ตอนที่ 236 เสียงรบกวน
「――และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนค่ะ」
หลังจากเล่ามาซะยาว ในที่สุดสันตะปาปาก็ปิดทิ้งท้ายด้วยประโยคดังกล่าว
พอผมฟังจบ ก็เผลอถอนหายใจออกมา เรื่องที่เธอเล่านี่หนักเอาเรื่องเลยแฮะ
สิ่งที่ถูกผนึกไว้หลังประตูไม่ใช่เทพปีศาจ แต่เป็นมังกร และคนที่ทำสิ่งนี้ก็ไม่ใช่นักบุญดาบคนแรกแต่เป็นอาโทริแห่งเผ่าคิจิน นักบุญดาบแห่งมิตสึรุกิผู้เอาชนะเทพปีศาจและกอบกู้โลกไว้เป็นเพียงคำลวงที่โซเฟีย อาเซอร์ไรท์สร้างขึ้นมาร่วมกับคาซึมะ มิตสึรุกิ
เพื่อให้คำลวงนั้นเป็นจริง ทั้งสองทำการเปลี่ยนพวกคิจินให้เป็นตัวร้ายและขับไล่พวกเขาออกจากทวีปหลัก แม้ว่าผลงานในสงครามคราวนั้นจะเป็นฝีมือของพวกคิจินซะส่วนใหญ่ แต่มนุษย์ก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตพวกคิจินที่ยังหลงเหลือในทวีปหลักเลย ซึ่งก็โซเฟียนี่แหละเป็นคนนำกวาดล้าง
ผลก็คือคิจินบนทวีปหลักเกือบจะสูญสิ้น พวกคิจินที่ถูกผลักเข้ามาในคิไคก็ต้องใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบากกว่า 300 ปี บนผืนดินอันรกร้างพวกเขาต้องฆ่าฟันและกลืนกินกันเองเพื่อความอยู่รอด
พอพิจารณาถึงประวัติศาสตร์ที่ลัทธิกับคำพูดของจักรพรรดิอมาเดอุสที่ 2 แล้ว ดูเหมือนจักรวรรดิกับวิหารเทพแห่งกฎหมายจะมีส่วนเกี่ยวข้องในแผนด้วย การกล่าวโทษทุกสิ่งอย่างว่าเป็นฝีมือของคิจินและเข้ามาดูแลทวีปหลังสงครามจบจนเบ็ดเสร็จ จึงทำให้พวกเขารุ่งเรืองมาถึงตอนนี้ได้
เหตุผลที่ตระกูลมิตสึรุกิสามารถรักษาตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ภายในจักรวรรดิมายาวนานนอกจากฝีมือในเรื่องมายาดาบเดียวแล้วก็คงจะเป็นเพราะเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เมื่อ 300 ปีก่อน
――ความจริงที่ผมได้พบมันพอจะล้มล้างประวัติศาสตร์ของทวีปที่เคยมีมาเหมือนที่อมาเดอุสที่ 2 บอกเอาไว้จริงๆ แน่นอนว่าหากเรื่องพวกนี้หลุดออกไปได้เกิดความวุ่นวายทั่วทวีปแน่
อย่างไรก็ตามไอ้ของพวกนั้นมันเป็นงานของคนใหญ่คนโตอย่างกษัตริย์หรือจักรพรรดิจะตัดสินใจ ไม่ใช่งานของผม
แต่ที่ผมสงสัยจริงๆ ก็คือเหตุผลที่สันตะปาปาโซเฟีย อาเซอร์ไรท์ผู้นำบอกความจริงกับผมต่างหาก
คือผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายขอร้องให้เธอบอกเรื่องเมื่อ 300 ปีกับผม แต่ลิชที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นผู้บงการเรื่องราวที่บิดเบี้ยวทั้งหมดในประวัติศาสตร์ กลับเปิดเผยทุกสิ่งที่เธอทำให้ผมได้รู้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็แปลว่าเธอต้องการบางอย่างจากผมเป็นสิ่งตอบแทน
「ขอขอบคุณที่เล่าเรื่องน่าสนใจให้ฟังก็แล้วกัน แต่เธอต้องการอะไรจากฉันกันล่ะ? 」
ผมถามออกไปตรงๆ มันไม่ใช่ฉากที่ผมจะต้องมาตกใจเล่นใหญ่อะไร แถมไม่อยากทำด้วยแหละ
แล้วคำตอบก็เป็นไปตามคาด
「มาร่วมมือกับฉันสิคะ เพื่อทำให้โลกใบนี้บริสุทธิ์ สิ่งที่พวกเราไม่สามารถทำมันได้สำเร็จเมื่อ 300 ปีก่อน แต่คราวนี้แหละค่ะ…」
สันตะปาปายิ้มและกางแขนทั้งสองข้างออกมาราวกับจะเข้ามากอดผม การที่เธอแสดงท่าทางเหมือนกำลังรออ้อมกอดจากคนที่รักนั้นมันแปลกชะมัด นี่เธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิดหรือไงว่าผมจะไม่เล่นด้วยน่ะ
คนที่เธอเห็นตรงหน้ามันเป็นใครกันแน่นะ
แต่ผมก็ตอบกลับไปเพียงสั้นๆ
「ขอผ่านละกัน ฉันไม่ได้สนใจเรื่องของลัทธิหรือการชำระล้างโลกอะไรนั่นหรอก」
แม้ว่าจะถูกผมปฏิเสธ แต่สันตะปาปาก็ยังคงยิ้มออกมาอย่างสดใส
「หากเราไม่สามารถชำระล้างโลกใบนี้ได้ คำสาปของมังกรก็จะกัดกินทวีปต่อไป นั่นหมายความว่าท่านจะไม่รู้เลยนะคะ ว่าวันใดเงื้อมมือของพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจะฉีกกระชากร่างของคนที่ท่านรักไปแบบนั้นจะดีเหรอคะ? 」
「มันก็ไม่ได้ดีหรอก แต่จะให้ฉันทำตามที่เธอพูดเลยก็ไม่ไหว ก็จริงว่ามันเป็นเรื่องที่ดูสวยหรู แต่สุดท้ายมันก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่าให้หมอบคลานกับพื้นและน้อมรับคำตัดสินของมังกร แถมไม่รู้ด้วยว่าคนที่ฉันรักหรือห่วงใยจะรอดไหมหากมังกรตัดสินไปแล้วนี่ ไม่ไหวๆ 」
ผมไม่สามารถปักใจเชื่อกับเรื่องอย่างการกลายมาเป็นผู้ศรัทธาของลัทธิแล้วจะรอดจากมังกรหรอก หากมังกรมันเป็นพวกที่มีสติปัญหาพูดคุยกันรู้เรื่องมันก็คงไม่เอาความแค้นของตัวเองมาลงกับคนในตอนนี้หรอก
สันตะปาปาเอียงคอเหมือนสงสัยไม่เข้าใจแต่รอยยิ้มของเธอก็ไม่ได้หายไป
「หรือก็คือท่านจะไม่มีทางร่วมมือกับฉันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสินะคะ? 」
พอมาถึงจุดนี้ผมก็ตัดสินใจจะเปลี่ยนวิธีการพูดนิดหน่อย
คือจนถึงตอนนี้ผมก็พูดพอจะให้เกียรติเธอระดับหนึ่ง แต่พอเจอแบบนี้เข้าไปทำเอาไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยละสิ ฟังไปฟังมาชักจะกลายเป็นเสียงรบกวนแทน
「อ้า ก็งั้นแหละ」
「เข้าใจแล้วค่ะ น่าเสียดายจริงๆ 」
แม้ใบหน้าเธอจะยังมีรอยยิ้มอยู่ขณะพูดออกมา แต่ความรู้สึกอันน่าขนลุกกลับแผ่ออกมาจากตัวของเธอ ราวกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่นั้นเป็นเพียงหน้ากากที่สวมเอาไว้เพื่อซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้
จากนั้นเธอก็จ้องมายังผมก่อนจะพูดต่อ
「น่าเสียดายจริงๆ ค่ะ หากเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้ท่านมาร่วมมือกับฉันแท้ๆ 」
พอสิ้นเสียงนั้นเธอก็ทำการปรบมือ
วินาทีต่อมา พลังเวทที่มีความเข้มข้นสูงก็เอ่อล้นออกมาจากร่างเล็กๆ ของเธอ จนเกิดลมกระโชกแรงขึ้น จนทำให้ตัวผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอต้องถอยไปประมาณหนึ่งถึงสองก้าว
คือผมก็ไม่ได้กลัวพลังเวทของอีกฝ่ายอะไรหรอก แต่แค่รู้สึกประหลาดใจ
ชารามอนที่เป็นลิชเหมือนกันเทียบไม่ติดเลยสักนิด แม้แตลาสคาริสตอนที่เผาเบฮีมอธก็ไม่ได้ปลดปล่อยพลังเวทออกมามากขนาดนี้เลย
สายตาของสันตะปาปาที่ยืนอยู่ใจกลางของคลื่นพลังเวทจ้องผมไม่กะพริบเลยวุ้ย
「หากท่านปฏิเสธ ฉันก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นนิดหน่อย」
พอพูดจบพลังเวทของเธอก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจนเกิดเป็นกระแสน้ำวนพุ่งออกมารอบตัวเธอ มันหนาแน่นมากคล้ายกับพลังแห่งบรรพกาลที่กำเนิดมาจากผืนโลก ความรู้สึกของมันคล้ายกับที่ผมสัมผัสได้ตอนอยู่รังมังกร ไม่สิมันคืออันเดียวกันเลย
ด้านหลังของสันตะปาปาที่มีร่างขนาดยักษ์ของมังกรอยู่เริ่มเกิดแรงสั่นสะเทือนราวกับมันกำลังเริ่มเคลื่อนไหว ไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันกำลังหัวเราะอยู่เลยนะ
「การรอคอยมาตลอด 300 ปีของฉัน…จะให้รอต่อไปก็คงไม่ไหวแล้วค่ะ――――อัญเชิญเทพสถิต」
สิ้นเสียงนั้นผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเริ่มพังทลาย
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code