ตอนที่ 181 รุ่นทองคนที่ 7
「รู้สึกเหมือนจมูกจะพังเลยแฮะ….ทั้งที่เมื่อก่อนไอพิษมันไม่ได้หนักขนาดนี้แท้ๆ 」
เออซูร่า อุตการ์ซ่า พูดพร้อมกับขมวดคิ้วออกมา
พวกหน่วยที่ 1 คือเหล่านักรบชั้นยอดของบรรดาธงทั้ง 8 แห่งผืนป่า ดวงตาของนักรบสาวที่อยู่ในลำดับที่ 10 แห่งหน่วยที่ 1 กำลังจ้องมองภาพความโหดร้ายข้างในประตูปีศาจ
นี่ก็ผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่เธอได้สัมผัสถึงพลังเวทของพวกปีศาจ――ผืนดินที่สัมผัสกับพลังของปีศาจได้เน่าเสีย รองเท้าที่สัมผัสพื้นก็รู้สึกขนลุกทุกครั้ง กลิ่นเหม็นเน่าก็โชยออกมาไม่หยุด ไอพิษสีม่วงได้ปกคลุมพื้นที่โดยรอบราวกับหมอก มันคือสิ่งที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์
ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วเพราะมันคืออีกฟากของประตูปีศาจดินแดนแห่งความแห้งแล้งที่ต้นหญ้ายังไม่สามารถเติบโตได้ แต่จุดที่เธออยู่ตอนนี้มันแย่เสียจนพวกคิจินยังไม่สามารถเข้ามาใกล้
หลังจากพอทำใจได้แล้ว เออซูร่าก็หยิบแผนที่ทำมือออกมาจากกระเป๋าของเธอเพื่อจดบันทึกข้อมูลอย่างรวดเร็ว ภารกิจของเธอในคราวนี้คือการสำรวจข้างในประตูปีศาจ โดยเธอรับภารกิจดังกล่าวมาเพียงลำพัง
หลังจากได้ข้อมูลที่จำเป็นหมดแล้วเออซูร่าก็หันหลังแล้วรีบออกจากดินแดนที่ถูกไอพิษนี้กลืนกิน
ก็จริงว่าเธอสามารถปกป้องร่างตัวเองจากพิษได้ด้วยบาเรียคิ แต่กลิ่นเหม็นนั้นไม่ใช่ หากเธออยู่ที่นี่ต่อจมูกของเธอคงได้พังจริงๆ แน่ นอกจากนี้กลิ่นเหม็นที่ติดอยู่ตามร่างกายของเธอก็ชวนให้เธออยากจะกลับไปที่ป้อมอาบน้ำเสียให้ได้
หากเป็นพวกคนในหน่วยที่นิสัยบ้าพลังหน่อยก็คงไม่สนเรื่องกลิ่นพวกนี้หรอก แต่ก็ใช่ว่าเธอจะต้องเป็นเหมือนพวกเขา นอกจากนี้เธอก็ไม่อยากจะให้อายากะหรือไคลอามาล้อเธอตอนกลับไปถึงชูโตะด้วย
「…แต่นี่มันก็ที่ที่ 5 แล้วนะ ชักจะเยอะเกินกว่าเรียกว่าบังเอิญแล้วสิ」
เออซูร่าขมวดคิ้วและพึมพำออกมา นี่เป็นจุดที่ 5 แล้วที่เกิดไอพิษรุนแรงขึ้นขนาดนี้
ก็จริงว่าพลังงานปีศาจมันปกคลุมไปทั่วภายในของประตูปีศาจจนส่วนที่รั่วไหลออกไปบนเกาะมันเทียบไม่ติดเลย แน่นอนว่าทุกสิ่งภายในประตูปีศาจนี้ก็ได้รับผลกระทบจากมันไปด้วย ดินที่เน่าเสีย น้ำเสีย อากาศเป็นพิษราวกับอยู่ในนรก
ทว่าพื้นที่ภายในนี้ก็กว้างใหญ่ และไม่ใช่ว่าทุกจุดจะเป็นเหมือนกันไปเสียหมด ตอนนี้เธอกำลังจะกลับจากการสำรวจเพื่อไปที่ป้อมซึ่งตระกูลมิตสึรุกิสร้างไว้เป็นฐานที่มั่นภายในประตูปีศาจที่อยู่ทางตอนเหนือ โดยเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากพลังปีศาจน้อยที่สุด อย่างน้อยก็เป็นช่วง 1 เดือนก่อน
แต่ไม่นานมานี้มันได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เออร์ซูร่าได้ยินเสียงคำรามของฟ้าร้องมาจากระยะไกล
มันคือผลกระทบจากการก่อตัวของไอพิษและออร่าที่แข็งแกร่งของพลังงานนั้นก็เป็นสัญญาณถึงการยืมพลังจากเทพปีศาจ
มันทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ พวกคิจินได้ลอบเข้าไปในชูโตะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการคืนชีพเทพปีศาจ――นั่นคือสิ่งที่เธอกำลังกังวลอยู่
『แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!』
เสียงคำรามราวกับเสียงโลหะกระทบกันได้ดังไปทั่วบริเวณ มีมอนสเตอร์หลายตัวกำลังขวางเส้นทางของเธอเอาไว้อยู่
ดวงตาสีแดงทั้ง 8 ส่องประกายแวววาวออกมา พร้อมกับขาทั้ง 8 ที่ชวนให้นึกถึงแมงมุม มันคือมอนสเตอร์กินคนที่มีสติปัญญาและมักจะชอบซุ่มโจมตีเหยื่อกันเป็นฝูง มันคือก็แมงมุมดิน
มันคือมอนสเตอร์ที่โซระเคยเผชิญหน้าด้วยในพิธีทดสอบ แต่ตอนนี้มันมีถึง 4 ตัวและกำลังล้อมเธอไว้อยู่
แมงมุมดินหรือในอีกชื่อหนึ่งคือนักฆ่ามือใหม่ เป็นคู่ต่อสู้ที่แม้จะเป็นนักรบแห่งผืนป่าก็ไม่สามารถประมาทได้ ยิ่งต้องรับมือกับพวกมันหลายตัวในเวลาเดียวกันแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ทว่าสีหน้าของเออร์ซูร่ากลับไม่แสดงความตึงเครียดออกมาเลย สิ่งที่เธอถืออยู่ในมือตอนนี้คือดาบที่ไม่ได้มีด้ามจับหรือ
ด้ามจับและตัวกันของมันช่างดูเรียบง่ายไม่ได้มีการตกแต่งใดๆ เป็นพิเศษ หากจะให้บอกถึงจุดเด่นของมันก็คงจะเป็นตัวคมดาบที่มีสีแดงฉานราวกับถูกชโลมด้วยเลือด
「ลุยกันเลย ไรกะ (บุปผาฟ้าคำราม) 」
คมดาบสีแดง ซึ่งก็คืออาภรณ์วิญญาณของเธอได้ส่องประกายออกมาราวกับตอบสนองต่อเสียงของเธอ
สิ่งที่ตามมาจากนั้นมันคงจะเรียกว่าการสังหารหมู่มากกว่าการต่อสู้
ดาบที่ว่องไวดุจสายฟ้าและจะไม่หยุดจนกว่าจะสังหารศัตรูจนสิ้น มอนสเตอร์จำนวนมากได้ถูกฟันก่อนจะเละเป็นชิ้นๆ ด้วยสายฟ้าที่แผดเผาร่างของพวกมัน ว่ากันว่ายามใดที่เธอได้ลงสู่สนามรบ ต้นไม้ต้นหญ้าบริเวณดังกล่าวเป็นต้องถูกเผาไหม้จนเหี้ยน
แม้ในแง่ของลำดับภายในหมู่ธงแห่งผืนป่าทั้ง 8 เธอจะไม่ได้เหนือกว่าอายากะหรือรากุนะ แต่หากเป็นความสามารถและผลงานของเธอแล้วเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่สิอาจจะเหนือกว่าทั้ง 2 คนเสียอีก
ชื่อเล่นที่ถูกคนอื่นตั้งให้ก็คือ อากะฮิเมะ หรือไม่ก็เทพแห่งความตายอุตการ์ซ่า
แมงมุมดินทั้ง 4 ตัวที่เหลือเพียงซากเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชื่อของเธอไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
เธอไม่ได้สนใจพวกมอนสเตอร์นี้แล้วมุ่งหน้ากลับไปป้อมเพื่อรายงานข้อมูลที่เธอหามาได้
――แล้วก็เป็นในจังหวะนั้นเองที่เธอได้ทราบว่า ไคลอา เบิร์ช เพื่อนของเธอได้หนีออกจากเกาะไปแล้ว
◆◆
เออร์ซูร่าได้ตะโกนออกมาด้วยความโมโหขณะเดินผ่านพวกนักรบแห่งผืนป่าหลายคน แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่กล้าจะไปยุ่งกับเธอ เพราะใบหน้าที่งดงามของเธอตอนนี้มันถูกย้อมไปด้วยความโกรธหมดแล้ว
เธอเองก็ไม่ได้คิดจะสนใจปฏิกิริยาของคนรอบข้างและตรงไปที่ส่วนในของป้อม――ห้องของหัวหน้าหน่วย ไดรอาท เบิร์ช
ภายในหัวของเธอตอนนี้มีแต่เรื่องของไคลอา ซึ่งหนีออกจากเกาะไป
จากที่เธอได้ยินมา ไคลอาได้ทำการหนีออกจากคุกใต้ดินของตระกูลเบิร์ช โดยเธอถูกพบตัวเข้าหลังพยายามออกจากคฤหาสน์โดยนักรบของทางตระกูลเบิร์ช ก่อนจะเกิดการต่อสู้กัน จนท้ายเธอก็ได้สังหารคนพวกนั้นไปจำนวนหนึ่งก่อนจะหลบหนีได้สำเร็จ และอาจจะเพราะเธอคิดว่าหากซ่อนตัวอยู่ในชูโตะต่อไปคงไม่รอด ก็เลยเลือกจะหนีเข้าประตูปีศาจแต่ก็ต้องล้มเหลวเมื่อพบว่าการคุ้มกันบริเวณประตูนั้นสูงมากเพราะเรื่องคิจินคราวก่อน สุดท้ายเธอก็เลยเลือกจะหนีออกจากเกาะไปแทนด้วยความสิ้นหวัง――
เออร์ซูร่าที่ได้ยินเรื่องราวพวกนั้นก็คิดได้แค่เพียงอย่างเดียวว่า เป็นไปไม่ได้หรอก
การหนีออกจากเกาะ สำหรับนักรบแห่งผืนป่าแล้วหากกระทำการเช่นนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต มันก็เท่ากับโทษตายแถมตลอดช่วง 300 กว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครสามารถหนีออกจากเกาะได้สำเร็จจริงๆ สักคน
ไม่มีทางเลยที่ไคลอาจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพื่อนของเธอไม่มีทางจะโง่ได้ขนาดนั้นหรอก ดังนั้นการกระทำของไคลอาที่เธอได้ฟังมาจึงยากที่จะเชื่อ เมื่อพิจารณาดูแล้วมันจะต้องมีสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมการที่เธอเลือกจะหนีไปที่ประตูปีศาจเป็นตัวเลือกแรกก็หมายความว่าประตูปีศาจจะต้องมีส่วนที่ทำให้ไคลอาทำเรื่องโง่ๆ นี้
เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นคนที่จะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็ควรจะเป็นคนภายในตระกูล นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เธอมุ่งหน้าไปยังห้องของหัวหน้าหน่วย
ความโกรธภายในใจของเธอมันไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้จะใกล้ถึงห้องของหัวหน้าหน่วยแล้ว
โดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นความโมโหที่ไคลอาถูกขังลืมแม้เรื่องราวจะผ่านมานานแล้ว มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ก็จริงว่าไคลอาพลาดตอนไปทำภารกิจนอกเกาะ โกซุกับคลิมเองก็มีความผิดไม่ต่างกันแต่พวกเขาก็ได้รับการยกโทษให้ไปหมดแล้ว ทำไมจึงยังเหลือแค่ไคลอาที่ถูกคุมขังล่ะ
ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็แปลก การที่ไคลอาไปถึงประตูปีศาจซึ่งมีกองกำลังระดับสูงของธงทั้ง 8 คุ้มกันอยู่จะกลับออกมาได้ง่ายๆ
ก็จริงว่าไคลอามีฝีมือยอดเยี่ยมในฐานะนักรบแห่งผืนป่า แต่การจะรับมือกับพวกระดับสูงหลายคนในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ง่ายที่ง่าย นอกจากนี้พลังของเธอก็คงจะลดลงไปมากจากการที่ถูกคุมขังเป็นเวลานาน การที่เธอจะเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นในสภาพที่ไม่พร้อม ดูยังไงก็แปลก
แถมพวกที่คุ้มกันประตูปีศาจก็น่าจะจับตัวเธอได้ไม่ยาก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่น่าจะปล่อยให้เธอออกจากเกาะไปได้ง่ายๆ ด้วย
ความโกรธของเออร์ซูร่าได้ส่งไปถึงคนพวกนั้น เพราะเธอไม่เข้าใจว่าคิดอะไรกันอยู่
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นเพื่อหยุดเธอเอาไว้
「ตาจะถลนออกจากเบ้าแล้วนะ เธอคิดจะไปหาใครด้วยใบหน้าแบบนั้นกัน เออร์ซูร่า? 」
คนที่มาขวางเธอเอาไว้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก็คือชูยะ คุม่อน รองหัวหน้าหน่วยที่ 1
เมื่อเธอมาเจอกับเขา มันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะต้องหยุดทำความเคารพ
「ได้ยินเรื่องของไคลอามาแล้วนะ ที่เธอมาที่นี่ก็เพราะอยากจะถามหัวหน้าหน่วยใช่ไหม? 」
「อย่างที่ท่านพูดค่ะ」
เมื่อเออร์ซูร่าตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็ง ชูยะก็เลยบอกให้เธอตามไปที่ห้องของเขาแทน
ชูยะเป็นพี่ชายของซาอิ คุม่อนเพื่อนร่วมรุ่นของเธอและรู้จักกับเธอมาก่อนที่เธอจะเข้าหน่วยเสียอีก แน่นอนว่าไคลอาก็เช่นกัน
ชูยะเป็นพวกที่สบายๆ และเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักรบ เออร์ซูร่าเองก็เช่นกัน แต่เธอก็แอบลังเลที่จะตามเขาไป ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธออยากจะได้ยินเรื่องราวจากไดรอาทโดยตรงมากกว่า
ทว่าเธอก็ต้องยอมตามไปเพราะชูยะได้ทำการบอกบางอย่างกับเธอต่อ
นั่นก็คือหัวหน้าหน่วยได้กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเบิร์ชที่ชูโตะเรียบร้อยแล้ว
เออร์ซูร่าที่เข้ามาให้ห้องของชูยะเสร็จ ก็ทำการพูดถึงสิ่งที่เธอคิดต่อรองหัวหน้าหน่วยของเธอ
ชูยะที่ฟังก็พยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ เปิดปากพูด
「ความคิดของเธอก็คือว่าใกล้เคียงกับฉันนะ เอาเป็นว่ามาแก้ไขข้อสงสัยเบื้องต้นก่อนละกัน เหตุผลที่ไคลอาไม่ถูกพวกธงแห่งผืนป่าจับตัวไว้ขณะพยายามเข้าไปในประตูปีศาจน่ะ เป็นคำสั่งของฉันเอง」
「……หมายความว่ายังไงกันคะ? 」
「ฉันเป็นคนปล่อยให้ไคลอานี้ไปเอง จากที่เห็นทางนั้นเหมือนจะขาดสติไปพอสมควรเลย แถมยังแข็งแกร่งเสียจนยากจะเชื่อว่าถูกขังไว้ที่คุกใต้ดินเป็นเวลานานอีกต่างหาก」
อย่างกับว่าไปดื่มอิลิกเซอร์ที่ไหนมา――ชูยะกล่าว
แน่นอนว่าถึงไคลอาจะเก่งสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของชูยะ ผู้เป็น 2 สุดยอดผู้คุ้มกัน หากเขาอยากจะจัดการเธอก็คงทำได้ไม่ยาก ชูยะนั้นรู้จักกับไคลอามานานและตั้งความหวังกับเธอไว้สูงว่าเธอจะต้องกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของตระกูลมิตสึรุกิในอนาคตแน่ ดังนั้นเขาก็เลยอยากจะหาหนทางที่ไม่ทำให้เธอได้รับอันตรายอะไร
ไคลอาได้พยายามเข้าโจมตีชูยะด้วยความสิ้นหวัง ส่วนทางชูยะก็สั่งห้ามคนอื่นไม่ให้เข้ามายุ่ง
「ว่ากันตามตรงนะว่าการโจมตีของไคลอาเหมือนเอาตัวเข้าแลกเลย เอาซะฉันขนลุก」
「ไคลอา ทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ….? 」
「ใช่ไหมล่ะ ฉันเองก็ยังตกใจเลย สุดท้ายก็เลยเลือกปล่อยให้เธอหนีไปน่ะ」
แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมไคลอาถึงเลือกจะหนีออกจากเกาะ ดังนั้นในตอนนี้เขาก็เลยอยากจะให้ความสำคัญกับการยืนยันสถานการณ์ที่ทำให้ไคลอาต้องทำถึงขนาดนั้น ซึ่งตรงนี้เออร์ซูร่าก็เห็นด้วย
――หากไม่รู้ถึงเหตุผลที่ไคลอาพยายามเข้าไปในประตูปีศาจโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วฝืนสู้กันต่อ สุดท้ายก็คงไม่พ้นต้องฆ่าเธอทิ้ง
ดังนั้นหลังการปะทะกับไคลอาที่ประตูปีศาจ ถึงแม้จะรู้ว่าสายไปแล้ว แต่ชูยะก็พยายามหาทางออกเรื่องนี้โดยการไปที่ตระกูลเบิร์ชเพื่อขอคำอธิบายจากไดรอาทและกิลมอร์
สิ่งที่เขาได้รู้มันทำให้เขาตกใจมากเลยทีเดียว
「คลิมตายแล้วน่ะ」
「…………หา? 」
「ดูเหมือนว่าคลิมจะขอให้ท่านกิลมอร์ปล่อยตัวพี่สาวของเขาที่ถูกคุมขังอยู่อย่างไม่ลดละ จนทำให้ท่านกิลมอร์บอกไปว่า หากเขาสังหารหัวหน้าของพวกคิจินที่ชื่อว่าอาซึมะได้สำเร็จเขาจะยอมปล่อยตัวไคลอา คลิมที่ได้ยินดังนั้นก็เลยเข้าไปในประตูปีศาจแล้วเสียชีวิตลงน่ะ」
「ด-เดี๋ยวก่อนนะคะ คลิมตายแล้วจริงเหรอคะ? ทำไมเขาถึงเข้ามาในประตูปีศาจคนเดียวกันล่ะ? นอกจากนี้ฉันก็ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องที่พวกเราต้องไปจัดการพวกคิจินมาก่อนเลย!」
「ฉันที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยเหมือนกันน่า」
「…ก็แปลว่านี่เป็นการตัดสินใจส่วนตัวของทางตระกูลเบิร์ชสินะคะ? 」
เออร์ซูร่าถาม
เงื่อนไขในการปล่อยตัวพี่สาวของเขาคือการส่งเขาไปตาย และจากการตายของคลิม ไคลอาก็จะตกเป็นเหยื่อรายต่อไป คงไม่พ้นการถูกกำจัดทิ้งแน่
ในสายตาของเออร์ซูร่าแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับการชี้นำของตระกูลเบิร์ชที่หมายจะกำจัดสิ่งที่น่ารำคาญให้พ้นสายตา
ทว่าคำพูดต่อมาของชูยะกลับทำให้สิ่งที่เธอคิดไว้ผิดเพี้ยนไป
「ไม่ใช่การตัดสินใจส่วนตัวหรอก ท่านผู้นำเองก็รับรู้เรื่องนี้แล้ว」
「อะไรกัน?!」
เออร์ซูร่าส่งเสียงประหลาดใจออกมา ก่อนที่ชูยะจะพูดต่อ
「ว่ากันตามตรงนะ ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนกันกับเธอ ฉันมองว่าตระกูลเบิร์ชคงจะหาทางกำจัดลูกบุญธรรมทั้ง 2 ที่ไม่จำเป็นออกไปให้พ้นทาง แต่พอรู้เรื่องนี้เข้าก็เลยมองว่ามันไม่น่าจะจบแต่ตรงนี้」
หากเป้าหมายของตระกูลเบิร์ชคือการกำจัดพวกไคลอา แถมท่านผู้นำอย่างชิกิบุก็เห็นชอบ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อุบายใดๆ แล้วสั่งให้ไดรอาทสังหารทั้งสองไปให้สิ้นเรื่องเลยก็ได้นั่นจะเป็นการตายในฐานะอาชญากร แต่พวกเขาดันเลือกส่งคลิมไปที่ประตูปีศาจ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการให้สละชีวิตในฐานะนักรบ
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากชิกิบุแล้ว ตระกูลเบิร์ชก็ได้ส่งคลิมไปที่ประตูปีศาจ
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่คลิมจะเอาชนะผู้นำของพวกคิจินได้ ดังนั้นความล้มเหลวของคลิมคงเป็นสิ่งที่ชิกิบุเห็นอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่ไคลอาจะออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้บางทีก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนในหัวเขาก็ได้
อันที่จริงเรื่องราวทั้งหมดชิกิบุอาจจะหมายให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วก็ได้――นั่นคือสิ่งที่ชูยะคิด เพราะการที่ไคลอาบังเอิญมาเจอเขาพอดี ชิกิบุก็คงคิดเอาไว้แล้วว่าชูยะจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับไคลอาแน่
หากมันเป็นไปตามที่ชูยะคิดจริง ชิกิบุก็ต้องเดาเอาไว้แล้วว่าไคลอาจะหนีออกจากเกาะ
มันคงเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ไคลอาจะใช้เมื่อถูกชูยะไล่ตาม
――สรุปแล้วเพื่อช่วยน้องชายของเธอ เธอก็เลยเลือกจะเข้าไปที่ประตูปีศาจ ทว่าเธอก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันหน้าประตูปีศาจที่มีชูยะดูแลอยู่ในตอนนั้นได้ จะให้มาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก็ไม่ไหว การกระทำของเธอคือการเลือกเป็นศัตรูกับตระกูลมิตสึรุกิ ตลอด 300 ปีที่ผ่านมา คนที่เลือกเส้นทางนั้นต่างก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ เธอย่อมไม่ต้องการให้เพื่อนของเธอโดนไปด้วย
แต่เพื่อที่จะช่วยน้องชายของเธอ เธอจึงต้องหาทางออก
ฟางเส้นสุดท้ายที่เธอสามารถจับไว้เพื่อขอความช่วยเหลือได้
คนที่มีพลังเหนือกว่าเหล่านักรบแห่งผืนป่า ผู้ที่ไม่เกรงกลัวหากต้องเป็นศัตรูกับตระกูลมิตสึรุกิ คนที่มีพลังเพียงพอจะเอาชนะเทพปีศาจลงได้…..
——–
Note 1 : เดาว่าพ่อโซระคงอยากดูพัฒนาการลูกตัวเอง แต่หาเหตุผลเรียกมาที่เกาะอยู่
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code