ตอนที่ 253 ที่มาของความเกลียดชัง
「ลูเซียส!!」
พอได้ยินเสียงลูเซียสกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันทีที่รับหมัดของโซระเข้าไป เซน่อนก็รีบรุดเข้าไปช่วยเหลือลูกชายตนทันที
ท่าโซระก็ไม่ได้ยืนเฉยๆ รอให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือกัน เขาทำการเสริมแรงไปยังช่วงขาของเขาแล้วหมุนตัวเตะเข้าไปยังสีข้างของลูเซียสอย่างรุนแรง
「――อึก!!」
การโจมตีคราวนี้ทำให้ลูเซียสส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้อีก ก่อนที่ร่างจะงอเป็นตัว C จากการโดนเตะเข้าสีข้าง ร่างของเขากระเด็นไปในอากาศทันที
ในขณะที่ลูเซียสกำลังลอยลองไปมาบนอากาศเซน่อนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาลูกชายของเขาให้เร็วที่สุดเพื่อทำการรับร่างของลูกชายไว้ก่อนจะกระแทกกับพื้น โดยใช้มือซ้ายรับเอาไว้ ส่วนมือขวาก็จับอาภรณ์วิญญาณชี้ไปทางโซระเพื่อคุมเชิง
「ลูเซียส!」
เซน่อนพยายามเรียกลูเซียส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไรกลับมา
ใบหน้าของลูเซียสบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด มือขวาเละไม่เหลือซาก เลือดค่อยๆ ไหลรินออกมาจากปาก การเตะของโซระนั้นได้ทะลวงบาเรียคิของลูเซียสเข้ามาและสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในเต็มๆ เฉกเช่นเดียวกับมือขวา
รอยย่นระหว่างคิ้วของเซน่อนเริ่มมีมากขึ้น
เห็นได้ชัดเลยว่าตอนรู้กับรากุนะ โซระนั้นยั้งมือเอาไว้มากขนาดไหน อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะยั้งมือแค่ไหน แต่มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะสามารถจัดการกับรองหัวหน้าหน่วยโดยไม่ใช้แม้แต่อาภรณ์วิญญาณ
ไม่สิ โซระได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้เซน่อนเห็นแล้วและมันก็ชวนให้เซน่อนนึกถึงเรื่องราวของหัวหน้าหน่วยคนก่อนที่เคยเล่าให้เขาฟัง
――เทคนิคการต่อสู้ของพวกคิจิน ที่สามารถทะลวงบาเรียคิเข้ามาได้โดยไม่สนสิ่งใด มันคือสิ่งที่เขาได้ยินมา เมื่อ 50 ปีก่อนบริเวณเขาไดโกะ จำได้ว่าตอนนั้นนักรบแห่งผืนป่าตายกันไปไม่น้อยเลย…
ทว่าไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเซน่อนเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 เขาก็ไม่เคยเจอคิจินที่ใช้เทคนิคดังกล่าวเหมือนที่หัวหน้าหน่วยคนก่อนเล่ามาเลยสักครั้ง แถมพวกพ้องคนอื่นๆ ของเขาก็ไม่เคยเจออีก
เซน่อนก็เลยเดาว่าพวกที่สามารถใช้เทคนิคดังกล่าวได้น่าจะหายสาปสูญไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นเทคนิคลับที่ส่งต่อกันในพวกระดับสูงเท่านั้น
หากเทคนิคที่โซระใช้มันเป็นไปตามที่เซน่อนคาดเดา ก็หมายความว่าโซระได้รับความไว้วางใจจากพวกคิจินถึงขึ้นพวกมันส่งต่อเทคนิคลับนี้ให้กับเขา
พอคิดได้แบบนี้เซน่อนก็ทำใจยอมรับไม่ได้
――โซระผู้มีสายเลือดของมิตสึรุกิไหลเวียนอยู่ให้ทำการสร้างสัมพันธ์กับคิจินอย่างใกล้ชิด นี่มันเป็นการทำลายกฏเกณฑ์แห่งมิตสึรุกิที่มีมาแต่โบราณเห็นๆ
หากโซระได้ขึ้นไปเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปความล่มจมได้มาเยือนพวกเขาแน่ แต่หากคิดอย่างใจเย็นสักนิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีวันเกิดขึ้นได้
เพราะโซระจะต้องตายที่นี่ ในวันนี้
แม้ว่าเซน่อนจะพ่ายแพ้ให้กับเขา แต่ชิกิบุก็จะเป็นคนจัดการกับโซระแทน เพราะไม่มีทางที่นักบุญดาบผู้เป็นร่างอวตาลแห่งความถูกต้องจะไว้ชีวิตลูกชายของตนที่ฝักใฝ่ความชั่วร้าย
ชะตากรรมของโซระได้ถูกตัดสินไปตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกับคิจินแล้ว โซระไม่มีทางยึดครองตระกูลมิตสึรุกิได้เป็นแน่ นั่นคือสิ่งที่เซน่อนย้ำบอกตัวเอง
….แต่ไม่ว่าเขาจะพร่ำบอกกับตัวเองสักแค่ไหน ลางสังหรณ์แปลกๆ ที่คิดว่านั่นจะกลายเป็นเรื่องจริงกลับไม่จางหายไป
「นี่ข้ากำลังคิดบ้าอะไรกันอยู่นะ」
เซน่อนมองดูร่างของโซระขณะตั้งท่าเตรียมสู้
มันคือลางสังหรณ์ที่ไร้ซึ่งพื้นฐานใดๆ แต่เพราะแบบนั้นมันก็เลยไม่มีจุดให้ปฏิเสธหรือหักล้างด้วยทฤษฏีเช่นเดียวกัน ดังนั้นวิธีเดียวที่จะขจัดความปั่นป่วนภายในจิตใจออกไปก็คือการเอาชนะชายหนุ่มตรงหน้าตน
นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเซน่อน รากุนะ และมิตสึรุกิ
「――อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า」
เรื่องการป้องกันด้วยบาเรียคิตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเขาเห็นสภาพลูเซียสที่พยายามรับมือด้วยสิ่งนั้นมาแล้ว หากเขาได้รับการโจมตีของโซระเข้าไปเพียงครั้งเดียว ร่างเนื้อของเขาคงได้มีสภาพไม่ต่างกับเซน่อนแน่
ซึ่งต่างจากโซระที่มีพลังในการฟื้นฟูตัวเอง หากกระดูกของเซน่อนหักไปสักท่อนสองท่อน ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็จะลดลงไปด้วย
โซระในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนแมงป่องที่มีพิษร้าย เพื่อจะเอาชนะสิ่งนี้ให้ได้ เขาจำเป็นต้องปิดเกมให้เร็วที่สุดด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุด
รากุนะเองก็เคยคิดแผนแบบนี้มาแล้วจึงปลดปล่อยเทคนิคลับออกไป แต่น่าเสียดายที่มันไม่เพียงพอจะจัดการจับโซระ
แต่เซน่อนนั้นต่างออกไป เขาเชื่อว่าเขามีพลังมากพอจะจัดการกับโซระให้ได้ในการโจมตีเดียว
「จงวิ่งไล่หมู่ดาวสุริยะ เรกูลัส! (ประกายดาราใจสิงห์) 」
ในวินาทีถัดมา ออร่าความแข็งแกร่งของเซน่อนก็ขยายวงกว้างขึ้นและระเบิดออกมา มันแตกต่างจากร่างที่เป็นอาภรณ์วิญญาณอย่างสิ้นเชิง จนสามารถสั่นเทือนท้องฟ้าและผืนดินเมืองชูโตะได้
แล้วก็เฉกเช่นเดียวกับอาภรณ์วิญญาณที่แต่ละคนนั้นจะมีความต่างกันออกไปตามแต่ควรจะเป็น อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าก็เหมือนกัน มันมีความสามารถอยู่หลากหลายรูปแบบตามแต่ตัวของผู้ใช้ บ้างก็ออกมาในรูปแบบของเทคนิคต่อสู้ที่แปลกใหม่ บ้างก็เปลี่ยนรูปร่างของอาวุธ บ้างก็เสริมความสามารถเพิ่มเติมจากเดิมที่มี ส่วนอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าที่เซน่อนถือครองนั้นเป็นการแปรเปลี่ยนรูปร่างอาวุธและเสริมความแข็งแกร่งให้ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ดาบขนาดใหญ่ที่เคยถือได้แปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวที่งดงาม รูปร่างที่ดูใหญ่โตก็เล็กลงมาจนไม่ต่างกับดาบทั่วไปที่ถือจับได้ง่ายกว่า ทว่าในขณะเดียวกันความหนาแน่นของพลังที่ห่อหุ้มเอาไว้นั้น ดาบใหญ่ในตอนแรกเทียบไม่ได้เลยสักนิด
ว่ากันว่าหลังเลโอนีเมียนได้ถูกสังหารลง มันก็ได้ปีนป่ายขึ้นไปยังท้องฟ้าดวงดาราและกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวสิงห์ อย่างเรกูลัสซึ่งสว่างไสวที่สุดในกลุ่มดาว
เซน่อนได้ทำการใช้ดาบแห่งแสงดาวเปิดการโจมตีถัดไปทันทีโดยไม่รีรอ
「มายาดาบเดียว กระบวนท่าประสานตะวัน――」
นอกเหนือจากเทคนิคลับทั้ง 8 แล้ว สิ่งที่เซน่อนกำลังใช้อยู่ก็คือการประสาน ซึ่งถูกเรียกว่าผืนภาพทั้ง 4
ด้วยเทคนิคนี้ที่ปลดปล่อยออกมาจากพลังของอาภรณ์แห่งความว่างเปล่า มันจะหมายถึงความตายของอีกฝ่ายที่ต้องรับการโจมตีนี้เข้าไป โดยไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นซาก
「ดาบเพลิงสีชาด!!」
เซน่อนได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่ตนฝึกฝนและสั่งสมมาทั้งชีวิตใส่โซระในครั้งเดียว
ทางโซระที่เห็นแบบนั้นก็――
「เคนริวซาซากากิ」
เขาทำการปลดปล่อยเทคนิคการป้องกันออกมาทันที
โดยชื่อของเทคนิคดังกล่าวนั้นมันสื่อถึงรั้วไม้ไผ่ ซึ่งเป็นเทคนิคป้องกันที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องเขาจากลมหายใจของเบฮีมอธที่ทะเลทรายคาตาลานมาแล้ว
เมื่อเทคนิคป้องกันได้เข้าปะทะกับการโจมตีอันทรงพลังของเซน่อน
เสียงคำรามกึกก้องก็ดังไปทั่วเมืองชูโตะ
◆◆◆
เขาไม่สามารถหยุดหนาวสั่นได้เลย ร่างของของเขามันเย็นไปหมดราวกับความตื่นเต้นของการต่อสู้ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก
เหงื่อหยดใหญ่ได้หลั่งรินผ่านหน้าผากของมิตสึรุกิ รากุนะ ไม่นานนักเขาก็ทำการปาดเหงื่อและมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตนซึ่งกำลังเปียกปอนด้วยเหงื่อ มันยังอุ่นอยู่ นี่คือการพิสูจน์ว่าร่างกายของเขาไม่ได้สูญเสียความร้อนไปแต่อย่างใด
ทว่าถึงร่างกายของเขาจะร้อนมาจนมีเหงื่อออกมา แต่ความหนาวเย็นที่สัมผัสได้นั้นมันน่าจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ แล้วไม่นานเขาก็ได้คำตอบของสาเหตุในเรื่องนี้
――ใช่แล้ว เขากำลังรู้สึกกลัวอยู่จริงๆ
มันคือตอนที่รากุนะได้เห็นโซระกำลังต่อสู้กับเซน่อนอย่างดุเดือด
เลือดได้เริ่มไหลออกมาจากหน้าผากของโซระ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง บาดแผลได้เกิดขึ้นตามมือซ้ายและขวา เลือดของโซระสาดกระเซ็นไปมาทุกครั้งที่ชกหรือปะทะกับการโจมตีของเซน่อน
บาดแผลของโซระได้เกิดขึ้นมาแล้วจากเทคนิคประสานของเซน่อน มันช่างแตกต่างกับเทคนิคลับของรากุนะที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับโซระได้เลย
อย่างไรก็ตามฝ่ายที่กำลังแสดงสีหน้าตกอยู่ในที่นั่งลำบากออกมากลับเป็นเซน่อนหาใช่โซระ
ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะขนาดว่าตัวเซน่อนเป็นถึงหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 แถมยังปลดปล่อยเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดของเขาออกมาแล้ว กลับยังไม่สามารถโค่นโซระซึ่งไม่เปิดใช้งานอาภรณ์วิญญาณลงได้
แม้ว่าโซระจะได้รับบาดแผล แต่มันก็ช่างห่างไกลกับการเรียกว่าสาหัส ทันทีที่โซระเกิดบาดแผลขึ้น มันก็จะเริ่มทำการสมานในทันที
เซน่อนได้ทำการเผยไพ่ในมือจนหมดแล้ว ในขณะที่โซระยังมีไพ่ในมืออยู่อีกมาก มองจากมุมไหนก็รู้ว่าฝ่ายไหนกำลังเสียเปรียบ
――ไม่สามารถเทียบเคียงได้เลยสักนิด
รากุนะคร่ำครวญอยู่ภายในใจ
ทั้งที่โซระซึ่งเป็นถึงลูกชายคนโตของตระกูลมิตสึรุกิ แต่กลับไม่สามารถใช้งานอาภรณ์วิญญาณได้จนถูกหลายคนดูหมิ่น เมื่อเจอแบบนั้นเขาก็มักจะเดินก้มหน้าไหล่ตกแล้วจากไปเสมอ
นั่นสิคือโซระที่รากุนะควรจะรู้จัก ทั้งน่าสงสารและไร้ความสามารถ
ตัวรากุนะเหนือกว่าโซระทุกด้านและมีคุณสมบัติในการเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไปมากกว่าโซระเป็นไหนๆ ――นั่นคือสิ่งรากุนะเชื่อมั่น
ทว่าการเติบโตของโซระในตอนนี้มันได้ทำลายความมั่นใจของรากุนะไปเสียจนหมดสิ้น จนทำให้รากุนะรู้สึกกลัว
ความกลัวที่รากุนะไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ
――หากโซระกลับมาได้จริงๆ ทั้งแม่ของเขาและอายากะก็จะ….
เสียงกัดฟันแน่นได้ดังออกมาจากว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลมิตสึรุกิ
ก็อย่างที่ได้พูดไปว่า สำหรับรากุนะแล้วโซระคือพี่ชายที่ไร้ความสามารถและน่าสมเพชในเวลาเดียวกัน แต่แล้วทำไมกันคนที่ไร้ความสามารถและน่าสมเพชขนาดนั้นถึงได้รับทุกสิ่งที่รากุนะต้องการไป
เขายังจดจำมันได้ดี ในวันที่เขาได้กลับไปบอกเอ็มมะผู้เป็นแม่ถึงเรื่องที่เขาได้กลายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไปแทนโซระ
ในวันที่โซระถูกเนรเทศนั้น แม่ของเขากำลังนอนป่วยติดเตียงอยู่ รากุนะเลยตัดสินใจว่าจะบอกกับแม่ของเขาหลังจากโซระออกจากเกาะไปแล้วได้ 3 วัน
เขาคิดว่าแม่ของเขาคงจะมีความสุขไม่น้อย ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้บานมาให้กับเขาแล้วชมเขาที่พยายามอย่างหนัก
ทว่ารากุนะก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกเลย เมื่อแม่ของเขาได้ยินเรื่องของโซระ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบลุกขึ้นและออกจากห้องไป จนทำให้รากุนะได้แต่ตะลึงนิ่งไป
ไม่นานนักพอเขาได้สติ เขาก็รีบตามแม่ของตนไป แล้วก็พบว่าแม่ของเขากำลังเข้าไปพบกับพ่อของเขาอย่างอุกอาจ
เท่าที่รากุนะรู้มา แม่ของเขาไม่เคยแสดงท่าที่อะไรแบบนี้มาก่อนเลย เธอดำรงตนได้ดีเป็นอย่างมากในฐานะภรรยาของผู้นำตระกูลและไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อนสักครั้ง
ตอนนี้แม่ของเขากำลังทำการขอร้องให้ยกเลิกคำสั่งเนรเทศโซระ โดยการก้มหัวขอร้องพ่อของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เดิมทีเอ็มมะก็ใจดีกับโซระมากพออยู่แล้ว แต่พอโซระเสียแม่ไป เอ็มมะก็ยิ่งโอ๋โซระหนักกว่าเก่า นั่นทำให้รากุนะไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายของตนก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะร่วมสายเลือดกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมันจะไปพอใจได้ลง
โชคดีที่ในอดีตโซระยังพยายามปัดป้องความเมตตาของเอ็มมะ ตัวเอ็มมะก็เลยเลือกรักษาระยะห่างแทน ตอนแรกรากุนะก็แอบดีใจ แต่ไม่นานนักเขาก็สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า เอ็มมะเอาแต่กังวลเกี่ยวกับโซระไม่เลิก
พอแม่ของเขาทำการก้มหัวอ้อนวอนได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง เธอก็เริ่มเห็นแล้วว่าตนไม่สามารถโน้มน้าวชิกิบุได้ เลยเลือกจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วกลับไปยังห้องของตนเพื่อเขียนจัดหมายส่งไปยังตระกูลพาราดิส
ตระกูลดยุกพาราดิสนั้น เป็น 1 ใน 3 สุดยอดขุนนางระดับสูงแห่งจักรวรรดิ แอด แอสเทร่า และผู้นำตระกูลคนปัจจุบันซึ่งเป็นน้องชายของเธอ
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เอ็มมะยังไม่เคยขอความช่วยเหลือจากน้องชายของเธอเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นน้องชายของเธอ แต่การที่เธอเลือกแต่งงานกับอีกตระกูลหนึ่งแล้ว เธอก็เลยอยากจะสร้างระยะห่างและสมดุลของอำนาจ ระหว่างพาราดิส กับมิตสึรุกิเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงเลือกจะพบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กับทางนั้นเฉพาะงานพิธีการเท่านั้น
ทว่าเพียงเพราะเธอต้องการจะหาตัวโซระให้เจอจงได้ เธอจึงเลือกจะขอความช่วยเหลือจากพาราดิสแทนที่จะขอพึ่งพาคนในเกาะที่จำเป็นต้องทำการคำสั่งของชิกิบุอย่างช่วยไม่ได้ แถมเธอก็ยังเตรียมใจที่จะถูกลงโทษเอาไว้แล้วด้วย
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอขอความช่วยเหลือจากน้องชายซึ่งเป็นคนนอกเกาะ
แล้วก็เพราะเป็นคำขอที่หาได้ยาก――นับตั้งแต่ที่พี่สาวของตนแต่งงานออกตระกูลไป ดยุกพาราดิสจึงตอบรับคำขอนั้นทันที พวกเขาได้ส่งคนภายในตระกูลรีบค้นหาตัวโซระทันที ทว่ามันก็สายเกินไปแล้วเพราะแม้จะพยายามใช้อำนาจของตระกูลดยุกที่มีสุดท้ายพวกเขาก็ไม่รู้ว่าโซระหายไปอยู่ที่ไหน
ตัวรากุนะที่ได้ทุกอย่างมาครอบครองแล้วกลับทำได้เพียงยืนนิ่งๆ เพื่อส่งแม่ของตนมาเคารพหลุมฝังศพของชิซึยะ เพื่อนรักผู้ล่วงลับของแม่เขา
――โซระมีความสำคัญกับเอ็มมะ มากกว่ารากุนะ
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของเขาก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ แต่เขามองว่าการได้คู่หมั้นคนใหม่อย่าง อายากะ อาเซอร์ไรท์จะช่วยเยียวยาเขาได้
ตอนแรกเขาก็แอบกังวลว่า อายากะที่สนิทกับโซระขนาดนั้นจะปฏิเสธเขาไหม แต่ก็ผิดคาดที่อายากะนั้นยอมรับในตัวของรากุนะอย่างง่ายดายและปฏิบัติกับเขาเช่นเดิม
ตัวรากุนะเองก็แอบโล่งใจไปส่วนหนึ่งที่คู่หมั้นของตนไม่ได้มองตนเหมือนกับก้อนหินริมทาง
ส่วนเหตุผลที่รากุนะกังวลอะไรแบบนั้นก็คงจะเป็นเรื่องในตอนนั้น
ตอนที่เขาได้พบกับอายากะเมื่อช่วงอายุได้สัก 6 ปี มันคือรักแรกพบของเขา ใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตามันได้ช่วงชิงหัวใจของเขาไปจนหมด….แต่ในตอนนั้นอายากะยังมองรากุนะด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ อยู่
ถึงตอนนั้นเขาจะรู้ดีว่าเธอคือคู่หมั้นของพี่ชายตัวเอง แต่ด้วยหัวใจที่เป็นเด็กน้อยเขาจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร ยิ่งเป็นรักแรกพบด้วยยิ่งแล้วใหญ่
สายตาของอายากะในตอนนั้นไม่ได้ส่งมาให้เพียงรากุนะคนเดียว แต่ยังส่งให้กับโซระที่เป็นคู่หมั้นของเธอด้วย ก็หมายความว่าเธอปฏิบัติกับสองพี่น้องอย่างเท่าเทียม
แต่พอมองกลับไปแล้ว รากุนะคิดว่า อายากะคงจะแค่รู้สึกกังวลใจเฉยๆ เพราะเธอที่เป็นถึงลูกสาวของตระกูลอาเซอร์ไรท์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สุดยอดขุนนางแห่งจักรวรรดิ จำเป็นต้องย้ายมายังเกาะอันโดดเดี่ยว จะรู้สึกกังวลและไม่พอใจก็ไม่แปลกยิ่งด้วยช่วงอายุที่เด็กยิ่งแล้วใหญ่
จากนั้นไม่นานนักอายากะก็กลับมาร่าเริงอย่างที่เขาเห็นในปัจจุบันและปฏิบัติกับรากุนะซึ่งเป็นน้องเขยอย่างสนิทสนม
แล้วเวลาก็ผ่านไปได้ 7 ปี
รากุนะได้กลายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดแทนโซระ และได้รับอายากะ อาเซอร์ไรท์มาครองแทน แถมยังได้รอยยิ้มที่สดใสของเธอมาอีกด้วย รักแรกพบของเขากำลังจะมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาแล้ว ทว่ายิ่งเขาได้เข้าใกล้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่ของเขากับอายากะเริ่มห่างออกไป
เพราะเขารู้สึกได้เลยว่าทัศนคติและท่าทางของอายากะที่มีต่อเขานั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม――หรือก็คือเธอปฏิบัติตัวกับเขาไม่ต่างอะไรกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสถานะว่าที่น้องเขยกับพี่สะใภ้…
—-
Note : ชีวิตเศร้าๆของกระสอบทราย // ดาบเพลิงสีชาดน่าจะเป็นท่าประสานแบบเนิฟของกระบวนท่าผสานหยินเล็กคมดาบสีขาวที่โซเฟียใช้ แล้วมันจะไปทำอะไรโซระได้น้อ