ตอนที่ 255 โซระ ปะทะ รากุนะ
「――ทำไมถึงยังไม่ใช่อาภรณ์วิญญาณอีกล่ะ? 」
หลังจากปะทะกันได้หลายรอบ เซน่อน ควิสทัสก็ถามกับผมพร้อมสายตาที่จับจ้องอย่างไม่ลดละ
ผมก็เลยตอบกลับไปด้วยการยักไหล่เบาๆ ก่อนพูด
「แกนี่ก็พูดมากเหมือนกันนะ ฉันก็แค่ไม่อยากจะใช้อาภรณ์วิญญาณเท่านั้นเอง」
「ไร้สาระ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านน่ะไม่ใช่ว่าไม่คิดจะใช้อาภรณ์วิญญาณสู้ แต่เพราะใช้มันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ!!」
เซน่อนพูดออกมา ส่วนผมก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป
บอกตามตรงว่าผมไม่ได้ตั้งใจหยามอะไรนะ แต่ผมสามารถรับมือกับเซน่อนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาภรณ์วิญญาณ ก็จริงว่ามันไม่สามารถกันได้หมดเพราะเขาเองก็เป็นถึงระดับหัวหน้าหน่วยของธงแห่งผืนป่าเชียวนะ
ทว่าดวงตาของเซน่อนกลับไม่พอใจน่าดู
จนถึงตอนนี้แม้จะพูดคุยกันไปด้วยแต่พวกผมก็ไม่ได้พลาดที่จะเข้าโจมตีอีกฝ่าย เซน่อนได้ทำการพุ่งเข้าประชิดตัวผมด้วยความรวดเร็ว ทางผมก็ต้องรับมือกับการโจมตีของเขาทันที จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของหมอนี่ดูจะรุนแรงขึ้นกว่าเก่าอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้ผมไม่สามารถลดการป้องกันตัวลงได้เลย แล้วก็อยากจะย้ำอีกทีเรื่องที่ผมบอกจะไม่ใช่อาภรณ์วิญญาณนั่นไม่ได้โกหกนะ
ที่เซน่อนมันบอกว่าไม่ใช่ว่าผมไม่คิดจะใช้แต่ใช้ไม่ได้นั่นก็พอมีประเด็นอยู่
เพราะผมมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่ใช้มันได้น่ะ
ก็ไม่เชิงว่าไปทะเลาะกับโซลอีทเตอร์หรือโดนใครไม่รู้มาปิดผนึกพลังไว้หรอก
แล้วก็ไม่ใช่ว่าอยากจะเก็บไพ่ลับที่จะใช้โค่นพ่อของตัวเองเลยไม่สามารถแสดงให้รากุนะ หรือพวกควิสทัสดู ก่อนจะขิงว่าใช้แค่มือเปล่าก็เหลือๆ หรอก ไม่สิ――คือถ้าถูกถามว่ามันขิงได้ไหม มันก็พอได้แหละ แต่ว่ากันตามตรงก็ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอก
เหตุผลหลักจริงๆ ก็คือ ผมอยากจะแก้ไขรูปแบบการต่อสู้ของผมที่เอาแต่พึ่งพาอาภรณ์วิญญาณน่ะ
หากเป็นเมื่อเดือนก่อนผมก็คงจะใช้อาภรณ์วิญญาณต่อสู้กับลูเซียสไปแล้ว คิดดูสิการกินวิญญาณของหัวหน้ากับรองหัวหน้าหน่วยธงที่ 3 ก่อนจะไปสู้กับพ่อของตัวเองก็เรียกว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่ดีไม่น้อย
ทว่าหลังจากการได้ฝึกฝนกับโดกะ 1ใน4 พี่น้องนากายามะ เขาก็เริ่มชี้ให้ผมเห็นว่าสไตล์การต่อสู้ของผมมันมุทะลุแบบสัตว์ร้ายเกินไป
รูปแบบการต่อสู้ที่ยอมปล่อยให้ร่างกายของตัวเองบาดเจ็บและพึ่งพาความสามารถในการฟื้นฟูมาทดแทน บางทีก็เอาร่างกายเข้าแลกเพื่อทำให้ศัตรูเสียจังหวะ การต่อสู้ที่เหมือนคนบ้าตั้งใจจะฆ่าตัวตาย
ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่มีชีวิตเพียงแค่ต้องการล่าเหยื่อ ทุ่มสุดตัวเพื่อชัยชนะ ซึ่งนั่นมันไม่ใช่วิถีแห่งนักรบเลยสักนิด
โดกะได้พยายามตักเตือนผมในจุดนี้
ฟังดูเหมือนโดกะจะไม่ชอบรูปแบบการต่อสู้ของผม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธมัน อันที่จริงโดกะก็แอบชื่นชมด้วยซ้ำที่ผมสามารถนำมันมาใช้งานได้อย่างจริงๆ จังๆ
ทว่ารูปแบบการต่อสู้ที่กลืนกินวิญญาณอีกฝ่ายพร้อมกับฟื้นฟูร่างกายตัวเอง บางครั้งอาจจะไม่เหมาะสมที่จะใช้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถกลืนวิญญาณหรือผนึกพลังฟื้นฟูไว้ได้ ดังนั้นโดกะจึงแนะนำให้ผมเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้อื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาภรณ์วิญญาณเผื่อกรณีฉุกเฉินจะดีกว่า
ผมก็ยอมรับคำแนะนำนั้นอย่างว่าง่าย แถมมองว่าคำพูดของโดกะก็มีเหตุผล โซเฟียเองก็เคยพูดทำนองนี้อยู่เหมือนกัน
พอลองจินตนาการดูแล้วนับจากนี้ไป โอกาสที่ผมจะเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถกินวิญญาณได้ก็มีสูง พลังการฟื้นฟูผมจะถูกผนึกก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเจอ บางทีผมอาจจะเจอของที่เหมือนกับพวกโฮโซใช้ได้ด้วยก็ได้
ดังนั้นการต่อสู้โดยพึ่งพาแต่อาภรณ์วิญญาณจึงเป็นจุดอ่อนหลักของผมเลย
เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ภายในคิไคฝึกฝนหาทางเอาชนะจุดอ่อนดังกล่าวด้วยการต่อสู้กับโดกะ คาการิ ฮาคุโระ หรือแม้กระทั่ง เออซูร่า ไคลอา คลิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่พึ่งพาอาภรณ์วิญญาณ
การต่อสู้กับสองพ่อลูกควิสทัสก็เป็นการฝึกในนี้ด้วย แล้วมันก็มีค่ามากเสียกว่าวิญญาณของพวกเขาเสียอีก
พอคิดได้แบบนั้นผมก็เริ่มบรรเลงกับเซน่อนต่อ
――ทว่าความรู้สึกที่เสียวสันหลังก็ได้เกิดขึ้น
ไม่มีเวลาให้คิดแล้วว่ามันคืออะไร แต่ผมรีบกระโดดออกจากจุดที่เคยอยู่ในทันที
ท่าทางเซน่อนเองก็สัมผัสได้เหมือนกัน เขาจึงได้กระโดดถอยออกไปด้วย
ก่อนที่พวกผมทั้งสองจะมองไปทางเดียวกัน
「นายน้อย……? 」
เป็นรากุนะที่ยืนอยู่ตรงนั้น น้องชายของผมที่ควรจะหมดสภาพไปเพราะพ่ายแพ้ให้กับผม ตอนนี้เขากำลังจ้องมองมาทางผมอย่างไม่วางสายตา
แค่จ้องมองก็ทำให้ผมขนลุกได้เลยงั้นเหรอ ตอนนี้ร่างกายของผมมันสั่นเตือนแล้วว่าให้ระวังหมอนี่เอาไว้
ผมเลยอดสงสัยกับสิ่งที่สัมผัสได้ไม่ไหว
หากเป็นเมื่อชั่วโมงก่อน รากุนะนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย ก็จริงอยู่ว่าเขาเก่งกว่าตอนผมกลับมาเกาะครั้งแรก แต่มันก็ไม่ได้มากถึงระดับเป็นภัยกับผม ผลลัพธ์การต่อสู้ก่อนหน้าก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว
ตอนผมเริ่มสู้กับลูเซียสแล้วก็เซน่อนหมอนั่นก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้ามาแจมด้วยเลยสักนิด ผมก็เลยตัดเขาออกจากการรับรู้ไปเลย――
「อาภรณ์วิญญาณ!」
ผมเปิดใช้งานอาภรณ์วิญญารอย่างไม่ลังเล คือถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ได้อยากจะใช้อาภรณ์วิญญาณหรอกนะ จนกว่าจะเจอกับพ่อผม ไม่สิอาจจะจนกว่าเจอสองสุดยอดนั่น แต่วินาทีนี้ผมคงต้องผิดคำพูดกับตัวเองแล้วสิ
สัญชาตญาณของผมร้องเตือนว่าหากเมินรากุนะอีกได้เป็นเรื่องแน่ ไม่สิอาจจะเป็นโซลอีทเตอร์ก็ได้ที่เตือนเรื่องนี้กับผม
รากุนะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ต่อหน้าผมที่ระวังตัวอย่างถึงขีดสุด
「อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า――」
พลังมหาศาลได้ปะทุออกมากร่างของรากุนะ ความรุนแรงของมันยิ่งเสียกว่าอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของเซน่อนเป็นไหนๆ แล้วพลังดังกล่าวก็ได้เริ่มห่อหุ้มร่างของรากุนะ จนก่อตัวเป็นดาบสีทองเล่มหนึ่ง
ราวกับว่าพื้นที่โดยรอบไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของพลังเขาได้ มันจึงแตกกระจายออกไปจากจุดที่รากุนะยืนอยู่ทันที แรงกัดดันนั้นมันส่งมาถึงร่างกายของผมจนทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้หมอนี่เคี้ยวยากกว่าพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานบางตัวเสียอีก
สัญญาณแห่งความตายได้เข้ามาทักทายกับร่างของผม
มันคือความรู้สึกที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของเซน่อน แต่สัมผัสของมันคล้ายกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของเออซูร่า บางทีพลังของรากุนะน่าจะใกล้เคียงกัน
แล้ววินาทีต่อมา ดวงตาของรากุนะก็เบิกกว่าก่อนจะปลดปล่อยพลังของอาภรณ์แห่งความว่างเปล่า
「จงตัดให้สิ้น ฮาร์ป(ดาบผ่าสรรพสิ่ง)!!」
……สิ่งแร่งที่ผมรู้สึกคือความเบาบาง สิ่งต่อมาคือความเงียบงัน
ประกายแสงสีทองได้ปรากฏออกมาอย่างเงียบงันตรงหน้าของผม ราวกับพริบตานั้นเวลามันได้ถูกหยุดนิ่ง แต่เอฟเฟคของมันจะดูเล็กน้อยเบาบางไปไหมนะ หากคิดว่านั่นคือการโจมตีของอาภรณ์แห่งความว่างเปล่า
――แล้วในช่วงเวลาที่ผมคิดแบบนั้น ก็เกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นตรงหน้าผม
「คึกกกก!? 」
แรงระเบิดแห่งแสงที่ทำดวงตาลุกไหม้ เสียงระเบิดที่พร้อมจะทำลายแก้วหูของผมให้เป็นชิ้นๆ โถมเข้ามา
แรงกระแทกมหาศาลได้กระแทกเข้ามาโดนบาเรียที่ผมสร้างขึ้น
「อ่ะ……คุ!」
โซลอีทเตอร์ส่งเสียงกรีดร้องออกมา บาเรียของผมได้ถูกทลายลง ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ลูเซียสโดนหมัดของผมไปก่อนหน้านี้เลย
ผมก็เลยรู้ได้ทันที
ว่าเทคนิคการโจมตีดังกล่าวไม่ยอมให้ผมหลบ ไม่ยอมให้ผมต้าน ไม่ยอมให้ผมสวนกลับมันได้เลย
มันคือการโจมตีที่เด็ดขาด ไม่อาจหลีกเลี่ยง
มันไม่ใช่พลังสวนกลับที่หลบไม่พ้นเหมือนกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าของเออซูร่าก็จริง ของรากุนะนั้นมันมีพลังรวดเร็วและแข็งแกร่งมากเสียจนหลบไม่พ้นก็เท่านั้นเอง
พอโจมตีระลอกแรกเสร็จ รากุนะก็จะโกนออกมาอีกที
「ย้ากกกก!!」
ทันใดนั้นแสงสีทองก็ก่อตัวขึ้นแล้วขยายใหญ่ แรงกดบนฝ่ามือของเขาเหมือนจะหนักขึ้นเป็นสองเท่า
ประกายแสงสีทองได้ปรากฏตัวขึ้นรอบขอบเขตการมองเห็นผม และดูเหมือนมันต้องการจะตัดเมืองชูโตะออกไปเป็นสองส่วนพร้อมกับผมเลยวุ้ย
อันที่จริงถ้าผมล้มลงตรงนี้เมืองชูโตะก็น่าจะยับไม่น้อย ก็จริงว่าการโจมตีของเซน่อนก่อนหน้านี้มันก็หนักแหละ แต่ของรากุนะนี่ให้ความรู้สึกว่ามันถวายหัวเพื่อจัดการผมเลยโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาด้วยซ้ำ
――ก็รู้ว่าอยากจะเอาชนะมาก แต่คิดถึงผลที่ตามมาด้วยสิเห้ย!
ระหว่างที่ผมกำลังบ่นรากุนะอยู่ในใจ
ภาพสมัยอดีตก็ผุดขึ้นมาในหัว
――ครั้งต่อไปผมไม่แพ้ท่านพี่แน่!
――มาเลยสิ เจ้าน้องชาย มาแก้แค้นพี่ชายคนนี้ให้ได้!
นั่นคือตอนที่พวกผมสองคนยังรักกันดี ความทรงจำที่พวกผมสามารถแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียม ไม่มีใครถูกเหยียบย่ำ
ทุกครั้งที่รากุนะพ่ายแพ้ไปครั้งหนึ่ง เขาก็จะยิ่งตื่นเต้นกับการต่อสู้ครั้งถัดไป พอแพ้เขาก็จะขอให้เล่นใหม่อีกครั้งไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เคยเกลียดการพ่ายแพ้เลยสักครั้ง ขอเพียงแค่ต้องลองใหม่ โดยเฉพาะหากอีกฝ่ายเป็นผม
แต่ทำไมมันถึงมาโผล่เอาวินาทีชี้เป็นตายล่ะ ไม่สิบางทีอาจจะเพราะเป็นช่วงเวลานี้มันถึงโผล่มาก็ได้
ทว่ามันก็เป็นเพียงความทรงจำที่แก้ไขอะไรไม่ได้ และก็ย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ด้วย ส่วนตัวผมก็ไม่อยากจะกลับไปด้วยแหละ รากุนะเองก็คงจะคิดเหมือนกัน
ให้ตายสิ พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วอยู่ดีๆ ผมก็เผลอยิ้มออกมา ก่อนจะเปล่งเสียงราวกับต้องการเอาชนะน้องชายของตัวเองขึ้น
「จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์!!」
ทันทีที่ผมชักดาบออกมา แสงสีดำก็พวกพุ่งเข้าปะทะกับแสงสีทอง
โซลอีทเตอร์นั้นมีความแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหักล้างพลังด้วยพลังที่เหนือกว่าอีกแล้ว
หากหยุดไม่ไหว ก็ต้องหาทางหักล้าง หากหักล้างไม่ไหวก็กินมันให้หมดเสีย
แต่พลังของอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าที่รากุนะโจมตีมานั้น มันแตกต่างจากการโจมตีอื่นที่ผมสามารถกลืนกินจนหมดได้ด้วยการเหวี่ยงดาบทีสองที ระหว่างที่ผมกำลังกลืนกินพลังพวกนี้ ผมก็ต้องดูดซับแรงกดดันทั้งหมดเข้ามาในร่างกายไปด้วย
รู้สึกได้เลยว่ากระดูกทุกชิ้น ข้อต่อส่วนกำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมา
「ย้ากกกกกก!!」
「โอ้ววววววว!!」
เสียงของผมกับรากุนะได้ประสานกันอย่างไม่คาดคิด การโจมตีที่รุนแรงทั้งสองส่งเสียงคำรามออกมาเมื่อปะทะกัน
แม้ว่าการโจมตีดังกล่าวจะดูเหมือนดำเนินต่อไปจนชั่วนิรันดร์ แต่จุดสิ้นสุดของการโจมตีนั้นก็ได้มาถึง
――สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในตอนจบมีเพียงแสงสีดำ
ผมเดินเข้าไปหารากุนะ ที่หมดสภาพจนล้มลงกับพื้น
น้องชายของผมผู้สวมชุดคลุมของธงแห่งผืนป่าใช้พลังที่ตัวเองมีจนหมดสิ้นและหมดสติไป
สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก แต่ยังหายใจได้ตามปกติ ผมก็เลยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อาภรณ์แห่งความว่างเปล่านั้นถือว่าเป็นไพ่ตายที่อาจจะคร่าชีวิตของผู้ใช้ได้หากพลาดไปเพียงเล็กน้อย ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้มาจากเออซูร่า ผมก็เลยแอบกังวลว่ารากุนะจะตายไหมเพราะเล่นใหญ่ซะขนาดนั้น
หากเป็นงั้นจริง ผมคงไม่มีหน้าไปเจอท่านเอ็มมะได้แน่ๆ โชคดีจริงๆ ที่ผลกังวลมากไปเอง
「ให้ตายสิ สีหน้าดูสดชื่นเชียวนะ เจ้าบ้านี่」
ผมมองไปที่ใบหน้าของรากุนะซึ่งหมดสติไปแล้ว แล้วพ่นลมหายใจออกมาจากจมูก
ก็ตามที่ว่า รากุนะหมดสติไปด้วยสีหน้าที่ดูพึงพอใจจนน่าประหลาดใจ ที่ดีใจนี่เพราะเป็นครั้งแรกที่ตัวเองใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้หรือฝันว่าชนะผมกันนะ ไม่สิบางทีหมอนี่อาจจะได้เรียนรู้อะไรที่สำคัญเข้าแล้วก็ได้มั้ง
สุดท้ายผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องไหน ก่อนจะละสายตาจากเขาไป
ก็มีหลายอย่างที่ผมอยากจะคุยหรือถามหมอนี่อยู่หรอก แต่คงจะเป็นเรื่องยาก หากเขาตื่นมาแล้วมาท้าสู้ผมอีกจะยุ่งยากเอา ว่ากันตามตรง ผมไม่ได้อยากจะสู้กับเขาอีกแล้ว ถึงจะไม่งัดอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าออกมาก็เถอะ
เป้าหมายของผมมีเพียงแค่พ่อของผมเท่านั้น ดังนั้นรีบทำให้มันจบๆ เสียดีกว่า
「วันนี้แกรอดตัวไปนะ」
ผมพูดออกไปสั้นๆ แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับรากุนะที่หมดสติไปแล้ว――แต่เป็นเซน่อนที่เข้ามาดูอาการของรากุนะ
ถึงเซน่อนจะยังมีพลังอยู่ล้นเหลือ แต่สิ่งที่เขาเห็นระหว่างที่ผมสู้กับรากุนะ คงทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาหายไปหมดแล้ว
เซน่อนก็พยักหน้าให้กับคำพูดของผม ส่วนทางผมก็เดินขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปยังคฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิต่อ
แต่แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบโพชั่นสองขวดโยนไปทางเซน่อน
「……สิ่งนี้คือ? 」
เซน่อนรับโพชั่นทั้งสองนั้นก่อนถามด้วยความสงสัย
ผมก็เลยตอบไปแบบไม่สนใจนัก
「โพชั่นรักษาน่ะ จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ」
มันมีไว้เพื่อรักษาลูเซียสกับรากุนะ ก็อาจจะดูเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับเซน่อนแล้วก็คนอื่นๆ ที่ต้องมารับความเมตตาจากศัตรูที่สู้กันโดยเอาชีวิตเข้าแลก แต่ทางผมต้องสนใจซะที่ไหนล่ะกับความรู้สึกของพวกเขา
สำหรับผม จะยังไงก็ได้ตราบใดที่ผมยังกระทำเรื่องต่างๆ โดยยังสามารถแบกหน้าตัวเองไปพบท่านเอ็มมะหลังจบเรื่องได้
คราวนี้ผมเลยกลับไปเดินขึ้นบันไดอีกทีและไม่หันกลับไปมองพวกเขาอีก
—-
Note : ก็ตามคาด ส่วนโซระนี่คนรักแม่(คนอื่น)จริงๆ