ตอนที่ 199 คิจินที่แข็งแกร่งที่สุด
ท่ายืนที่แสนสง่างามแลดูไม่สามารถสั่นคลอนได้ราวกับกำแพงปราสาท ชุดเกราะสไตล์ซามูไรที่งดงามได้ปกคลุมร่างของเขาไว้
ดวงตาที่มองไปยังฝ่ายตรงข้ามแฝงไปด้วยความยิ่งใหญ่และดุร้าย ผมบอกได้ทันทีเลยว่าถึงแม้เขาจะไม่พูดคำใดออกมา ก็สามารถข่มขวัญศัตรูได้ง่ายดาย
แรงกดดันอันหนักหน่วงราวกับมีเข็มนับพันทิ่มไปทั่วร่าง เพียงแค่เผชิญหน้ากับเขาเหงื่อของผมก็ไหลลงมาที่หน้าผากแล้ว มือที่กำอาภรณ์วิญญาณเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า
พี่น้องนากายามะที่เรียกตัวเองว่าโดกะเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาคือชายที่เกิดมาเพื่อเป็นนักรบอย่างแท้จริง
ก็แปลว่าคาการิเป็นน้องชายของหมอนี่สินะ แต่หากให้เทียบกันพลังของโดกะน่าจะหนักกว่าเด็กคนนั้นนะ
ก่อนที่จะรู้สึกตัวผมก็กัดฟันเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ราวกับเป็นการกระทำเพื่อข่มตัวเองจากแรงกดดันของอีกฝ่าย
เป็นการบ่งบอกถึงพลังของอีกฝ่ายว่าสุดยอดแค่ไหน ชักจะงานหยาบแล้วสิ
คือผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองด้อยกว่าอีกฝ่ายหรอกนะ อย่างพลังคิผมว่าผมก็มีมากกว่าอีกฝ่ายแน่ นอกจากนี้ผมก็มีอาภรณ์วิญญาณสนับสนุนด้วย ไม่สิถึงอีกฝ่ายจะมีเหมือนกันผมว่าผมก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับมันได้แหละ
ทว่า เหตุผลที่ผมยังรู้สึกกลัวชายที่ชื่อว่าโดกะก็เพราะแรงกดดันจากร่างอันใหญ่ยักษ์ของเขา
ถ้าหากว่าตัวผมคือลำธารเล็กๆ โดกะก็คงจะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ผ่านผืนป่าและท้องทุ่ง
นอกจากนี้ผมสัมผัสได้ถึงการขัดเกลาร่างกายและพลังอย่างถึงขีดสุด ออร่าภายในร่างโดกะนั้นไหลเวียนอย่างสงบนิ่งแต่ก็รุนแรง ราวกับกระแสน้ำที่ดูมีความสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความล้ำลึกข้างใต้
ความรู้สึกคุ้นเคยอันแสนน่ารังเกียจ ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมก็คือพ่อของผมเองที่เป็นนักบุญดาบ
คู่ต่อสู้ตรงหน้าของผม แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทุกคนที่ผมเคยสู้มาในอดีต ก็ไม่ได้จะบอกหรอกนะว่าเก่งเทียบเท่านักบุญดาบ แต่เขาก็น่าจะไปถึงระดับนั้นได้แน่
――พอรู้สึกตัวแบบนั้น ปากของผมก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
ตั้งแต่ได้อาภรณ์วิญญาณมา ผมก็ได้ต่อสู้กับศัตรูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมอนสเตอร์ ผมก็เอาชนะมาได้หมด และชัยชนะนั้นก็มาจากพลังของโซลอีทเตอร์ซึ่งเป็นอนิม่า
หากจะให้อธิบายให้ชัด ก็คือคนที่เอาชนะพวกนั้นได้คือโซลอีทเตอร์ไม่ใช่ผม
แน่นอนว่าผมไม่เคยรู้สึกอับอายอะไรไรหรอก ยังไงอนิม่าก็คือส่วนหนึ่งของผมนี่ และผมก็คงไม่ลังเลที่จะใช้อาภรณ์วิญญาณต่อไปเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
แต่ก็ยังมีเรื่องให้กังวลอยู่
หากผมยังพึ่งพาพลังของโซลอีทเตอร์ในการต่อสู้ไปเรื่อยๆ การเติบโตของผมคงจะหยุดในอนาคตอันใกล้แน่
อันที่จริงการกินวิญญาณของพวกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในตำนานมันเกือบจะไม่ช่วยทำให้ผมสามารถเพิ่มเลเวลได้อีกแล้ว ปริมาณวิญญาณที่ผมต้องใช้ในการเพิ่มเลเวลมันมากเกินไป จะเท่าไหร่ก็ไม่พอ โบราณว่าไว้หากพยายามเก็บฝุ่นมากองไปเรื่อยๆ มันก็พอจะกลายเป็นภูเขาได้หรอก แต่การเติบโตของผมก็จะช้ากว่าที่เคยเป็นไปด้วย
ดังนั้นสิ่งที่ผมควรจะทำก็คือแสวงหาสิ่งที่แข็งแกร่งเหนือระดับขึ้นไปอีก
นี่เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมพยายามฝึกฝนกับไคลอาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหาเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ หลังจากไคลอาจากไปแล้ว ก็ยังโชคดีที่ได้วิสทีเรียมาฝึก
แต่มันก็ไม่ช่วยให้ผมคลายกังวลได้
วิสทีเรียยังไม่เชี่ยวชาญการดึงอาภรณ์วิญญาณออกมา ไคลอาที่เป็นนักรบแห่งผืนป่าก็ไม่ได้แกร่งพอจะทำให้ผมงัดทุกอย่างออกมาใช้
ด้วยเหตุนี้ระหว่างการฝึกซ้อมผมจึงต้องไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณและเทคนิคพิเศษใหม่ๆ ――พูดตามตรงนะ ผมไม่ค่อยจะชอบแนวนี้เลย
อยากจะเจอผู้ที่มีอนิม่า เทียบเท่าหรือแข็งแกร่งกว่าโซลอีทเตอร์ อยากเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าผมในฐานะนักรบ อยากเจอการต่อสู้ที่คู่ควรมันคือสิ่งที่ผมต้องการ หากได้เจอคนแบบนั้นผมก็จะสามารถฝึกฝนเสริมความแข็งแกร่งได้มากกว่าเดิมโดยไม่ต้องยั้งมือไว้อีก
――ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
ผมพยายามจะคุมรอยยิ้มที่กำลังเผยออกมา แค่เข้ามาในคิไคแล้วเจอกับคิจินตนนี้มันก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว แต่ผมก็ต้องรีบปิดอาการเอาไว้ก่อนเพราะมีไคลอาที่กำลังเป็นห่วงคลิมอยู่
พอเห็นการแสดงออกที่ผิดแปลกไปของผม คิ้วของโดกะก็ขมวดด้วยความสับสน หรือไม่ก็เขากำลังมองว่าผมเป็นพวกหยาบคายที่ไม่ยอมบอกชื่อตัวเองแก่ฝ่ายตรงข้ามในฐานะนักรบ
ไม่ได้แล้วๆ นี่ผมกำลังเมินคำถามของอีกฝ่ายสินะ
คือผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะโดนอีกฝ่ายเกลียดหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบถูกต่อว่าว่าเป็นพวกหยาบคายในฐานะนักรบ ดังนั้นผมจึงเปิดปากพูด
「ฉันชื่อโซระ สร้อยข้อมือนี่น่ะเหรอที่นายพูดถึง? 」
พอผมเอามือไปสัมผัสกับสร้อยข้อมือที่ซูซูเมะให้มา โดกะก็พยักหน้าเบาๆ
「ใช้แล้วมันคือพิธีกรรมดั้งเดิมของคิจิน มันคือสร้อยข้อมือที่มีไว้เพื่ออวยพรให้ผู้รับมีความสุข」
โดกะพูดและก็จ้องมายังใบหน้าของผม
「นักรบผมสีดำที่ใช้วิชาของพวกคนเฝ้าประตูและสวมกำไลของเผ่าเรา ชื่อโซระ เหมือนกับที่คาการิบอก――แบบนี้นี่เอง ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงชอบเจ้าเสียจริง พลังที่ดั่งสวรรค์ประทาน ร่างกายของคนคนหนึ่งจะมีอนิม่าที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้เลยงั้นหรือ」
คำพูดนั้นสร้างแรงกดดันเป็นอย่างมากให้กับผม คงจะเป็นเหมือนกับที่ผมหวั่นเกรงโดกะ อีกฝ่ายก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน
ดวงตาของผมกับโดกะประสานกัน จนเกิดเป็นประกายไฟที่มองไม่เห็น
ความตั้งใจที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องปะทะกันนั้นคือของจริง นอกจากนี้โดกะก็น่าจะรู้เรื่องที่ผมฆ่าโอเค็นกับเทพปีศาจไปแล้วจากรายงานของคาการิ
ก็หมายความว่าผมคือศัตรูของนากายามะ เพราะงั้นหากโดกะจะพุ่งมาโจมตีผมทันทีก็ไม่แปลก ทว่าโดกะกลับยังไม่เคลื่อนไหวอะไร
โดกะที่ดูออกว่าผมคิดอะไรก็เริ่มพูดต่อ
「โซระ เมื่อเจ้าเข้ามาใกล้ค่ายของฝ่ายเราพร้อมอาวุธในมือ การต่อสู้ย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดก็เพื่อเผ่าพันธุ์ของข้า ทว่าข้าอยากจะถามเจ้าว่าจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นแนวหน้าของพวกคนเฝ้าประตู แต่จากการเคลื่อนไหวของเจ้าแล้วดูเหมือนว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์ที่ต่างจากพวกคนเฝ้าประตู」
「ก็อย่างที่นายพูดฉันไม่ได้เป็นพวกกับพวกนั้น เป้าหมายของฉันคือจับกุมผู้บัญชาการของคิจินที่คุมตรงนี้」
「หืม」
โดกะจ้องมายังผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น
「ก็หมายความว่าเจ้าต้องการจะจับข้าสินะ แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อจากนั้นกันล่ะ」
「ใช้เชลยเป็นข้อต่อรองในการเจอกษัตริย์แห่งคิจินอย่างอาซึมะ แล้วคุยกับเขา พอดีว่าคนรู้จักของทางนี้น่าจะไปรบกวนเขาน่ะ」
「หรือก็คือ เจ้ามีจุดประสงค์ในการค้นหาพวกพ้องสินะ เพราะไม่มีทางหรอกที่เจ้าต้องผ่านเข้ามาในคิไคแห่งนี้เพื่อค้นหาคนที่รู้จักกันเฉยๆ ถ้าให้ข้าเดาคนคนนั้นคงจะรับภารกิจในการแทรกซึมนากายามะ ทว่าสัญญาณของเขาได้หายไปเจ้าก็เลยต้องออกมาตามหาสินะ」
ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ที่สมเป็นนักรบผู้มีดีแค่ความแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าโดกะเป็นพวกใช้สมองเหมือนกัน ก็จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ไม่ว่าใครหากพยายามเค้นหัวคิดสักหน่อยก็คงมาถึงคำตอบตรงนี้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาถึงคำตอบได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้หรอก
เอาเถอะจะยังไงก็ได้ ผมจึงตอบกลับไป
「ก็ประมาณนั้น ว่าแต่นายพอจะมาเบาะแสอะไรบ้างไหม? 」
「ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน และถึงรู้ข้าก็คงไม่บอก」
โดกะตอบกลับ
จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป
「ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่า ภารกิจของคนคนนั้นคืออะไร แต่ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อนากายามะ พวกหนูที่หวังปองร้ายพวกเราจะต้องถูกสังหารทันทีที่พบ เช่นเดียวกับพวกที่พยายามจะช่วยเหลือมัน」
ตึ้ง! เสียงอันกึกก้องได้ดังขึ้นบนฝ่าเท้าขนาดใหญ่ของโดกะ
ออร่าแห่งการต่อสู้ได้พวยพุ่งออกมาจากร่างของโดกะ ผมเห็นว่าไคลอากับเออซูร่าที่อยู่ข้างหลังผมเหมือนจะพร้อมแล้วเหมือนกัน
แต่ผมก็ส่งสัญญาณว่าไม่ให้พวกเธอยุ่ง ผมอยากจะต่อสู้กับชายคนนี้ตัวต่อตัวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
โดกะยังคงรักษาความสงบของตัวเองได้ และไม่รู้สึกกระวนกระวายอะไรกับสิ่งที่ผมทำเลย ก่อนจะพูดออกมาราวกับประกาศสัญญาณการเริ่มต่อสู้
「เจ้าอย่าได้ออมมือเป็นอันขาด เพราะข้าก็จะทุ่มสุดตัวเช่นกัน――เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ (อาภรณ์แห่งจิต) 」
เสียงคำรามของโดกะระเบิดขึ้นดังก้องไปทั่ว
แรงกดดันมหาศาลได้พวยพุ่งออกมามากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้ร่างกายของผมสั่นไปทั้งตัว ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะกลัวศัตรูตรงหน้าหรือดีใจมีความสุขจนเนื้อเต้น
เสียงของโดกะที่เอ่ยชื่ออาภรณ์วิญญาณของตนได้ดังเข้ามาภายในหูของผม ผมกุมอาภรณ์วิญญาณของตัวเองเอาไว้แน่น
――จงเหยียบย่ำทั้งดีชั่ว คิวกิ (อสูรพยัคฆ์ร้าย)
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code