
「งั้นเหรอ ไม่เป็นไรหรอกอย่ากังวลไปเลย」
เขาไม่ได้กล่าวโทษอะไรวิสทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆเลยในสถานการณ์เช่นนี้
「ก็อย่างที่ฉันเคยบอกเธอไป อนิม่าน่ะมันมีลักษณะเฉพาะตัวของมันอยู่ หนทางในการดึงเอาอาภรณ์วิญญาณออกมามันก็มีเป็นร้อยๆวิธีแล้วแต่คน ดังนั้นก็ค่อยๆใช้เวลาในการค้นหาไปละกัน」
「แต่ในสถานการณ์แบบนี้ หากฉันดึงพลังของมัน――」
วิสทีเรียหยุดพูดและปิดปากเงียบเอาไว้ เธอเข้าใจดีว่าถึงจะพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นวิสทีเรียเป็นแบบนั้น โซระก็ทำหน้าปั้นยากอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เหมือนเขาจะนึกอะไรออกจึงยิ้มมุมปากออกมา
「หากเธออยากจะช่วยฉันจริงๆ แล้วทำให้พวกเราทั้งคู่ผ่านเรื่องนี้ไปได้ เธอต้องทำตามที่ฉันบอกทุกอย่างก็พอ แบบนั้นฉันคงสบายใจกว่า」
「……? ถ้านั่นมันทำให้ฉันช่วยคุณ ฉันก็พร้อมจะทำตามค่ะ」
พอเห็นวิสทีเรียตอบด้วยท่าทางที่แอบสับสนอยู่บ้าง โซระก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลเหมือนคิดว่าจะไหวหรือเปล่า
จากนั้นเสียงคำรามอันกึกก้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง แรงกดดันจากการโจมตีของอีกฝ่ายทวีความรุนแรงขึ้น โซระยุติบทสนทนากับวิสทีเรียทันทีและมองไปทางทิศที่ศัตรูอยู่
ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าของโซระก็ดูเหมือนจะแสดงอาการโล่งใจออกมา ซึ่งอาจจะเป็นเพียงจินตนาการของเธอเองก็ได้
หลังจากนั้น――
「หากฉันนับถึง 10 ได้เริ่มเคลื่อนไหวได้เลย เตรียมตัว」
คำพูดถัดมาของโซระช่างดูเฉียบคมและไม่รู้สึกถึงความกังวลเลยสักนิด
——–
Note 1 : เหมือนพาเด็กมาเทรนดูงาน พอเสร็จก็ส่งกลับ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code