มันคือเสียงแจ้งว่ามีผู้บุกรุก แน่นอนว่าไม่ใช่คาซานเพราะพวกเขายอมจำนนแล้ว พวกคนเฝ้าประตูก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรด้วย ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่พวกมอนสเตอร์
แล้วก็เป็นไปตามที่คาการิคิด มีฝูงมอนสเตอร์บินมาทางเขาไดโกะ รูปร่างหน้าตาของมันคล้ายกับผึ้งยักษ์ หรือที่เรียกกันว่าเก็นโฮ
ราวกับมันถูกไล่ล่า――ไม่สิถูกชักจูง ภายในฝูงมอนสเตอร์นั้นได้มีชายสวมหน้ากากคิจินสีดำกำลังมุ่งหน้ามายังเขาแห่งนี้ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงตัวตนของเขา
พอได้ยินสัญญาณการโจมตีของมอนสเตอร์ ทั่วทั้งค่ายก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
ส่วนมอนสเตอร์ที่เข้ามาโจมตีก็คือเก็นโฮ มอนสเตอร์ที่คล้ายกับผึ้งขนาดเท่ามนุษย์ซึ่งผมเห็นมาระหว่างทาง
ร่างกายของมันห่อหุ้มไปด้วยเปลือกสีดำตามชื่อของมัน โดยปีกของมันนั้นโปร่งแสงใสราวกับคริสทัล ว่ากันตามตรงชวนให้นึกถึงมดที่มีปากมากกว่าผึ้งอีกแฮะ
กรามของมันดูแข็งแกร่งจนน่าจะสามารถฉีกกระชากแขนศัตรูได้อย่างง่ายดาย ท้องของมันก็พองเหมือนหม้อขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยพิษร้าย นอกจากการฉีดพิษเข้าร่างศัตรูแล้ว บางครั้งเก็นโฮยังสามารถพ่นพิษออกมาจากเข็มของมันได้อีกด้วย
พิษร้ายที่สามารถเผาไหม้ผิวหนัง ละลายเนื้อและกระดูกทันทีที่สัมผัส ไม่แปลกใจเลยที่คนตรงนี้จะหนักใจเมื่อต้องรับมือกับมอนสเตอร์พวกนี้ที่มากันเป็นฝูง
แถมจากนิสัยของมันแล้วหลังจากจัดการเหยื่อเสร็จ มันจะทำการลากเหยื่อกลับไปยังรังเพื่อเลี้ยงเหล่าลูกๆ ของมัน ยิ่งในช่วงฤดูวางไข่เคยมีหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกลถูกกวาดให้หายไปในคืนเดียวก็มี ดังนั้นจะบอกว่าพวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวก็ไม่ผิดนัก
ส่วนถ้าถามว่าพวกผมกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่พวกมันบุกมา
คำตอบก็คือ อยู่เฉยๆ แล้วจิบชารอ
「ข้าขอโทษพวกเจ้าด้วยละกันนะที่ต้องมาให้นั่งรอในนี้」
โซไซเป็นคนเปิดปากพูดขอโทษ
คิจินผมขาวมองมายังดวงตาของผมแล้วพูดต่อ
「ถ้าพวกเจ้าออกไปต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์แล้วใช้อาภรณ์วิญญาณ ข้าว่าพวกคนข้างนอกคงจะรู้ถึงตัวตนจริงๆ ของพวกเจ้าแน่ แล้วมันจะทำให้ฝ่าบาทกับท่านโดกะลำบากใจเอาได้ ดังนั้นก็เลี่ยงไว้แล้วกัน」
ดังนั้นพวกผมก็เลยมาอยู่ตรงนี้ ส่วนไคลอาก็กำลังคอยดูแลคลิมอยู่ที่ห้องข้างๆ ซึ่งมีกำแพงกั้นพวกผมไว้อยู่
ผมก็พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
ว่ากันตามตรงมันก็ไม่ค่อยสบอารมณ์หรอกที่ต้องเสียโอกาสกินวิญญาณไป ทว่าก็อย่างที่โซไซบอกเดี๋ยวเรื่องยุ่งยากมันจะตามมาเยอะหากผมปล่อยตัวปล่อยใจ คราวนี้ก็เลยต้องอดทนเอาไว้ก่อน นอกจากนี้คิดซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่เขาช่วยคลิมเอาไว้ด้วยก็ดี แถมพวกผมก็ไม่ได้ถูกมัดมือมัดเท้าเสียหน่อย
นอกจากนี้ผมก็รู้ดีว่าสาเหตุที่โซไซอยู่ในห้องนี้ก็เพื่อเป็นตัวประกันให้กับพวกผม แสดงเจตจำนงว่านากายามะไม่คิดจะเล่นตุกติกอะไร ไม่มีความตั้งใจจะล่อมอนสเตอร์มาทำร้ายพวกผม ไม่งั้นพวกเขาคงไม่ยอมปล่อยโซไซไว้ในนี้หรอก
มันก็เลยเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมยอมรับคำขอของฝั่งนั้น
เอาละพอต้องมานั่งเฉยๆ ตามคำขอของอีกฝ่าย แล้วระหว่างนี้ผมจะทำตัวยังไงดีล่ะ คือชาที่หมอนี่ชงมามันก็อร่อยจริงๆ แหละ แต่จะให้จิบชาไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ไหวนะ
หลังคิดสักพัก ผมก็เลือกจะถามนั่นนี่กับโซไซ รวมไปถึงอาการของคลิมด้วย เช่นเรื่องแขนขวา ว่าจะกลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิมไหม
พอถูกถามแบบนั้นเขาก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
「ข้าจัดการพวกหนองบริเวณแผลเรียบร้อยหมดแล้ว ทางท่านคาการิเองก็รักษาแขนที่ขาดไม่ให้เสียหายอะไรจึงสามารถต่อติดร่างได้เหมือนเดิม ทว่าปัญหาคือแขนที่เชื่อมไปแล้วนั้นจะขยับได้เหมือนเดิมไหมอันนี้ข้าก็ตอบไม่ได้ สุดท้ายก็มีแต่ต้องลองรักษาตามอาการต่อไปเรื่อยๆ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่ฝีมือของข้ามาได้เพียงเท่านี้ จึงไม่อาจรับประกันอะไรได้」
โซไซก้มหัวราวกับกำลังขอโทษพวกผม คือผมก็ไม่ได้จะตำหนิเขาหรอก ผมเข้าใจดีว่าการจะต่อแขนที่ขาดให้กลับมาได้มันยากขนาดไหน
แม้จะได้โพชั่นจากเลือดของผมแต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังถึงขนาดมันจะช่วยให้แขนที่ขาดกลับมาต่อติดแล้วใช้งานได้เหมือนเดิมหรอก
ยังไงตอนนี้ก็ถือว่าคลิมปลอดภัยดีแล้ว ทว่าหากนึกถึงความรู้สึกของไคลอาต่อจากนี้ ผมก็อยากจะลองหาวิธีช่วยอะไรเพิ่มเหมือนกัน
ในระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้โซไซก็พูดต่อ
「หากอยากวาดฝันให้ร่างกายของเขากลับมาเป็ฯดั่งเดิมก็คงต้องพึ่งพาพระเจ้าเสียแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกำหนดได้เองหรอก」
「จะบอกว่าหากเป็นปาฏิหาริย์ของพวกนักบวชอาจจะพอมีหวังสินะ? 」
「มันก็ใช่ หากเป็นพระสันตะปาปาที่อยู่ในศูนย์กลางของลัทธิแห่งแสง เขาสามารถใช้ปาฏิหาริย์อย่าง 『ฟื้นฟู』ช่วยรักษาแขนนั่นได้แน่นอน แต่เขาไม่ใช่คนที่จะเจอตัวได้ง่ายๆ แถมถึงพบได้ค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ ก็คงหนักพอตัว………」
.
เอาง่ายๆ ก็คือปาฏิหาริย์ของพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับเงิน จะในหรือนอกประตูก็ไม่ต่างกันจริงๆ
――ทว่ามันคือ『ฟื้นฟู』จริงๆ เหรอ
ผมกอดอกคิด เพราะ『ฟื้นฟู』นั้นคือสิ่งที่สามารถรักษาได้แม้กระทั่งแขนที่ขาดไปให้กลับมาเป็นปกติ มันคือสิ่งที่สันตะปาปาโนอาห์จากนครศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ได้แถมนอกจากสันตะปาปาแล้วก็ไม่มีใครในทวีปจะใช้มันได้อีก ดังนั้นหากคำพูดของไซโซเป็นเรื่องจริง สันตะปาปาของลัทธิก็คงต้องอยู่ในระดับเดียวกับโนอาห์คนนั้น
หากไคลอาได้ยินเรื่องนี้เข้า เธอคงพยายามเข้าพบสันตะปาปาของลัทธิแน่ ตามที่ผมได้ยินจากโดกะเหมือนน้องชายของเขาที่ชื่อฮาคุโร่ก็จะเป็นบิชอปของลัทธิด้วยนี่นะ
ดังนั้นหากขอเรื่องนี้ผ่านนากายามะไปก็อาจจะได้ผล
ว่ากันตามตรงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมต้องลงแรงกับคลิม ทว่าเรื่องของสันตะปาปาจากลัทธิแห่งแสงมันค่อนข้างน่าสนใจ ผมอาจจะได้รู้เรื่องเมื่อ 300 ปีก่อนมากขึ้นด้วย แถมจากคนที่เกี่ยวข้องสุดๆ ลัทธิแห่งแสงอย่างพระสันตะปาปาอีก
พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลยจะเปิดปากพูดกับโซไซต่อ
「อ-เอ่อคือ……!」
เสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่าดังขึ้น ผมจึงหันไปดู
แล้วก็พบว่าเป็นเสียงของเด็กชายที่ชื่อยามาโตะ ที่เอาแต่นั่งเงียบมาจนถึงเมื่อครู่
เด็กคนนี้คือทายาทของคาซาน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกมาและพูดจาสุภาพเสมอ แม้จะทั่งกับผมที่เป็นมนุษย์แถมเห็นได้ชัดเลยว่าเขาชื่นชมคลิมเอามากๆ ดังนั้นผมก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนของคลิม
หากพวกเขารู้ถึงสายสัมพันธ์จริงๆ ระหว่างผมกับคลิมเข้าคงได้เปลี่ยนสีหน้าที่มองตอนนี้แน่
「มีอะไรเหรอ? 」
「คือ เคิร์ท…ไม่สิ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรจะส่งท่านคลิมไปยังลัทธินะครับ!」
「หือ? ทำไมกันล่ะ?」
ผมถามกลับด้วยความสงสัย
ทว่ายามาโตะกลับเงียบไป ก่อนจะพยายามพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจากปากเขา
พอผ่านไปสักพักเขาก็เหมือนจะลังเลอย่างหนัก โดยมองตาของผมกับเออซูร่าสลับไปมา
「คือว่า พวกท่านไม่ได้ยินเรื่องอะไรจากท่านคาการิเลยเหรอครับ เกี่ยวกับลัทธืแห่งแสง」
「เกี่ยวกับลัทธิเหรอ? ก็ไม่เคยได้ยินอะไรจากหมอนั่นเลยนะ」
หลังจากตอบยามาโตะไป ผมก็มองไปทางโซไซแล้วเห็นว่าเขาก็เอียงคอสงสัยเหมือนกัน
「ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เช่นกัน ท่านยามาโตะ สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงท่านคาการิกำลังแอบหาข้อมูลของลัทธิเฉยๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นเหรอ? 」
ดูเหมือนว่ายามาโตะจะหนักใจจริงๆ ที่ต้องพูดเรื่องพวกนี้สีหน้าของเขาแสดงความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เรื่องที่เขารู้มาคงจะหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กอายุไม่ถึง 10 ปี
ยิ่งได้เห็นท่าทางของยามาโตะ โซไซก็หมวดคิ้วสงสัยและพยายามถามเพิ่ม ตัวของโซไซน่าจะเป็นผู้ศรัทธาของลัทธิแบบจริงจัง เพราะลักษณะการพูดถึงลัทธิของเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
ไหล่ของยามาโตะสั่นเล็กน้อยพอเห็นคนที่มีอายุมากกว่าตนส่งสายตามาแบบนี้ หากรันพี่สาวของเขาอยู่ตรงนี้ก็คงจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้เธอคอยดูแลคลิมอยู่กับไคลอาที่ห้องข้างๆ
เออซูร่าก็เหมือนจะตัดสินใจแต่แรกแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้
สุดท้ายก็เหลือแต่ผมที่ต้องช่วยจัดการสินะ ทว่าก่อนจะได้ทำแบบนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อนโดยไม่มีเสียงใดๆ
คือพวกสิ่งก่อสร้างภายในเขาไดโกะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วนโดยกองทัพกบฏ การก่อสร้างไม่ได้ถูกสร้างอย่างถูกต้องนัก ตัวอย่างเช่นประตูที่การเปิดนั้นจะส่งเสียงออกมาดังทุกครั้งที่ถูกเปิดปิด
ทว่าเสียงที่ควรจะมีนั้นกลับหายไป แล้วปรากฏร่างหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
เป็นนักดาบที่สวมหน้ากากคิจิน4ตาเอาไว้ ซึ่งมาพร้อมกับดาบสีขาวที่ดูแหลมคม
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือผมแทบจะสัมผัสตัวตนของเขาไม่ได้เลย เขาก้าวเข้ามาด้วยความเงียบงันพร้อมกับชักดาบออกมา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือศัตรู ทว่าผมกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าเลยสักนิด
ความเงียบงันอันน่าสะพรึงกลัวความสงบนิ่งที่เหมือนกับความว่างเปล่า
ไม่ใช่แค่ยามาโตะ ทั้งผมและโซไซต่างก็ตอบสนองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่ทัน กว่าจะรู้สึกตัวอีกฝ่ายก็ชักดาบเดินเข้ามาหาแล้ว แบบนี้พวกผมคงไม่สามารถรับการโจมตีแรกของเขาได้แน่
ยังไงก็ไม่มีทางรับมือทัน
ทว่าเหตุผลที่พวกผมไม่ได้ถูกจบชีวิตลงก็เป็นเพราะมีคนหนึ่งในห้องนี้หยุดมันเอาไว้
「เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ!!」
เออซูร่าตะโกนเปิดใช้งานอาภรณ์วิญญาณของเธอ สีหน้าของเธอในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ว่าจะตอนนี้หรืออดีต
「จงสะพรั่ง ไรกะ!!」
ดาบของเธอถูกชักออกมาด้วยความรวดเร็วและฟาดฟันไปยังศัตรูแทบจะในเวลาเดียวกัน ความรุนแรงของมันนั้นมากพอจะบดขยี้ร่างของมนุษย์ให้แหลกสลายได้ในพริบตา
นี่คือการเผชิญหน้ากับศัตรูผู้สวมหน้ากากคิจิน 4 ตา ซึ้งคล้ายกับคิจินที่สังหารพ่อของเธอในอดีต
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code