ตอนที่ 208 คาการิ ปะทะ อูรุย
เมื่อพบว่าคนที่มาขวางเขาเอาไว้คือน้องชายคนเล็กสุดของ 4 พี่น้องนากายามะ อูรุยก็ตัดสินใจลงมือสังหารคาการิทิ้งทันที
ไม่มีทางที่กษัตริย์อาซึมะจะยอมอยู่เฉยๆแน่หากรู้ว่าลัทธิแห่งแสงเกี่ยวข้องกับกบฏคาซาน
「สังหาร!」
อูรุยถีบพื้นพุ่งไปหาคาการิอย่างรวดเร็วโดยหมายจะปลิดชีพ ทางคาการิที่เห็นการโจมตีดังกล่าวก็หลบได้อย่างหวุดหวิด
การโจมตีดังกล่าวได้โถมเข้ามาอีก 3 ครั้งอย่างรวดเร็ว ทว่าคาการิก็สามารถหลบมันได้เหมือนเดิม อูรุยก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมา
การโจมตี 3 ครั้งติดนี้ล้วนมีจุดหมายในการสังหารคาการิทั้งสิ้น มันไม่ใช่การโจมตีแบบลองเชิงหรือยั้งมือเอาไว้ หากการโจมตีสุดร้ายแรงนี้อีกฝ่ายยังหลบได้ มันก็คงแสดงให้เห็นได้ชัดเจนแล้ว
ว่าตนน่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เด็กชายตรงหน้าของเขาน่าจะอยู่ช่วงลูกไม่สิหลานของเขา กลับสามารถมองเห็นการโจมตีของเขาได้อย่างหมดจด นั่นทำให้หัวใจของอูรุยนั้นต้องทำใจยอมรับถึงความต่างในพลัง
ตัวเขาไม่ใช่คนผยองอย่างการบอกว่าตนคือผู้นำตระกูลโฮโซ ดังนั้นจึงแข็งแกร่งที่สุด เขาไม่แปลกใจหากพบว่าเด็กชายตรงหน้าของเขาแกร่งกว่ามาก นั่นคือสิ่งที่อูรุยยอมรับจากใจจริง ส่วนหนึ่งอูรุยก็ปรารถนาเช่นนั้นด้วย เพราะการต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าตวเองมันจะผลักดันให้เขาแข็งแกร่งกว่าจุดที่เคยอยู่
――เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง เขาเคยพ่ายแพ้ให้กับอัจฉริยะสุดหายากแห่งยุค อย่างมิตสึรุกิ ชิกิบุ และการพ่ายแพ้ในครั้งนั้นก็ทำให้เขาพัฒนาตนมาจึงถึงทุกวันนี้
อูรุยที่พบว่าตนล้มเหลวในการโจมตี ก็เลือกจะถอยไประยะหนึ่ง โดยคาดว่าคาการิน่าจะเริ่มรุกไล่เขาบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่รู้หรอกว่าตั้งใจจะปกป้องพวกรันเอาไว้หรือมีเจตนาอื่น แต่ก็เอาเถอะถ้าอีกฝ่ายไม่ขยับตัวแบบนี้อูรุยก็สะดวกมือเหมือนกัน
「สาป!」
ด้วยการบทลดร่ายให้สั้นที่สุด อูรุยทำการสร้างบาเรียสำหรับปิดผนึกพลังของศัตรูขึ้นมา เมื่อรับรู้แล้วว่าการโจมตีปกติไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ เขาจึงต้องเน้นพลังการควบคุมให้กับบาเรียที่จะใช้ผนึกคาการิแทน
การกระทำของเขาทั้งหมดสำเร็จได้ด้วยดี คาการิถูกบาเรียอันทรงพลังมากกว่าที่ใช้กับคลิมหลายเท่าผนึกอยู่
คาการิสังเกตได้ถึงมือที่มองไม่เห็นกำลังผูกมัดร่างของเขาเอาไว้อยู่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า หื้ม ออกมา เหมือนแปลกใจไม่ต่างกับตอนที่คลิมโดนท่านี้ แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายดูจะคล่องตัวกว่าคลิมหลายเท่า
เทคนิคที่อูรุยใช้ไม่ได้ล้มเหลว ทางคาการิก็เหมือนจะไม่ได้เตรียมการมารับมืออะไรกับพลังนี้
จองจำทำงานได้อย่างถูกต้องตามที่อูรุยต้องการ พลังของคาการิก็โดนปิดผนึกไปแล้วอย่างแน่นอน ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล
ด้วยนิสัยของคาการิแล้วเขามักเป็นพวกให้ความสำคัญกับความสนุกและสิ่งที่ดูน่าสนใจ นั่นจึงทำให้แม้ตนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังแสดงท่าทีที่ดูผ่อนคลายออกมา
ตัวอูรุยเองก็ไม่ต่างกันนักหรอก หากนี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ต้องเอาชีวิตอีกฝ่าย เขาก็คงยิ้มและยกย่องในความกล้าหาญของคาการิไปแล้ว
ไม่ว่าจะถูกต้องให้จนมุมสักแค่ไหน เจอสถานการณ์เลวร้ายสักเท่าใด แต่ก็ยังสามารถยืนหยัดได้นั่นและคือชายที่น่าเกรงขาม หากตอนนี้ยังสามารถใจเย็นได้มุมมองก็จะเห็นอะไรได้กว้างขึ้น มาสติหาวิธีรับมือได้มากขึ้นด้วย
การที่เข้าถึงสภาวะนั้นได้โดยกำเนิด หาใช่การฝึกฝนประสบการณ์มานับสิบๆปี ช่างเป็นพรสวรรค์ที่แสนยอดเยี่ยมจริงๆ
คงจะน่าเสียดายเป็นอย่างมากหากต้องมาฆ่าคาการิที่นี่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์หรือคิจินอูรุยก็ไม่เคยดูถูกในพรสวรรค์
ทว่าอูรุยก็ต้องตัดอารมณ์ของตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว คาการิคงไม่ยอมถอยไปแต่โดยดี ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำตระกูลโฮโซแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฆ่าคาการิด้วย
ในคิไคแห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของหมาป่าทมิฬคาการินอกเสียจากเด็กแรกเกิด
น้องชายคนเล็กในบรรดา 4 พี่น้องนากายามะผู้พิชิตคิไค แม้จะอายุเพียง 15 ปี แต่เขาก็มีความสำเร็จมากมายในการสังหารศัตรูนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะการต่อสู้ศึกตัดสินนั่น เขามีความชอบที่ยิ่งใหญ่เหนือพี่ของตนอย่างโดกะพี่รองที่ถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในคิไค
ไม่เพียงแค่ความสามารถในการต่อสู้ แต่ความสามารถในฐานะผู้บัญชาการก็สูงด้วย กองทหารของนากายามะที่หมายจะพึ่งพาการนำทัพของโดกะเพียงอย่างเดียวก็เริ่มฝากความหวังไว้กับคาการิด้วยเช่นกันหลังเขาได้แสดงผลงาน
ลัทธิแห่งแสงที่ไม่ต้องการให้ทั้งคาซานและนากายามะเติบโตมากจนเกินไปจึงพยายามจะถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองให้เท่าๆกัน ทว่าก็เป็นคาการิที่ทำลายสมดุลที่พวกเขาสร้างมาจนสิ้น
ในตอนที่คาการิอายุครบ 13 ปี เขาก็เลือกจะมุ่งสู่สนามรบทันทีราวกับว่านับวันเดือนรอ ผลงานและความสำเร็จที่เขาทำได้ในสนามรบนั้นรวดเร็วเสียจนการคำนวณของพวกลัทธิแห่งแสงผิดเพี้ยนไปเสียหมด หากจะให้เจาะจงก็คือลัทธิมองว่านากายามะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปีถึงจะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้และไม่ว่าจะโชคดีสักแค่ไหนยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ทว่าตัวแปรอย่างคาการิกลับทำให้มันเกิดขึ้นภายใน 2 ปี
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะคาการิเพียงลำพัง ความเป็นจริงอย่างเรื่องที่ลัทธิไม่สามารถครอบงำนากายามะได้ก็ส่วนหนึ่ง พวกพี่น้องนากายามะที่มีความสามารถโดดเด่นจนเกินไปก็ด้วย ทว่าพวกเขาก็เห็นตรงกันว่าหากขาดคาการิไปสักคนนากายามะคงไม่มีทางทำสำเร็จภายใน 2 ปีได้แน่
หากอูรุยสามารถเอาชนะคาการิได้ที่นี่ กองกำลังของนากายามะคงสั่นสะเทือนแน่ ตรงนี้ก็เป็นฐานของกบฏคาซานถึงจะตายไปเบาะแสที่จะสาวไปถึงลัทธิก็คงไม่มี “คาการิทิ้งลูกน้องไว้ข้างหลังแล้วรีบบุกเดี่ยวเข้ามาจนต้องเสียชีวิตไป” นั่นคือบทที่เขาคิดไว้
สถานการณ์ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในโอกาสที่แสนหายาก หากไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว
อูรุยไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหาคาการิที่ถูกผนึกพลังเอาไว้อีกครั้ง
เทคนิคที่เขาจะใช้ถัดจากนี้คือศาสตร์แห่งนานะชิกิที่รุนแรงที่สุด ผกผัน
ผนึกอีกฝ่ายด้วยจองจำและทำการสังหารพวกเขาด้วยผกผัน สำหรับอูรุยแล้วนี่คือเทคนิคที่เขาใช้ในการสังหารศัตรูมานักต่อนักและปรับปรุงมันให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อยๆจนได้กลายมาเป็นผู้นำของตระกูลโฮโซ
และสิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงหมาป่าทมิฬ นั่นคือสิ่งที่อูรุยคิดขณะกำลังจะสังหารคาการิ
ทว่า
――แคว๊ก
อูรุยผู้มีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลม ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังถูกฉีกกระชากออก เขาจึงทำการรีบหยุดร่างของตนที่พุ่งทะยานเข้าไปหาศัตรูในทันที ทว่าด้วยการบังคับร่างของตนให้หยุดอย่างกะทันหันมันก็ทำให้ข้อต่อภายในร่างกายของตัวเองส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่เขาก็ไม่สนเพราะหากยังฝืนเข้าไปได้เกิดเรื่องแย่ขึ้นแน่
อูรุยได้จ้องไปยังคาการิอีกครั้ง จนถึงตอนนี้พลังที่เขาใช้ในการผนึกคาการิยังสามารถทำงานได้ดีแต่เสียงบางอย่างที่ดังออกมานั้นคือสัญญาณการเปลี่ยนแปลง
นิ้วของมือที่มองไม่เห็นนั้นค่อยๆคลายออกไปเรื่อยๆและทุกครั้งที่มันค่อยๆคลายออก ปริมาณของพลังภายในร่างคาการิก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
――นี่มันกำลังพยายามจะทำลายสิ่งนั้นตามสัญชาตญาณเฉยๆเลยงั้นหรือ
นั่นคือการคาดเดาของอูรุย เห็นได้ชัดว่าคาการิพยายามหาทางหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วก็ทำมันสำเร็จได้ตามที่หวัง
ตัวเขาควรจะรีบฆ่าคาการิทิ้งให้โดยเร็วก่อนที่เขาจะสามารถกลับมาใช้พลังทั้งหมดได้ ทว่าตอนนี้คงไม่ไหวแล้วเพราะพลังของคาการิที่กลับมามันเพียงพอให้อีกฝ่ายสามารถใช้อาภรณ์แห่งจิตได้แล้ว
แน่นอนว่าบาเรียผนึกไม่ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ แต่ความแข็งแกร่งของคาการิก็มากมายเสียเหลือเกิน จนมองว่าหากได้ใช้พลังเต็มที่จะขนาดไหนกันนะ
――นี่สินะพวกมีพรสวรรค์ ทำเอาฆ่าไม่ลงจริงๆ
เด็กชายที่อายุได้เพียง 14 15 ปี ใช้เวลาฝึกฝนและขัดเกลาพลังของตนเองไม่ถึง 10 ปี แต่ด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติเขาสามารถมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างง่ายดาย อูรุยยิ้มออกมาอย่างอิจฉา
อย่างไรก็ตามรอยยิ้มของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นความสงบนิ่งอีกครั้ง คาการิจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกมากในอนาคตและเขาจะต้องกลายเป็นตัวตนที่แสนสำคัญของนากายามะและเผ่าพันธุ์คิจินแน่
คิจินที่อยู่ตรงหน้าของอูรุยจะต้องกลายเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้พ้นทางถึงแม้จะต้องแลกกับทุกสิ่งที่เขามี อูรุยตัดสินใจเปลี่ยนท่าการโจมตี
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของตนหรือเปล่า วินาทีต่อมาคาการิจึงเปล่งเสียงดังก้อนสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่ง
***
อันที่จริงคนที่ไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้สุดๆคือคาการิ
ตอนแรกคาการิตั้งใจจะแทรงซึมเข้ามาในค่ายเพื่อตรวจสอบว่ามีโครงสร้างเป็ฯเช่นไร รันกับยามาโตะอยู่ตรงไหน ทว่าก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของรันดังขึ้นเสียก่อน
ก็จริงว่าเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงกรีดร้องของใคร แต่เขาก็เลือกจะตามเสียงนั้นไปดูแล้วพบว่าเป็นคนของราชวงศ์คาซาน ภาพที่เห็นก็คือรันกำลังจะถูกฟันหัวทิ้ง
คาการิก็เลยตัดสินใจโยนหินไปช่วยรันเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่พยายามจะฆ่ารัน
ชายแก่คนนั้นเป็นมนุษย์
คาการิไม่รู้จักใบหน้าของอูรุยแน่นอนว่าไม่รู้เรื่องที่เขาเป็นผู้นำตระกูลโฮฺโซด้วย แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือคนของลัทธิแห่งแสงเพราะคนพวกนั้นคือมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออาศัยอยู่ภายในคิไคได้
คนของลัทธิอยู่ที่ค่ายของกบฏและกำลังจะฆ่าเจ้าหญิงของคาซาน คาการิเลยไม่รู้ว่าจากนี้จะเอายังไงต่อดี
หากทางนั้นเป็นศัตรูกับพวกกบฏ ก็หมายความว่าเป็นมิตรกับทางนากายามะหรืออย่างน้อยก็ไม่มีเหตุผลต้องเป็นศัตรูกัน พอไปถึงข้างล่างแล้วตนเลยตั้งใจจะเป็นฝ่ายเฝ้ามองแทน เพราะหากน้องชายของกษัตริย์นากายามะไปฆ่าคนของลัทธิเข้าเดี๋ยวมันจะยุ่งยากเอา
จากนั้นอีกฝ่ายก็เลือกจะเข้ามาโจมตีคาการิทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นคาการิก็เลือกจะยังไม่ตอบโต้เพราะตนก็โจมตีอีกฝ่ายเหมือนกันในตอนแรก คาการิเลยมองว่าหายกัน
ทว่าผลที่ได้กลับเป็นอีกฝ่ายเลือกจะโจมตีคาการิต่อและไม่มีท่าทีจะคุยกันเลยสักนิดก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องยั้งมือแล้ว
เมื่ออูรุยผนึกพลังของคาการิ คาการิก็เผลอยิ้มออกมาทันทีเพราะเขารู้แล้วว่าตนจะได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและเทคนิคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ตามปกติแล้วหากเขาไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนก็ไม่อยากลงมือนักหรอก แต่เอาไว้เดี๋ยวจัดการศัตรูเสร็จค่อยไปถามรายละเอียดกับพวกรันเอาก็ได้ แล้วก็ยังเหลือมนุษย์ที่อยู่ข้างหลังรันนั้นให้ถามเพิ่มเติมอีก
คาการิเหลือบมองไปยังคลิมชายหนุ่มผมขาว ก่อนจะขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย ลักษณะที่ดูมีเอกลักษณ์นั่นชวนให้นึกถึงความทรงจำขณะแทรกซึมไปยังเกาะอสูรยักษ์
――เอาล่ะ ไว้ค่อยตรวจสอบทีหลังแล้วกัน
แขนขวาของคลิมเหมือนจะถูกตัดทิ้งไปอาการก็แย่พอสมควร ไม่น่าจะมีแรงเหลือพอลอบโจมตีเขาจากด้านหลังแน่ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว คาการิก็เลือกจะโฟกัสแค่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
จากนั้น
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ(อาภรณ์แห่งจิต)――จงสวาปามโทเท็ตสึ(จ้าวอสูรจอมตระกละ)!」
เพื่อจะสังหารศัตรูที่น่าเกรงขาม บัดนี้เขาจึงต้องปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมา
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code