――เรามาคุยกันสักหน่อยดีไหม?
พอโซระถูกถามโดยคิจินที่อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์แห่งนากายามะ เขาก็ตัดสินใจยอมรับมันอย่างไม่ลังเล
ยังไงจุดประสงค์แรกที่เขามานี่ที่ก็เพราะอยากจะคุยกับอาซึมะอยู่แล้ว การที่เขาต่อสู้กับโดกะในตอนแรกก็เพราะเรื่องนี้
แต่การต่อสู้ดันสนุกมือมากเกินไปหน่อยก็เลยลืมเหตุผลที่มาในตอนแรก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้อาซึมะเคลื่อนไหวได้ในที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าสอบผ่าน
หากจะถามว่าเหลือปัญหาอะไรไหมก็คงเป็นเรื่องที่ร่างกายของโซระยังเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับโดกะ หากต้องมาต่อสู้กันอีกครั้งก็คงไม่น่าจะไหว ใจจริงเขาอยากจะพักสักหน่อยก่อนเคลื่อนไหวอะไรต่อแท้ๆ
ทว่าทางอาซึมะเองก็เหมือนจะเข้าใจโซระจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
「อย่างไรก็ตาม การจะมีคุยกันในที่รกร้างเช่นนี้มันก็ยังไงอยู่นะ ข้าเองก็อยากจะหาที่สงบๆคุยด้วยสิ ดังนั้นข้าจึงอยากจะเชิญท่านมายังเมืองหลวงของนากายามะสักหน่อย」
「เชิญเหรอ?」
「ตามที่พูด ชื่อนั้นคือเมืองไซโตะ แน่นอนว่าข้าจะรับรองความปลอดภัยของท่านให้ ขอพูดในนามแห่งกษัตริย์นากายามะเลย ท่านคิดว่าไงล่ะ?」
โซระที่ฟังข้อเสนอของอีกฝ่ายก็ต้องกลับมาคิดอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากมันคือการกระโดดเข้าไปในดงของศัตรูอย่างสมบูรณ์จะบอกว่าปลอดภัยหายห่วงก็ไม่ใช่
ทว่าการจะปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่าย ในขณะที่อีกฝ่ายยังเป็นต่อแบบนี้ก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เอาจริงๆโซระไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแต่แรกอยู่แล้วพอโดนพวกคิจินล้อมเอาไว้
เอาเถอะถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะเล่นลิ้นอะไรเพิ่มแต่แรงกายของเขาก็น่าจะกลับมาแล้ว สำหรับโซระการที่ศัตรูเพิ่มขึ้นก็หมายความว่าอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะใช่ว่าทหารทุกนายจะมีฝีมืออยู่ในระดับเดียวกับโดกะที่สามารถสู้กับโซลอีทเตอร์ได้เสียหน่อยถ้าเป็นแบบนั้นเกาะคงล่มสลายไปแล้ว โซระจึงไม่ได้ติดอะไรหากต้องไปยังไซโตะ
จากนั้นโซระก็หันไปถามทางไคลอา เนื่องจากอาซึมะเชิญไคลอากับเออซูร่าด้วยเหมือนกัน
สำหรับไคลอาแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีในการตามหาเบาะแสเกี่ยวกับน้องชายของเธอ เธอจึงไม่ว่าอะไร ส่วนทางเออซูร่าที่เห็นด้วยกับแผนการจับตัวประกันซึ่งเสี่ยงสุดๆแต่แรกก็ไม่บ่นอะไร
ก็อย่างที่โซระคิด ทั้งสองสาวไม่ได้ติดขัดอะไร โซระจึงหันกลับไปตอบอาซึมะ
「เข้าใจแล้ว ฉันจะตอบรับคำเชิญของนาย」
「เช่นนั้นก็คงต้องเตรียมตัวแล้วสินะ โปรดรอพวกข้าที่นี่สักครู่แล้วกัน」
จากนั้นอาซึมะก็หันกลับไปคุยกับพวกโดกะและทหารคนอื่นๆ
ตอนนี้เขาปลดอาภรณ์วิญญาณของตัวเองออกไปแล้ว ก่อนจะเข้าไปพูดกับอาซึมะในสภาพที่แทบจะยินไม่ไหวเนื่องจากการต่อสู้กับโซระ ทว่าความกังวลในเรื่องต่างๆและหน้าที่ของเขามันจึงทำให้เขาสามารถยืนไหว
「เฮีย ตั้งใจจะพาเขาไปที่เมืองหลวงจริงเหรอ?」
อาซึมะตอบโดกะที่กำลังขมวดคิ้วถามอย่างเป็นนัยๆว่าตนไม่เห็นด้วย ด้วยสีหน้าที่ดูสบายๆ
「อื้ม แน่นอนสิยังไงเขาก็คือคนที่ข้าอยากจะคุยด้วยแต่แรกแล้ว การได้มาเจอกันที่นี่ก็ถือเป็นโชคชะตาจริงๆ」
「เฮีย ชายคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรนักกับพวกคนเฝ้าประตู เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะเผยเขี้ยวเล็บออกมาตอนไหน หากท่านต้อนรับเขาเข้ามาภายในถิ่นพวกเราด้วยความประมาท ในฐานะข้ารับใช้ของท่านแล้วข้าคงไม่อาจปล่อยผ่านได้จริงๆ」
「ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ชายคนนี้เป็นตัวอันตรายสุดๆ ขนาดเป็นเจ้าที่แกร่งที่สุดในนากายามะเขาก็ยังสามารถต้านเอาไว้ได้ถึง 3 วัน 3 คืน หากนับแค่ในคิไคนี้ก็คงจะเหลือแค่คาการิละมั้งที่พอจะทำแบบนั้นได้」
อาซึมะชมโซระและยิ้มให้กับโดกะที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
「นอกจากนี้นะหากเขาตั้งใจจะเล็งจัดการข้าจริงๆ เขาก็ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้หรอก สิ่งที่เขาควรทำน่ะคือการหลีกเลี่ยงการปะทะกับเจ้า การที่เขาเข้ามาตรงๆแบบนี้มันบ้าเสียยิ่งกว่าบ้าอีกนะ」
「ฮ่ะ ข้าก็เข้าใจในสิ่งที่เฮียจะพูดหรอกแต่….…」
「แถมการเคลื่อนไหวของพวกคนเฝ้าประตูก็แปลกๆด้วย」
「ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?」
พอถูกถามอาซึมะก็หันไปมองทางป้อมปราการของตระกูลมิตสึรุกิที่อยู่ไกลออกไป
อาซึมะที่คอยดูแลอยู่แนวหลังในโซโตะ รีบเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพราะได้รับรายงานการปะทะกันของโซระกับโดกะ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร โดกะก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ในการสู้แบบตัวต่อตัวแน่ นั่นคือสิ่งที่อาซึมะเชื่ออย่างไม่สั่นคลอน ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้นำของพวกคนเฝ้าประตูอย่างนักบุญดาบก็ตาม พลังของโดกะมันมีมากถึงระดับนั้นแหละ
ทว่าหากถามว่าเขาสามารถใช้พลังระดับสูงสุดได้ทุกครั้งที่ต้องการไหม คำตอบก็คือไม่
อาภรณ์วิญญาณนั้นจะสร้างภาระให้กับผู้ใช้อย่างมาก ยังไม่นับเรื่องการใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า สำหรับพวกคิจินที่เชื่อมโยงกับเทพปีศาจไว้อยู่ พวกเขาย่อมดึงพลังออกมาได้มากกว่าพวกคนเฝ้าประตู ภาระที่ต้องแบกไว้ก็สูงกว่าด้วย ระดับของอนิม่าก็แตกต่างกันอีก
ถึงจะเป็นโดกะก็ไม่มีข้อยกเว้นนี้
ตอนที่อาซึมะได้รับรายงานว่าโดกะสู้อย่างสุดกำลังมาได้ 2 วันเต็มแล้วหากยังปล่อยไว้แบบนี้ โดกะก็อาจจะตัดสินใจงัดอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าออกมาใช้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ในชัยชนะย่อมตกเป็นของโดกะ แต่จังหวะเดียวกันมันก็ทำให้โดกะอ่อนแรงลงอย่างมาก
สำหรับพวกคนเฝ้าประตูแล้ว นี่คือโอกาสอันดีที่จะสังหารน้องชายของกษัตริย์นากายามะ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะปล่อยมันไป ด้วยความคิดเช่นนี้นั่นเอง อาซึมะจึงรีบออกจากไซโตะโดยไม่ทันได้เตรียมการอะไรดีนัก
สุดท้ายความกังวลของอาซึมะก็ไม่ได้เป็นจริง พวกคนเฝ้าประตูไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆเลยทั้งก่อนและหลังการต่อสู้จบลง
ตอนนี้ก็เช่นกัน ไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวของพวกเขาเลย ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะระวังความสามารถของอาซึมะอยู่ แต่การที่ไม่ส่งกำลังเสริมมาช่วยเลยสักนิดก็แปลกจริงๆ นี่โซระต่อสู้กับพวกตนมาได้ 3 วันแล้วแท่ๆ
อาซึมะหันกลับไปมองยังโซระ――หากจะพูดให้ชัดคือสร้อยข้อมือที่โซระสวมอยู่ จากนั้นเขาก็หันกลับไปคุยกับโดกะ
「อย่างที่คาการิบอกไว้ก่อนหน้านี้ โซระสวมสร้อยข้อมือของเผ่าเราเอาไว้ ก็แปลว่าเขาต้องมีสัมพันธ์อันดีกับเผ่าเราที่อาศัยอยู่นอกประตู นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความสัมพันธ์แปลกๆกับทางพวกคนเฝ้าประตูด้วยก็ได้」
มันสามารถอธิบายได้ว่าทำไมพวกคนเฝ้าประตูถึงไม่คิดจะช่วยเหลือโซระ หากเป็นไปตามที่เขาคิดจริง โอกาสที่จะดึงโซระมาเป็นพวกก็สูงขึ้น
โดกะถามอย่างสงสัยต่อความคิดของอาซึมะ
「แต่จะเป็นแบบที่เฮียคิดจริงเหรอ? ศัตรูของศัตรูก็ใช่ว่าจะเป็นมิตรกับเราได้ แม้ว่าเขาจะมีสัมพันธ์อันดีกับคนของเผ่าเราที่ด้านนอก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับพวกเราได้นะ」
「ก็อย่างที่เจ้าพูด ทว่ามันก็คงจะโง่เง่าเกินไปหน่อยหากพวกเราปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปโดยไม่คิดทำอะไรเลย ดังนั้นยอมข้าทีเถอะนะ โดกะ」
โดกะที่เห็นพี่ชายของตนแสดงสีหน้าจริงจังออกมาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
「หากเฮียยืนยันคำเดิมแบบนี้ ข้าก็ไม่คิดจะต่อต้านหรอก ทำตามที่เห็นสมควรเถอะครับ」
โดกะพูดและสาบานว่าตนจะติดตามอาซึมะต่อไปอย่างไม่มีข้อสงสัยอีกในเรื่องนี้
ทว่าเขาก็ยังไม่ลืมบางสิ่งขณะมองหน้าพี่ชายของตน
「อย่างไรก็ตาม ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เขาอยู่ในรถม้าคันเดียวกับเฮียได้หรอกนะ ข้าจะให้เขาไปคันเดียวกับข้า ได้โปรดเข้าใจจุดนี้ด้วย」
「อื้อ ตอนแรกก็วางแผนว่าจะคุยนั่นนี่กันระหว่างไปไซโตะสักหน่อยแท้ๆน้า……」
「คงจะไม่ได้ครับ ไม่ว่าโซระจะดีหรือไม่ แต่พวกพ้องอีกสองคนของเขายังมีแรงเหลือแถมความเป็นไปได้ที่พวกเขากำลังหมายหัวเฮียอยู่ก็สูง ข้าคงไม่ยอมปล่อยให้พวกนางขึ้นรถม้าไปกับเฮียได้หรอก」
ในนากายามะนั้น รถม้าที่ว่าหมายถึงรถที่ถูกลากโดยสัตว์อสูร ส่วนประเภทของสัตว์อสูรและขนาดของรถก็แตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งของคนนั่ง โดยปกติแล้วในรถนั้นก็จะมีคนขับ 1 พลธนูคุ้มกัน 1 พลหอกดูแลอีก 1
เพราะมีเงื่อนไขนี้อยู่ รถม้าก็จะบรรจุคนได้ประมาณ 3-4คน สูงสุดก็ 5 หากพวกเขาจะขึ้นรถม้าคันเดียวกันกับอาซึมะ ก็คงได้จะนั่งอัดกันแถมการคุ้มกันก็จะลำบากขึ้นไปด้วยเนื่องจากมันเกินลิมิต
สำหรับอาซึมะแล้ว การกระทำแบบนี้ก็เสมือนการสร้างความสบายใจให้กับโซระ โดกะเองก็รู้ แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้เป็นไปตามนี้ได้จริงๆ
อาซึมะก็ทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มให้น้องชายของตนที่สุดท้ายก็ไม่ยอมแพ้
「เอาเถอะ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอกแล้วกัน――โชโกะ!」
ราวกับตอบสนองการเรียก รถม้าคันหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาใกล้อาซึมะ โดยมีสัตว์อสูร 4 ขาชวนให้นึกถึงกวางผสมกับมังกรกำลังลากรถม้านั้นอยู่ มันคือสิ่งที่ไม่มีทางได้เห็นหากอยู่นอกประตูแน่ๆ
ก็ไม่แปลกอะไร เนื่องจากมันคือ กิเลนสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษที่อาศัยอยู่ภายในประตูปีศาจเท่านั้น
แม้มันจะถูกเรียกว่าสัตว์อสูรแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นและเชื่องกับพวกคิจินอีกต่างหาก แถมยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่าสัตว์ศํกดิ์สิทธิ์สำหรับพวกติจิน
คิรินตัวนั้นได้เดินมาหาอาซึมะแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหัวอย่างพึงพอใจ
จากนั้นก็เป็นตาของโดกะ พอเขาตะโกนว่าเอ็นคูมะ กิเลนตัวหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา แต่กิเลนตัวนี้ไม่ได้แสดงท่าทางที่ดูสงบนิ่งออกมา มันเตะพื้นไปมาราวกับจะถามว่าศัตรูคราวนี้คือใคร บางทีนิสัยที่ดุร้ายของกิเลนก็น่าจะขึ้นอยู่กับเจ้าของด้วยนั่นเอง
เมื่อโดกะขึ้นไปนั่งที่คนขี่ เขาก็บังคับมันให้เข้ามาใกล้กับโซระ โซระที่ได้เห็นกิเลนสีแดงในระยะใกล้ขนาดนี้ก็อดรู้สึกชื่นชมในภาพลักษณ์ของมันจนลืมเหนื่อยไปเลยไม่ได้จริงๆ
จากที่โซระเห็น กิเลนมีขนาดใหญ่กว่าม้าแต่เล็กกว่าไวเวิร์นคราม นิสัยก็ดูจะเชื่องดีแต่ถ้าได้ต่อสู้เมื่อไหร่เขาก็มองว่าพลังคงอยู่ในระดับพวกราชา
「โฮ่? ไอ้เจ้านี่มันตัวอะไรกันน่ะ สายพันธุ์ย่อยของมังกรเหรอ?」
ลัก๋ษณะของมันคล้ายกับการรวมเอาสิ่งมีชีวิตหลายสิ่งมาร่วมกันเอาไว้ บางคนดูอาจจะรู้สึกขนลุก แต่สำหรับโซระแล้วมันดูสวยและสง่างามมาก
แตกต่างจากสายตาสุดเฉียบคมในสนามรบ ตอนนี้โซระกำลังจ้องมองกิเลนด้วยแววตาราวกับเด็กน้อยเห็นของเล่น โดกะที่เห็นแบบนั้นก็สบายใจขึ้นด้วย ก่อนจะขจัดความเป็นศัตรูภายในน้ำเสียงของตนแล้วพูดกับโซระ
「ข้าจะพาเจ้าไปที่ไซโตะเอง ขึ้นมาได้เลย」
โซระก็ตอบสนองเสียงเรียกนั้นก่อนจะขึ้นรถม้าของโดกะไป ทางไคลอาและเออซูร่าก็ขึ้นตามไปอย่างว่าง่าย
หลังจากยืนยันแล้วว่าทุกคนพร้อม โดกะก็เริ่มขยับบังเหียนเบาๆ กิเลนสีแดงก็เริ่มหันหัวแล้ววิ่งไปยังทิศของเมืองไซโตะ โดยมีฝุ่นคลุ้งตามหลังรถม้าไป
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code